Short Description: การทำวีดีโอมีขั้นตอนอย่างไร สามารถทำเองได้หรือไม่ และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มีอะไรบ้าง Show
เชื่อว่าหลายคนคงจะเป็นเหมือนกัน คือเวลาที่เห็นวีดีโอสวย ๆ แล้วรู้สึกว่าอยากลองทำวีดีโอขึ้นมาเป็นของตัวเองบ้าง แต่ติดตรงที่ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน การสร้างวีดีโอมีขั้นตอนอย่างไร และมีอุปกรณ์อะไรที่ต้องใช้บ้าง วันนี้เราจึงได้นำการสร้างวีดีโอมาบอกกันว่ามีขั้นตอนอย่างไรและมีอุปกรณ์อะไรที่ต้องใช้บ้าง อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการถ่ายทำวีดีโอ
ขั้นตอนการถ่ายทำวีดีโอมีอะไรบ้าง ควรเริ่มอย่างไร
การถ่ายทำวีดีโอนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด หากฝึกฝนก็สามารถทำได้ แต่หากเป็นการถ่ายวีดีโอสินค้าหรือวีดีโอในงานสำคัญต่าง ๆ จะนิยมจ้างบริษัทที่รับถ่ายวีดีโอกันมากกว่า เพราะมีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อมและทันสมัย ทำให้ภาพออกมาสวยงาม แต่หากใครที่คิดว่าจะถ่ายจริง ๆ จัง ๆ ก็สามารถหาซื้ออุปกรณ์ถ่ายวีดีโอแบบมืออาชีพมาใช้กันได้ แต่จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง. บริการสื่อความรู้ออนไลน์ Vlearn นี้ เป็นบริการของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (“บริษัทฯ”) สำหรับผู้ใช้บริการซึ่งลงทะเบียนสำเร็จผ่านช่องทางที่บริษัทฯ กำหนด โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขดังนี้ 1. สื่อความรู้ออนไลน์ Vlearn ที่ผู้ใช้บริการสามารถรับชมได้นั้น เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทฯ และ/หรือ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวแทนของเจ้าของ หรือบุคคลใดตามที่กฎหมายกำหนด โดยบริษัทฯ ไม่อนุญาตให้มีการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ ไม่ว่ากรณีใดๆ 2. บริการนี้มีไว้สำหรับรับชมส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่สามารถนำไปเผยแพร่ หรือเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากบริษัทฯ เป็นลายลักษณ์อักษรหรือแบ่งปัน(Share) ตามช่องทางที่บริษัทฯ อนุญาต 3. ผู้ใช้บริการสามารถรับชมสื่อการเรียนออนไลน์ Vlearn ผ่านเว็บไซต์ https://www.vlearn.world/ ซึ่งสามารถลงทะเบียนและเข้าชมได้ทันทีสำหรับสื่อความรู้ฟรี และสามารถซื้อคอร์สต่างๆ เพิ่มเติมของบริการ VCourse 4. การสมัครสมาชิก 4.1 ผู้ใช้บริการประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จำเป็นต้องสมัครสมาชิกผ่านช่องทางที่บริษัทฯกำหนด ด้วย Email address (Username) และ รหัสผ่าน (Password) พร้อมกับยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขบริการของบริษัทฯ 4.2 ผู้ใช้บริการจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยืนยันความเป็นผู้ใช้บริการและสามารถสมัครสมาชิกได้เพียง 1 Email address (Username) ต่อ 1 สมาชิกเท่านั้น 4.3 บริษัทฯ มีสิทธิยกเลิกหรือจำกัดความเป็นสมาชิกได้ หากปรากฏว่าผู้ใช้บริการผิดเงื่อนไขการใช้บริการหรือนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจทำให้บริษัทฯได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด รวมถึงการกระทำอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย 4.4 ความเป็นสมาชิกจะมีผลอยู่ตลอดไปจนกว่าจะมีการบอกเลิกการเป็นสมาชิก หรือบริษัทยกเลิกการเป็นสมาชิกอันเนื่องจากสมาชิกปฏิบัติผิดข้อกำหนดหรือเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง หรือไม่ทำการแก้ไขภายในระยะเวลาที่บริษัทได้แจ้งให้ทราบ หรือกระทำผิดกฎหมายใด ๆ รวมถึงกรณีที่บริษัทยุติการให้บริการ 4.5 ผู้ใช้บริการจะต้องรักษาบัญชีผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ไว้เป็นความลับเฉพาะตน และจะไม่ยินยอมให้บุคคลใดนำบัญชีผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ไปใช้ ไม่ว่าจะโดยความประมาทเลินเล่อ หรือโดยเจตนา หรือโอนสิทธิ หรือโดยประการใด ๆ เป็นอันขาด อย่างไรก็ดี การที่ผู้ใช้บริการยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ของผู้ใช้บริการนั้น ผู้ใช้บริการต้องรับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทฯ และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องแต่เพียงผู้เดียว 5. บริษัทฯ เป็นเพียงเจ้าของลิขสิทธิ์ และ/หรือ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวแทนของเจ้าของ หรือบุคคลใดตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น มิได้เป็นผู้รับรองความถูกต้องของเนื้อหาแต่อย่างใด 6. บริษัทฯ มีสิทธิเปลี่ยนแปลงเนื้อหา ข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริการ ตามความเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้า 7. หากบริษัทฯ ตรวจสอบพบว่ามีการนำบริการไปใช้โดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือนำบริการไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ แก่บริษัทฯ หรือ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการใช้บริการ บริษัทฯมีสิทธิระงับการใช้บริการได้ทันที 8. การให้ความยินยอมและคำรับรองของผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการรับทราบว่ายินยอมให้ผู้ให้บริการ เก็บรวบรวม ประมวลผล ใช้ ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ เพื่อประโยชน์ในการให้บริการ หรือเพื่อปรับปรุงการให้บริการ และเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือเพื่อวัตถุประสงค์การวิจัยตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอบริการหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ของผู้ให้บริการ และ/หรือบุคคลที่เป็นผู้จำหน่าย เป็นตัวแทน หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการ และ/หรือของพันธมิตรทางธุรกิจของผู้ให้บริการ และ/หรือ บริษัทในกลุ่มทรู หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย หรือเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบที่ใช้บังคับใช้กับผู้ให้บริการทั้งขณะนี้และในภายภาคหน้า โดยผู้ให้บริการสามารถส่ง โอน และ/หรือเปิดเผยข้อมูลข้างต้นให้แก่บริษัทในกลุ่มของผู้ให้บริการ พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ประมวลผลข้อมูล หรือหน่วยงาน/องค์กร/นิติบุคคลหรือบุคคลใดๆ ที่มีสัญญา ข้อตกลง หรือนิติสัมพันธ์ กับผู้ให้บริการหรือมีความสัมพันธ์ด้วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ 9. ผู้ใช้บริการยินยอมให้บริษัทฯเชื่อมโยงข้อมูลที่ให้ไว้กับทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนวีเลิร์นเข้ากับบัญชีผู้ใช้ (Username) ที่ลงทะเบียนไว้ 10. ผู้ใช้บริการตกลงจะไม่กระทำการหรือร่วมกับบุคคลอื่นกระทำการใด ๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของบริการวีเลิร์นที่ผิดวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ หรือผิดกฎหมาย หรือขัดกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี หรือก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ กับบุคคล และ/หรือผู้ใช้บริการรายอื่น 11. การใช้บริการ Vlearn ไม่ว่าด้วยอุปกรณ์ใด หรือเวลาใด ผู้ใช้บริการรับทราบและตกลงว่าจะปฏิบัติตามข้อกําหนดและเงื่อนไขการใช้ทุกประการ รวมทั้งเงื่อนไขอื่น ๆ ที่บริษัทฯจะได้กำหนดให้มีขึ้นเพิ่มเติมภายหลังตามที่บริษัทเห็นสมควร หรือเพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย 12. บริษัทฯ มีสิทธิเปลี่ยนแปลงบริการหรือระงับบริการได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้า 13. ผู้ใช้บริการตกลงใช้นามจริงหรือนามแฝง ที่เหมาะสม สุภาพ โดยห้ามใช้คำหยาบ ดูถูก เสียดสี สร้างความแตกแยก ยั่วยุ ส่อไปในทางลามกอนาจาร ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แสดงถึงการหมิ่นต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือแอบอ้าง อ้างอิง พาดพิงถึงบุคคลหนึ่งคนใด สมาชิกที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นเองโดยตรงทั้งสิ้น และตกลงยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทฯ หากการฝ่าฝืนดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทฯ 14. บริษัทฯไม่ต้องรับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการใช้บริการวีเลิร์นแก่ผู้ใช้บริการหรือบุคคลอื่นใด ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หากบริษัทฯไม่สามารถให้บริการบางส่วนหรือทั้งหมด อันเนื่องจากระบบหรืออุปกรณ์ใด ๆ ของผู้ใช้บริการชำรุดหรือขัดข้อง หรือระบบโทรศัพท์ หรือระบบสื่อสารโทรคมนาคมขัดข้องหรือเหตุใด ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัทฯ 15. พบปัญหาการเข้าชมสื่อความรู้ออนไลน์ Vlearn หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 02-700-8044 หรือ 064-132-2929 (จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.) Knowledge > Digital Skills สอนตัดต่อวิดีโอ หลักการ Jump Cut และเทคนิคการตัดภาพให้วิดีโอสมูทขึ้น 3404 views | 02/06/2022 Copy link to clipboard Apple W. Content Creator ไหนใครเคยมีปัญหาเมื่อจะตัดต่อวิดีโอแล้วไม่รู้ว่าจะตัดอะไรไว้ตรงไหนไหมคะ ? เช่น จะใส่ฟุตเทจที่ถ่ายมาไว้ตรงไหนดี จะเอาคลิปไหนไว้ก่อนหลัง และจะเชื่อมคลิปหนึ่งไปยังอีกคลิปหนึ่งอย่างไรให้มันสมูทและน่าดู ไม่โดดไปโดดมาให้คนดูเขางง ศาสตร์การตัดต่อนี้เขาเรียกว่า หลักการลำดับและตัดภาพนั่นเองค่ะ ไปดูกันว่าเราจะลำดับภาพ ตัดภาพในการตัดต่อครั้งต่อไปอย่างไรให้เทพมากขึ้นว่ากันว่าการจะตัดต่อวิดีโอให้ดีได้ ไม่ใช่แค่รู้ว่าใช้โปรแกรมไหนก็จบ มีเหล่าครีเอเตอร์หลายคนที่ใช้โปรแกรมตัดต่อฮิต ๆ อย่าง Adobe Premiere Pro, Final Cut Pro หรือแม้แต่แอปตัดต่อในมือถืออย่าง KineMaster ได้คล่องแคล่ว แต่หลายคนก็ยังไม่สามารถคลอดวิดีโอดี ๆ ที่มีสไตล์ชัดเจน มีมุมกล้องเจ๋ง ๆ ออกมาได้ เพราะการตัดต่อวิดีโอที่ดีต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘จังหวะ’ แห่งการตัดต่อใส่ลงไปด้วย จังหวะที่จะเชื่อมซีนหนึ่งไปยังอีกซีนหนึ่งให้ไม่สะดุด แต่สมูทจนคนดูต้องติดตามจนจบ แถมยังบิ้วอารมณ์คนดูให้คล้อยตามไปกับเรื่องที่เราอยากจะสื่อได้ ทั้งนี้อย่าลืมว่า การตัดต่อคือการเปลี่ยนภาพและเสียงจากหนึ่งช็อต (Shot) ไปยังช็อตต่อไปโดยให้มีความต่อเนื่องและเรียงลำดับเรื่องราว ไม่มีการกระโดดหรือซ้อนกัน และสามารถรักษาคุณภาพของภาพและเสียงให้กลมกลืนกันได้โดยตลอด ดังนั้นใครที่สามารถเข้าใจจังหวะแห่งการตัดต่อ ไปจนถึงเทคนิคการลำดับภาพได้ ก็ยิ่งจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับวิดีโอให้เพิ่มมากขึ้น โดยหลักการลำดับภาพมี 2 ข้อสำคัญ ดังนี้ 1. ความยาวของภาพหรือช็อต การเปลี่ยนภาพแต่ละครั้งจะทำให้ผู้ชมถูกกระตุ้นความรู้สึกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วความรู้สึกนั้นจะค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งมีการตัดภาพอีกครั้งหนึ่ง ถ้าความยาวของช็อตพอเหมาะกับอารมณ์ของผู้ชม ผู้ชมก็จะถูกกระตุ้นตามจังหวะ ถ้าช็อตยาวเกินไป ถ้าคนดูไม่ได้ชอบสไตล์นี้อยู่แล้วเขาก็อาจเบื่อได้ 2. ความถี่ของการเปลี่ยนภาพ หรือถ้าจะเรียกง่าย ๆ ว่าการตัดภาพนั้น ตามธรรมดารายการที่มีความยาว 30 นาที จะมีความถี่ในการตัดภาพประมาณ 20 ครั้ง แต่ความถี่นี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเนื้อเรื่องของเรื่องที่แสดง ถ้าเป็นเรื่องที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เช่น การวิ่ง การกระโดด อาจตัดภาพที่มีความถี่สูง ความจริงแล้วความยาวช็อต และความถี่ของการเปลี่ยนภาพนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่แล้ว 7 เทคนิคการตัดต่อและการลำดับภาพ (Editing)1. การตัดภาพแบบ Cutตัวอย่างเทคนิค Cut จากเพลง Daydreaming ของ Radiohead Cut หรือ Straight cut คือเทคนิคการตัดต่อที่เราจะเห็นมากที่สุด เป็นการนำคลิปวิดีโอสองคลิป หรือเหตุการณ์ การกระทำที่อยู่ในซีนเดียวกันมาต่อกัน ในลักษณะของการตัดไปตรง ๆ เพื่อแสดงถึงความต่อเนื่อง เทคนิค Cut ชน Cut นี้มักจะไม่ต้องการให้ผู้ชมตีความใด ๆ เป็นพิเศษ แค่ต้องการแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเท่านั้น ซึ่งการทำ YouTube หรือ Music video ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้เทคนิคนี้ 2. การตัดแบบ Jump Cutตัวอย่างเทคนิค Jump Cut ในหนังเรื่อง Little Shop of Horrors (1986) การตัดแบบ Jump Cut ก็คือการตัดจากช็อตหนึ่งไปอีกช็อตหนึ่ง ซึ่งทั้งสองช็อตนั้นมักจะอยู่ในตำแหน่ง มุมกล้อง สถานที่เดียวกันหรือคล้ายกัน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ใช้เมื่อต้องการตัดสิ่งที่ยาวไป ไม่ต้องการออกไป หรือว่ามีช่วงที่ถ่ายวิดีโออยู่ดี ๆ ก็มีเหตุการณ์นอกสคริปต์เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่อยากให้มันอยู่ในวิดีโอ แต่หากทำไม่เนียนก็จะทำให้คนดูรู้สึกว่าวิดีโอสะดุด กระตุก โดดไปโดดมา ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นจึงไม่นิยมให้ Jump Cut บ่อย ๆ ถ้าไม่จำเป็น หรือวิดีโอยาวแค่ 10 นาทีแต่ Jump Cut คำต่อคำไปแล้ว 50 กว่าครั้ง เป็นต้น เทคนิค Jump Cut มักนิยมใช้ในวิดีโอสัมภาษณ์ รีวิว คลิปอธิบายยาว ๆ ยาก ๆ ฯลฯ 3. การตัดสลับเหตุการณ์ Cross Cutting
ตัวอย่างการใช้เทคนิค Cross Cutting ในหนังเรื่อง Dunkirk เป็นเทคนิคการตัดต่อเมื่อเราต้องการนำเสนอเหตุการณ์ตั้งแต่ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กัน แต่ดำเนินอยู่ในเส้นเรื่องเดียวกัน เพื่อให้คนดูเข้าใจความแตกต่างหรือเปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้น โดยทั้งสองเหตุการณ์จะมีความหมายทั้งคู่ ไม่ใช่ภาพที่แทรกมาเพื่อเสริมความหมายให้กับภาพหลักเท่านั้น บางครั้งเทคนิค Cross Cutting ก็ทำเพื่อหลอกล่อให้ผู้ชมหลงทาง เดาไม่ถูก เพิ่มความสนุกหรือใช้สะท้อนความย้อนแย้งบางอย่าง มักจะเห็นเทคนิคนี้ในวิดีโอชาเลนจ์ต่าง ๆ เป็นต้น 4. การตัดแบบ Coverageตัวอย่างการใช้เทคนิค Coverage จากหนัง Stranger Things หมายถึงการนำเสนอภาพในฉากจากหลายมุมกล้องของตัวแสดงหลายครั้งเพื่อให้ยังคงความต่อเนื่องเอาไว้ได้ โดยเฉพาะวิดีโอที่ถูกถ่ายในสถานที่เดิม ไม่ได้ย้ายฉากไปไหน โดยเราจะเห็นเทคนิคนี้บ่อย ๆ ในวิดีโอประเภทสอนแต่งตัว การแกะกล่องสินค้า วิธีใช้สินค้าหรือว่ารูมทัวร์ที่จะมีวัตถุเดียวหรืออยู่ในซีนเดียวกัน แต่ต้องการให้คนดูเห็นหลาย ๆ มุม โดยจะต้องมีการถ่ายมุมดังต่อไปนี้
5. การตัดแบบ Montageตัวอย่างการใช้เทคนิค Montage ในโฆษณา Colin Kaepernick ของ Nike คือการตัดต่อแบบรวบรวมหลายเหตุการณ์ โดยที่แต่ละคลิปไม่จำเป็นต้องต่อเนื่อง หรือเป็นเหตุการณ์เดียวกันเลย เพื่อเล่าเรื่องผ่านธีมหลัก สรุปเรื่องราวโดยใช้เวลาเพียงสั้น ๆ การตัดต่อแบบนี้จะนิยมใช้เพื่อเล่าเรื่องโดยมีธีมเรื่องเป็นหลักอยู่แล้ว บ่อยครั้งก็มีการใช้เพลงเข้ามาประกอบ โดยเพลงนั้นจะมีความหมายหรือทำนองสอดคล้องกับเรื่องราวที่ต้องการสื่อออกไป เทคนิคนี้ใช้บ่อย ๆ ในการถ่าย Vlog, วิดีโอโฆษณาขายของ
6. การตัดภาพ Match Cutตัวอย่างเทคนิค Match Cut ในหนังเรื่อง Pirates of the Caribbean Curse Of The Black Pearl Match Cut เป็นการเชื่อมช็อตสองช็อตเข้าด้วยกัน โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องลื่นไหลเป็นหลัก ด้วยการตัดต่อวีดีโอจากภาพ ๆ หนึ่งไปเป็นอีกภาพหนึ่ง โดยทั้งสองภาพมักจะมีความคล้ายกันผ่านการจับคู่ ซึ่งเราจะใช้องค์ประกอบจากฉากก่อนหน้าในการตัดต่อวีดีโอเพื่อนำไปยังฉากต่อไปอย่างลื่นไหล เพื่อสร้างความรู้สึกของการเชื่อมต่อระหว่างสองเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
7. การตัดแบบ Cutawayตัวอย่างการใช้เทคนิค Cutaway จากหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind Cutaway คือการตัดภาพไปยังภาพอื่น ขณะที่ภาพเหตุการณ์นั้นยังดําเนินอยู่ แล้วจึงตัดย้อนกลับมาภาพหลักอีกครั้ง เทคนิคนี้อาจทำให้ขาดความต่อเนื่องไปบ้าง แต่หากแช่ภาพหลักนานเกินไปคนดูอาจหมดความสนใจได้ โดยเทคนิคนี้จะใช้เพื่อข้ามเวลาไปในฉากอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปรียบเทียบหรือสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมและเสริมความเข้าใจให้กับเหตุการณ์หลัก โดยภาพที่แทรกเข้ามาจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลัก ที่มาข้อมูล
|