นิทาน เรื่อง นางฟ้า พูดเพราะ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ติ๊ดตี่…นางฟ้านักคิด” เป็นนิทานเกี่ยวกับการใช้ความคิดในการแก้ปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนิทานนำบุญ นิทานในลักษณะนี้มีประโยชน์มากในแง่การสร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่เด็ก ๆ ผมในฐานะผู้แต่งนิทานหวังว่านิทานเรื่องนี้จะให้ทั้งความสนุกและประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกคนนะครับ

นิทานเรื่อง ติ๊ดตี่…นางฟ้านักคิด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีนางฟ้าฝึกหัดองค์หนึ่งชื่อว่า”ติ๊ดตี่”   ติ๊ดตี่เรียนวิชาเวทมนตร์มาหลายปี  พอใกล้เรียนจบ คุณครูนางฟ้าจึงขอทดสอบติ๊ดตี่ด้วยการให้ติ๊ดตี่ออกเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนให้ได้อย่างน้อย 3 คน โดยมีข้อแม้คือ…ห้ามใช้เวทมนตร์ใด ๆ ในการช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นเป็นอันขาด

ติ๊ดตี่แปลกใจและคิดว่าคุณครูอาจพูดผิด  เพราะนางฟ้ากับการใช้เวทมนตร์เป็นของคู่กัน แต่เมื่อคุณครูยืนยันตามที่พูด  ติ๊ดตี่จึงต้องทำตามคำของคุณครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันรุ่งขึ้น  ติ๊ดตี่ออกเดินทางจนได้พบเด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่กับน้องตัวเล็ก ๆ ของเขา   เมื่อติ๊ดตี่ซักถาม  เด็กคนพี่จึงบอกติ๊ดตี่ว่า  เขากับน้องเป็นเด็กกำพร้า  วันนี้เป็นวันเกิดของน้อง ตัวเขาในฐานะพี่ชายจึงอยากหาขนมเค้กมาฉลองวันเกิดให้  แต่เขามีเงินน้อย ไม่พอซื้อขนมเค้ก  เขาจึงร้องไห้เพราะเสียใจที่ทำให้น้องมีความสุขไม่ได้ 

เมื่อติ๊ดตี่ได้ฟัง  เธอก็เห็นใจเด็กน้อยสองพี่น้องมาก  แม้เธอจะใช้เวทมนตร์ช่วยเหลือเด็กทั้งสองไม่ได้  แต่เธอมีใจอยากช่วยพวกเขาจริง ๆ  ติ๊ดตี่จึงลองคิด…คิด…แล้วก็คิด  ในที่สุด  เธอก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นในใจ

ติ๊ดตี่บอกเล่าสิ่งที่คิดให้เด็กน้อยคนพี่ฟัง โดยเธอบอกให้เขาเอาเงินไปซื้อขนมปังมาปิ้ง ทาเนย  ราดน้ำผึ้ง จากนั้น ให้วางขนมปังซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แล้วปักเทียนลงไปที่ด้านบน เพื่อเปลี่ยนขนมปังให้กลายเป็นขนมฉลองวันเกิดที่ไม่มีใครเหมือน  เด็กน้อยชอบความคิดของติ๊ดตี่มาก  เขาจึงขอบคุณติ๊ดตี่แล้วรีบทำตามคำแนะนำอย่างไม่รอช้า 

นิทาน เรื่อง นางฟ้า พูดเพราะ

เมื่อติ๊ดตี่ช่วยสองพี่น้องได้สำเร็จ  เธอก็เดินทางต่อจนเจอชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ใต้ต้นไม้   หลังจากที่ได้พูดคุยสอบถาม  ติ๊ดตี่ก็พบว่า  ชายหนุ่มคนนี้แอบไปหลงรักหญิงสาวสูงศักดิ์เข้า  ชายหนุ่มอยากมอบดอกไม้ให้เธอสักช่อ  แต่ดอกไม้ตามร้านมีราคาแพงมาก เขาจึงมีเงินไม่พอที่จะซื้อดอกไม้ไปให้  แม้ติ๊ดตี่จะใช้เวทมนตร์เสกดอกไม้ให้ชายหนุ่มไม่ได้  แต่เธอก็มีใจอยากช่วยเขาจริง ๆ  ติ๊ดตี่จึงลองคิด…คิด…แล้วก็คิด  ในที่สุด  เธอก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นในใจ

ติ๊ดตี่เสนอสิ่งที่คิด โดยแนะนำให้ชายหนุ่มลองเก็บดอกไม้ข้างทางและดอกไม้ริมรั้วที่ผู้คนมองข้ามมาจัดให้กลายเป็นช่อดอกไม้ที่สวยงามไม่ซ้ำใคร  เมื่อชายหนุ่มได้ฟัง  เขาจึงลองทำตามและจัดดอกไม้เหล่านั้นจนได้ช่อดอกไม้ที่ดูสวยงามและแปลกตาเป็นพิเศษ  ชายหนุ่มขอบคุณติ๊ดตี่ที่ให้คำแนะนำอันมีค่า  จากนั้น เขาก็รีบนำช่อดอกไม้ไปมอบให้หญิงสาวที่เขาหลงรักทันที

เมื่อติ๊ดตี่ช่วยเหลือชายหนุ่มได้สำเร็จ  เธอก็เดินทางต่อจนพบตายายสองคนที่มีแผงขายของเล็ก ๆ อยู่ริมทาง  คุณตากับคุณยายดูมีสีหน้าเศร้าหมอง เพราะทั้งคู่มีเงินน้อยจึงไม่มีทุนรอนหาของที่น่าสนใจมาขาย  แม้ติ๊ดตี่จะใช้เวทมนตร์เสกข้าวของมาให้คุณตากับคุณยายขายไม่ได้  แต่เธอก็อยากช่วยท่านทั้งสองจริง ๆ    ติ๊ดตี่จึงลองคิด…คิด…แล้วก็คิด  ในที่สุด  เธอก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นในใจ

ติ๊ดตี่ทดลองทำตามสิ่งที่เธอคิด โดยนำเศษไม้และวัสดุธรรมชาติที่หาได้ทั่วไปมาประกอบเป็นรูปร่าง, ทากาวและทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาที่ระลึกเพื่อขายให้แก่นักท่องเที่ยว  เมื่อคุณตากับคุณยายเห็นตุ๊กตาของติ๊ดตี่  ทั้งคู่ก็ชอบใจมาก  คุณตากับคุณยายจึงขอนำความคิดของติ๊ดตี่ไปใช้ทำตุ๊กตาน่ารัก ๆ จากวัสดุธรรมชาติออกมาวางขายบ้าง

ติ๊ดตี่มีความสุขที่เธอช่วยใคร ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เลยแม้สักนิด  ทันใดนั้นเอง ติ๊ดตี่ก็เข้าใจว่า  เพราะเหตุใดคุณครูจึงให้เธอลองช่วยเหลือผู้คนโดยไม่ให้ใช้เวทมนตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา

จริง ๆ แล้ว  การช่วยเหลือผู้คนนั้น  แม้ไม่มีเวทมนตร์  แต่หากเรามีใจและรู้จักใช้ความคิด  เราก็สามารถช่วยเหลือคนทุกคนให้มีความสุขได้เสมอ 

เมื่อติ๊ดตี่กลับไปหาคุณครูนางฟ้า  คุณครูก็ยิ้มต้อนรับนักเรียนคนเก่งของท่านแล้วให้ติ๊ดตี่สอบผ่านได้เป็นนางฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ 

ติ๊ดตี่ดีใจมากที่ได้เป็นนางฟ้าจริง ๆ สมดังที่ตั้งใจเอาไว้  ในขณะเดียวกัน  เธอก็สัญญากับตัวเองว่า  เธอจะพยายามใช้ทั้งเวทมนตร์ที่ได้ร่ำเรียนมาและใช้สติปัญญาที่มีอยู่  คิดหาวิธีช่วย เหลือผู้คนทั้งหลายให้มีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

#นิทานนำบุญ

วันนี้นำเอานิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นมาให้อ่านกันครับ ที่มาจากเพจนิทานพื้นบ้าน เป็นนิทานสอนใจที่ดีอีกเรื่องหนึ่งครับ

กาลครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งชื่อ ฮาคุเรียว เขามีอาชีพเป็นชาวประมง จึงอาศัยอยู่ใกล้ๆ บริเวณชายหาด…

วันหนึ่งกลางฤดูใบไม้ผลิ ฮาคุเรียว ก็ออกไปหาปลาแต่เช้าตรู่เช่นทุกวัน แต่วันนั้นสายลมพัดค่อนข้างแรง เมื่อเขาไปถึงชายหาด เขาได้กลิ่นหอมกรุ่นมาจากทิศทางใดไม่ทราบได้

เขาจึงพยายามมองหาแหล่งที่มาของกลิ่นหอมจรุงนั้น ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นแสงเป็นประกายระยิบระยับอยู่บนกิ่งสนต้นหนึ่งริมหาดนั่นเอง ฮาคุเรียวจึงปีนขึ้นไปดู และพบว่ามันคือผ้าผืนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะบางเบา นิ่มนวลละมุนมือ เป็นประกายสวยงามเมื่อต้องแสงแดด

ยามลมพัดมาถูกเนื้อผ้า ผ้านั้นก็จะเปลี่ยนสีไปมา แดงบ้าง ชมพูบ้าง นอกจากนั้นยังมีกลิ่นหอมบางอย่าง อยากที่จะพรรณนา กลิ่นเดียวกับที่เขากำลังตามหาอยู่

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ฮาคุเรียวจึงคิดว่ามันต้องเป็นผ้าของนางฟ้าอย่างแน่นอน เขาจึงนำผ้านั้นกลับบ้าน  แล้วในระหว่างทางที่เขากำลังจะกลับบ้านนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้สะอึก สะอื้น พอหันไปดูก็ปรากฏว่าเป็นหญิงสาวสวยงามคนหนึ่งยืนร้องไห้หน้าตาเศร้าสร้อยอยู่

เธอกล่าวว่า

“ผ้าผืนนั้นเป็นของข้า ท่านได้โปรดคืนให้ข้าเถอะนะ”

ฮาคุเรียวรีบตอบว่า

“ได้อย่างไรเล่า ข้าเป็นคนเก็บได้นะ”

“มันไม่ใช่สำหรับมนุษย์หรอก มันเป็นของนางฟ้า ข้าเพียงแต่วางมันไว้บนต้นสน ขณะที่กำลังชมความงามของทิวทัศน์เท่านั้น ท่านโปรดคืนให้ข้าเถอะ”

แต่ฮาคุเรียวไม่ยอม เขากล่าวว่า

“ถ้าเป็นของนางฟ้าก็ดีน่ะสิ ข้าจะได้เก็บมันไว้เป็นสมบัติประจำบ้านข้าซะเลย”

“ได้โปรดคืนให้ข้าเถอะนะ ถ้าขาดผ้าคลุมนี้ไปข้าก็เหมือนนกไร้ปีก คงต้องเจ็บปวดทรมานเพราะไม่สามารถบินสู่ท้องฟ้าได้ ท่านโปรดเมตตาข้าเถิด ข้าเป็นนางฟ้า ต้องอยู่บนสวรรค์ จะให้มาอยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างไร ข้าต้องตายแน่ ๆ เลย” นางฟ้าร้องไห้ พยายามอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา

ฮาคุเรียวเห็นดังนั้น ก็เกิดเห็นใจ และพูดว่า

“ก็ได้ ๆ …ข้าจะคืนให้เจ้า”

นางฟ้าได้ยิน ก็รู้สึกดีใจ

“ขอบคุณท่านมาก ๆ ทีนี้ข้าก็จะได้กลับสวรรค์แล้ว”

“แต่… เจ้าต้องฟ้อนรำให้ข้าดูก่อน” ฮาคุเรียวบอก

“ได้สิ แต่ข้าต้องใช้ผ้าผืนนั้นนะ ไม่อย่างนั้นข้าก็ร่ายรำไม่ได้”

“เรื่องอะไรเล่า เจ้าจะได้เหาะกลับสวรรค์ ไม่ยอมฟ้อนรำให้ข้าดูแน่ ๆ น่ะสิ” ฮาคุเรียวกล่าว

นางฟ้าจึงตอบว่า… “ความไม่เชื่อใจกัน มีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น โลกของเทพสวรรค์ไม่มีการหลอกลวงกันเด็ดขาด”

ฮาคุเรียวได้ยินดังนั้นก็เกิดความละอาย จึงคืนผ้าให้กับนางฟ้า

พอนางฟ้าได้ผ้าคลุม นางก็เริ่มร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม เพื่อให้ฮาคุเรียวดูเป็นการตอยแทน นางร่ายรำไปเรื่อย ๆ ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนหายลิบขึ้นไปบนท้องฟ้าในที่สุด ราวกับยอดเขาที่ค่อย ๆ ถูกเมฆหมอกกลืนหายไปอย่างช้าๆ