Show
สำหรับใครก็ตามที่อยากจะเป็นเซลที่ดี มีผลงานที่โดดเด่น ก็ควรที่จะพยายามคิดนอกกรอบวิธีการทำงานเดิมๆ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ศึกษาวิธีการทำงานใหม่ๆ เพื่อพัฒนาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้ทาง Wisible จึงอยากที่จะมาแนะนำคู่มือฉบับเต็มของเซลและนักขายทุกคน โดยเฉพาะเคล็ดลับ เพื่อผลงานที่ดี การทำงานที่มีประสิทธิภาพ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ให้ทุกคนได้เป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน อาชีพเซล หรือ นักขายคืออะไร?เซล หรือนักขาย ที่จริงแล้วมีหลายชื่อเรียก เช่น Salesperson, Sales Executive, Sales Representative หรือ Sales Coordinator แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตามหน้าที่หลักของเซลก็คือการดูแลลูกค้า และสร้างยอดขายให้กับบริษัทนั่นเอง Tips: หลายคนสงสัยว่า Sales กับ Sale ต่างกันอย่างไร ตามหลักแล้ว Sale หมายถึงกิจกรรมการขาย หรือเวลาที่สินค้าลดราคา จัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย ส่วน Sales ก็คือยอดขายนั่นเอง ส่วนคนที่ทำงานในแผนกงาน เราเลยเรียกว่า Salesperson และแผนกขายก็คือ Sales Department ทักษะและหน้าที่ของการเป็นเซลอย่างที่เราเข้าใจกันดีกว่า หน้าที่ของเซลก็คือการขาย หน้าที่ตรงนี้มักรวมไปถึงการหาลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเดิม เพื่อติดต่อ เสนอขาย กระตุ้นความอยากซื้อ ให้คำแนะนำต่างๆ รวมไปถึงการดูแลหลังการขายอีกด้วย ดังนั้นทักษะของเซลที่ดี จึงเน้นไปที่ทัศนคติและการสื่อสาร เซลควรจะมีความรักในอาชีพและงานที่ทำ มีความเข้าใจในสินค้าที่ขาย บุคลิกภาพดี มีความสร้างสรรค์ สื่อสารและโน้มน้าวคนได้เก่ง รู้จักกระบวนการหรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องเช่น Customer Success, Sales Enablement, Sales Pipeline, และ Sales Funnel และที่สำคัญก็คือการปรับตัวตามสถานการณ์และพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่สุดยอดนักขายที่ดีต้องมีเราเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน และต้องการจะทำทุกวิถีทาง ที่จะไต่ไปถึงยอดเขาสูงสุดของอาชีพตัวเองกันให้ได้ เฉกเช่นเดียวกับอาชีพเซล ที่ไม่ได้มีแค่ความชอบอยากจะขายแล้ว จะสามารถขายได้เลย หากแต่เพียงต้องอาศัยเทคนิค ดวงและทักษะต่างๆ เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปเป็นสุดยอดนักขายให้ได้ วันนี้ เราก็เลยมีเทคนิคเคล็ดไม่ลับ สำหรับเหล่าเซลที่กระหายตำแหน่งอยากขึ้นไปคว้าสุดยอดการเป็นผู้นำมาฝากกัน แค่เพียง 5 ข้อ แต่ถ้าทำได้ล่ะก็ บอกได้เลยว่ามันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม! 1. เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาทักษะการเป็นเซลเชื่อมั้ยว่า คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียน และยิ่งถ้าหมั่นศึกษาพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ สักวัน ฝันต้องเข้าข้างเราแน่นอน ดังนั้น เมื่อคนเป็นเซล ยิ่งมีการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาตัวเองหรือเทกคอร์สสั้นๆ เกี่ยวกับการดีไซน์วางแผนการขาย เทคนิคนี้ ก็จะยิ่งดันให้กลาย เป็นสุดยอดในการเป็นหัวหน้าเซลได้ในไม่ช้านั่นเอง 2. ฝึกวิเคราะห์การขายและแน่นอนล่ะว่า เซลทุกคนจะต้องวิเคราะห์ยอดขายเป็น เพื่อที่จะดูโอกาสการเติบโตของผลกำไรในบริษัทตัวเอง ซึ่งไม่ใช่แค่การขายอย่างเดียว แต่รวมไปถึงหนทางสู่การทำรายได้เข้าบริษัท ก็ต้องทำเป็นด้วยเหมือนกัน 3. ความสามารถในการขายความสามารถในการขายสามารถพัฒนาขึ้นได้จากทั้งการสั่งสมประสบการณ์ การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การค้นคว้าหาอ่านหนังสือ หรือศึกษาวิธีการขายที่มีอยู่มากมายบนโลกอินเทอร์เน็ต ยิ่งเซลใช้เวลากับการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ความสามารถในการขายเก่งขึ้นเท่านั้น 4. ความสามารถในการเป็นเซลระดับแถวหน้าเรื่องของทักษะและพรสวรรค์ เอาจริงก็เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่ถ้าคนเรามีใจรักมากพอซะอย่าง พรสวรรค์ก็ยังถือเป็นเรื่องที่สามารถเสกขึ้นมาได้ง่ายๆ อยู่ดี ซึ่งคนที่จะได้ขึ้นมาเป็นเซลระดับแนวหน้าจริงๆ นั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือก พัฒนา และอดทนอดกลั้นมาเป็นอย่างดี กว่าจะก้าวมาถึงจุดตรงนี้ได้ อีกทั้งต้องมีความสามารถในการก้าวข้ามผ่านสภาพแวดล้อมอันสุดแสนยากเค้น เพื่อเอาชนะทุกความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ได้อีกด้วยเช่นกัน 5. ประสิทธิภาพในการเป็นหัวหน้าเซลและข้อสุดท้าย จะขาดทักษะนี้ไปไม่ได้เป็นอันขาด คนเราถ้าอยากไปให้ถึงฝัน ก็ต้องมีเป้าหมาย ที่จะต้องคว้าฝันมาให้ได้ซะก่อน ซึ่งคนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนได้นั้น ก็ต้องได้รับการฝึกปรือทักษะความเป็นผู้นำในสายงานนั้นๆ มาเป็นอย่างดี แต่การจะขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านงานเซล ก็ไม่ใช่ว่าต้องรู้แค่นี้นะ ยังต้องสามารถใช้โปรแกรม ที่จะมาช่วยงานทางด้านงานเซลเป็นด้วย อย่างเช่น ระบบ CRM ที่นับเป็นเหมือนฮีโร่ ที่ช่วยงานด้านการขายได้อย่างดีเยี่ยม และต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์พัฒนาหลากหลายรูปแบบ ขอบคุณข้อมูลจาก: https://blog.sellingpower.com/gg/2019/08/what-are-your-top-sales-priorities.html เทคนิคการเป็นเซลที่ดี1. เก็บรวบรวมข้อมูลในที่เดียว ด้วยระบบ CRMหนึ่งในสิ่งสำคัญที่หลายๆบริษัทมักจะมองข้าม ทำให้นำไปสู่ความน่าปวดหัวหรือผลประกอบการที่ขาดประสิทธิภาพ คือการขาดติดตามด้วยระบบที่มีคุณภาพ ซึ่งจริงๆแล้ว ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมขายเลยก็ว่าได้ เพราะการขาดระบบติดตามที่ดี จะทำให้ทีมขายไม่สามารถที่จะตรวจสอบวิธีการทำงาน และไม่รู้ว่าผลงานต่างๆ เป็นยังไง ไปถึงขั้นไหนแล้วบ้าง การจัดเก็บและติดตามกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งการเก็บข้อมูลต่างๆของลูกค้า ดีลต่างๆ หรือหน้าที่ต่างๆ ทำให้การทำงานในทุกๆขั้นตอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เห็นภาพกว้าง ภาพรวมทั้งหมดของทีม รวมถึงของเซลล์แต่ละคนได้อย่างชัดเจนในที่เดียว เพื่อที่จะให้เซลล์แต่ละคนรู้ว่า ใครทำงานส่วนไหนได้ดี หรือมีส่วนไหนที่ควรปรับปรุง หรือมีส่วนไหนบ้าง ที่อาจจะต้องการคนอื่นเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ยกตัวอย่างง่ายๆในสิ่งที่ ระบบ CRM จะสามารถช่วยการทำงานให้ง่ายขึ้นได้ เช่น
2. คอยดูและตรวจสอบชุดข้อมูลต่างๆข้อมูลเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการมีประสิทธิภาพของการทำงานได้ดีที่สุด เพราะไม่ใช่แค่จะช่วยทำให้คุณคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าดีขึ้น และทำให้เซลล์มีการร่วมมือกันมากขึ้นด้วย การจัดการข้อมูลต่างๆเช่น อีเมล, Meetings Phone, calls จะทำให้คุณทราบระยะเวลาการทำงานในขั้นตอนต่างๆได้ และทำให้ทราบมาตรฐานการทำงานของพนักงานในทีมได้อย่างดีอีกด้วย ซึ่งหลายๆบริษัทที่โตอย่างรวดเร็วและมีทีมงานที่เก่ง มักจะเกิดจากการจัดเก็บข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ขั้นตอนการเก็บข้อมูลต่างๆ สามารถแบ่งได้ เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
ขั้นตอนทั้งสามอย่างนี้ จะทำให้คุณทราบว่าส่วนไหนที่มีปัญหาติดขัดที่ควรจะแก้ไข หรือส่วนไหนที่เซลล์ทำได้ดีแล้ว ซึ่งการใช้ระบบ CRM ที่ดี จะช่วยประหยัดเวลาในการเก็บข้อมูลการทำงานต่างๆของเซลล์ เพื่อให้หัวหน้าทีมคอยดูผลงานที่เกิดขึ้นได้อย่างสะดวก สามารถคาดการณ์ผลงานต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น จำนวนลูกค้าที่จะปิดดูมีแนวโน้มเพียงพอที่จะทำยอดให้ถึงเป้าหรือไม่ ขอบเขตการทำงาน ว่าเซลล์แต่ละคนทำงานในขอบเขตของตัวเองได้ดีแค่ไหน ทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้หัวหน้าทีมขายตัดสินใจได้เร็วและแม่นยำขึ้น รวมถึงพอจะคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิด เพื่อหาวิธีการแก้ไขได้ทันท่วงที 3. วางแผนตารางกิจกรรมต่างๆที่จะต้องทำเซลมักจะมีหน้าที่ที่ต้องทำและรับผิดชอบในแต่ละเคสค่อนข้างเยอะและอาจจะมีความทับซ้อนกันในหลายๆครั้งซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยการจัดการและการวางแผนการทำงานที่ดีเพื่อให้ทำงานต่างๆได้อย่างดีที่สุดไม่หลงไปกับการทำกิจกรรมส่วนใดส่วนหนึ่งนานเกินไปและเซทเวลาการทำงานไว้จะสามารถป้องกันการเผลอทำงานในส่วนที่ไม่สำคัญๆที่กินเวลาส่วนอื่นๆเพราะเวลาคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของพนักงานขาย และสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องโฟกัสที่สุด คือ ผลงานของวันนั้นๆที่เซลล์อยากจะให้มันเกิดขึ้น และค่อยย้อนกลับมาว่าควรจะทำอะไรบ้าง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ เกิดขึ้นได้ 4. กระตุ้นลูกค้าเพื่อการปิดการขายที่เร็วขึ้นสร้างแรงจูงใจเกี่ยวกับ Product ให้กับคนที่มีแนวโน้มสูงที่จะมาเป็นลูกค้า อย่าลืมที่จะใส่ใจ Lead ที่ได้มาอยู่ใน Pipeline แล้ว เพราะ Lead เหล่านั้น คือผู้ที่สนใจใน Product ของเราแล้วเรียบร้อย เพียงแค่อาจจะต้องทำอะไรต่อบางอย่าง เพื่อนำไปสู่การปิดดีลให้ได้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างแรงจูงใจก็คือ การสร้างสัมพันธ์ที่ดี และ ความน่าเชื่อถือให้กับทั้งบริษัท Product รวมถึงตัวพนักงานขายเองด้วย ตัวอย่างการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ Prospect มีดังนี้
5. ดูคุณภาพของ Inbound Leadการจัดลำดับและคัดเลือก Lead ที่มีคุณภาพและมีโอกาสสูงมาใส่ใน Sale pipeline และเริ่มลงมือทำงานกับ Lead เหล่านั้นก่อน จะช่วยให้เซลล์ประหยัดเวลา และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีการจัดลำดับและลงมือทำงานมีตัวอย่าง ดังนี้
6. แบ่งเวลาเพื่อโทรศัพท์อยู่เสมอพยายามหาเวลาที่จะโทรศัพท์ไปหาลูกค้าอยู่เสมอๆ เพราะนั่นจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการปิดดีลได้มากขึ้น โดยที่จะต้องสร้างความประทับใจแรกกับลูกค้าให้ได้ ภายในช่วงไม่กี่วินาทีแรก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การที่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูกค้านานแค่ไหน หมายถึงโอกาสที่จะขอนัดเจอที่จะเป็นไปได้มากเท่านั้นด้วย อย่าลืมว่า ก่อนจะโทรศัพท์ ควรตรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบให้ดี ไม่ให้มีเสียงรบกวน ปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ที่คิดว่าจะรบกวน และอาจจะลองฝึกโทรศัพท์กับคนในที่ทำงาน โดยการพยายามจำลองสถานการณ์ยากๆ เพื่อเป็นการฝึกฝน และหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ต่างๆให้ได้ 7. หมั่นส่งอีเมลเพื่อสร้างกิจกรรมและการพูดคุยการอยู่ในความทรงจำของผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้านั้นถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ การส่งอีเมลไปหาบ่อยๆ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้ สิ่งที่ Wisible แนะนำให้ทำ
สิ่งที่ Wisible ไม่แนะนำให้ทำ
8. หมั่นคอยตรวจสอบ หาช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาต่างๆเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ถ้าหากลองวิธีโทรศัพท์แล้ว ลองส่งอีเมลก็แล้ว แต่ยังไม่เกิดผล ลองตรวจสอบเรื่องของเวลาที่โทรศัพท์ หรือเวลาที่ส่งอีเมลดู ว่าเหมาะสมหรือไม่ สิ่งที่ Wisible แนะนำให้ทำ
9. รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าในการเป็นเซลล์ที่ดี ไม่ใช่แค่การเป็นคนที่ขายเก่งแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ การรักษาลูกค้าเดิมไว้ให้ดี ถือเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจากผลสำรวจของหลายๆที่ ลูกค้าเดิม มีโอกาสจ่ายเพิ่มมากกว่าลูกค้าใหม่ถึง 67% สิ่งที่ Wisible แนะนำให้ทำ
10. คอยจัดระเบียบอีเมลสำหรับเซลล์แล้ว กล่องข้อความดูจะเป็นอะไรที่บ่งบอกถึงวิธีการทำงานและประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์คนนั้นๆได้ดี ในหลายๆครั้ง คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องอ่านทุกๆอีเมลก็ได้ เพราะหลายๆครั้ง อีเมลของคุณมักจะเต็มไปด้วยอีเมล Spam โฆษณาต่างๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงาน สิ่งที่ Wisible แนะนำให้ทำ การ Labels เพื่อจัดกลุ่มความสำคัญต่างๆ จะช่วยให้การเช็คและตอบอีเมลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลานั่งเปิดอ่านและนั่งลบทุกฉบับ สำหรับผู้ที่ใช้ระบบ CRM ส่วนมากแล้วระบบจะมีเครื่องมือเพื่อช่วยทำให้การจัดการเรื่องอีเมลเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะจะแสดงผลอีเมลที่เกี่ยวข้องกับดีลที่สำคัญๆเท่านั้น อย่าลืม Unsubscribed media อีเมล หรือโปรโมชั่นต่างๆที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานออกไปให้หมด เพื่อเป็นการประหยัดเวลามากขึ้น 11. สร้าง Templates ที่ดีในการส่งอีเมลหลังจากจัดการวิธีการส่งอีเมล และเข้าถึงลูกค้าที่มีประสิทธิภาพแล้ว ลักษณะการร่างอีเมลก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ซึ่งในอีเมลที่ดี หลักๆจะแบ่งเป็นคร่าวๆ 3 ส่วนด้วยกัน
สิ่งที่ Wisible แนะนำให้ทำในการร่างอีเมลที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดดีลให้มีสูงขึ้น
12. สื่อสารและอัพเดทกับคนในทีมอยู่เสมอความสัมพันธ์ของคนในทีมก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การดูแลลูกค้า คนในทีมควรที่จะพูดคุยกัน ใส่ใจในการประชุม และช่วยกันวางกลยุทธเพื่อไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันมีตัวช่วยเยอะแยะมากมาย ที่สามารถเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเหลือเรื่องการติดต่อสื่อสารกันระหว่างคนในทีม ทาง Wisible ได้เคยเขียนแนะนำไปแล้วใน 7 สุดยอด Productivity Tool เพื่อความสำเร็จของธุรกิจเอสเอ็มอี แต่ถึงแม้ว่าจะมีโปรแกรมที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารกันในทีมเพื่อเชื่อมสัมพันธ์แล้ว การนัดประชุมกันเพื่ออัพเดท เรื่องราวต่างๆ ประมาณ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ เพราะส่วนมากแล้วเซลล์จะทำงานได้ดี เมื่อมีแรงผลัก หรือมองเห็นความสำเร็จ ซึ่งการประชุมที่อัพเดททุกอาทิตย์ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นแค่ไหนบ้าง แล้วมีโอกาสอีกเท่าไหร่ จะทำให้เซลล์ในทีมมีความตื่นตัวและมีแรงผลักในการทำงานมากขึ้น 13. จัดตารางการประชุมและการทำงานต่างๆให้ดีหลายๆครั้งเรามักจะเสียเวลาไปกับการประชุม ที่ใช้เวลานานเกินไป และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือแม้แต่การหาเวลาเพื่อนัดประชุม ให้ไม่ตรงกับการนัดลูกค้า ก็ดูจะเป็นเรื่องที่วุ่นวาย และค่อนข้างยากลำบาก เพราะการได้เจอกับลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่ควรจะเอาขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะหลายๆครั้งว่าจะหาเวลาที่ลงตัวได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ระบบ CRM หลายๆที่ จึงพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ด้วยการมี dashboard ให้แต่ละคนสามารถ Create dashboard เพื่อลงตารางเวลานัดกับลูกค้า จัดตารางต่างๆของตัวเอง แถมยังสามารถที่จะลงเวลาประชุมทีมเพื่อให้ไปแจ้งเตือนใน Dashboard ของแต่ละคน ด้วยการเพิ่มหน้าที่ เพิ่มผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในการประชุมต่างๆเข้ามาได้ ทำให้การทำงานเป็นเรื่องที่ ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าหากคุณสนใจและมองหาตัวช่วยที่จะทำให้การทำงานทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นระบบระเบียบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทดลองใช้ Sales CRM จาก Wisible ได้ฟรี เพื่อทดลองใช้ Dashboard ของเราได้เลยค่ะ หรือเข้าไปติดตามอ่านบทความเกี่ยวกับ 10 ตัวชี้วัดสำคัญ ที่มีใน Wisible และติดตามความรู้ดีๆแบบนี้ รวมถึงอ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ blog ของเราค่ะ |