ความขัดแย้ง การที่จะจัดการกับความขัดแย้งให้ได้ดีนั้น จำเป็นต้องเข้าใจถึงสาเหตุ เพื่อให้เราสามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น มิฉะนั้น เราอาจจัดการแก้ปัญหาที่ผิด และทำให้ปัญหาความขัดแย้งที่แท้จริงไม่ได้รับการแก้ไข คริสโตเฟอร์ มอร์ (Christopher Moore) ได้วิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 5 สาเหตุ อันได้แก่ ความขัดแย้งด้านข้อมูลข่าวสาร ความขัดแย้งอาจเกิดจากข้อมูลมากหรือน้อยเกินไป ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน การตีความผิดพลาด หรืออาจเกิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน หรือสื่อสารในเวลาที่ไม่เหมาะสม สื่อสารกับบุคคลที่ไม่เหมาะสม จนกลายเป็นความเข้าใจผิด ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในการสื่อสาร ย่อมส่งผลให้เกิดความขัดแย้งได้ ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ พื้นฐานโดยธรรมชาติของมนุษย์ล้วนต้องการได้รับสิ่งดี ปรารถนาเลือกสรรแต่สิ่งดีเพื่อตนเอง เมื่อใดที่ตนเองต้องสูญเสียผลประโยชน์ ย่อมเกิดความไม่พอใจ ความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์จึงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดและเกิดขึ้นในสังคมทั่วไปทุกระดับ ความขัดแย้งที่เกิดจากการสูญเสียผลประโยชน์อาจนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ความแตกแยกขาดสามัคคีในองค์กรและในประเทศ ผู้บริหารต้องสามารถประสานประโยชน์ให้ลงตัวได้ ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ คนเราแต่ละคนล้วนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันออกไป แต่ละคนมี ldquo;เอกลักษณ์rdquo; แตกต่างกัน ส่งผลให้การแสดงออก และการทำความเข้าใจผู้อื่นแตกต่างกัน จนอาจกลายเป็นความขัดแย้งได้ อาทิ คนที่เติบโตในบริบทของสังคมประชาธิปไตยย่อมมีนิสัยเคารพสิทธิและให้เกียรติผู้อื่น ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ชอบให้ใครมาละเมิดสิทธิส่วนตัวหรือใช้อำนาจบังคับ จึงมักขัดแย้ง หากต้องทำงานร่วมกับคนที่เติบโตมาในบริบทสังคมอำนาจนิยม มักชอบออกคำสั่ง ชอบให้คนเชื่อฟัง ไม่ชอบการโต้เถียงด้วยเหตุผล และมักไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่าง จึงมักทำงานร่วมกันอย่างยากลำบาก ความขัดแย้งด้านค่านิยม แต่ละคนล้วนมีระบบความเชื่อ ความแตกต่างในค่านิยม ขนบประเพณี ประวัติ การเลี้ยงดู ส่งผลให้แต่ละคนหรือกลุ่มมีค่านิยมที่แตกต่างกัน หากต้องทำงานร่วมกับคนที่มีค่านิยมแตกต่าง อย่างปราศจากความเข้าใจ อาจเป็นเหตุให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องสร้างความเข้าใจในความแตกต่างและยอมรับก่อนจึงทำงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพ ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง โครงสร้างในที่นี้เป็นเรื่องของอำนาจ อาทิ การแย่งชิงอำนาจ การใช้อำนาจ การกระจายอำนาจ และปัญหาโครงสร้างรวมไปถึง กฎ ระเบียบ บทบาท อีกทั้งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องต่าง ๆ อาทิ การปฏิบัติอย่างยุติธรรมหรือไม่? การใช้อำนาจแบบมีส่วนร่วมหรือไม่? การยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้งได้เสมอ การแยกแยะความขัดแย้งออกไปแต่ละชนิดช่วยให้เห็นความชัดเจนของความขัดแย้งว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขที่ถูกต้อง มอร์วิเคราะห์ว่า ความขัดแย้งในแต่ละเรื่อง อาจเกิดจากสาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุผสมกัน และความขัดแย้งด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านผลประโยชน์ และด้านความสัมพันธ์ มีแนวโน้มจะเจรจาได้ง่ายกว่าความขัดแย้งที่สัมพันธ์กับค่านิยมและโครงสร้าง นักบริหารที่มีประสิทธิผล มิใช่ผู้ที่พยายามกำจัดความขัดแย้งให้หมดไป หากแต่เป็นผู้ที่มีความเข้าใจสาเหตุของความขัดแย้งในแต่ละกรณีอย่างกระจ่างแจ้ง และสามารถบริหารจัดการความขัดแย้งจนแปรเปลี่ยนความขัดแย้งเป็นพลังสร้างสรรค์องค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปได้ Dr.John Ng ผู้เชี่ยวชาญในด้านการจัดการความขัดแย้ง ของ Eagles Mediation and Counseling Center ประเทศสิงคโปร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่าน และได้ให้มุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติของความขัดแย้งไว้ 4 ประเด็น ดังนี้ ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เนื่องด้วยคนเรามีความแตกต่างกัน เช่น มีบุคลิกภาพต่างกัน มีความคิดเห็นต่างกัน มีค่านิยมต่างกัน และมีความต้องการต่างกัน เราจึงมีความขัดแย้งกัน ดังนั้นตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถมีความขัดแย้งกับผู้อื่นได้ การมีความขัดแย้งไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกหักในความสัมพันธ์ แต่วิธีจัดการกับความขัดแย้งต่างหากที่มีผลต่อความสัมพันธ์ ความขัดแย้งมีค่าเป็นกลาง คนส่วนมากกลัวความขัดแย้ง เพราะคิดว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เรามักจะเชื่อมโยงความขัดแย้งกับคำที่มีความหมายในทางลบ เช่น ความโกรธ ความก้าวร้าว การต่อสู้ การโต้เถียง ความคับข้องใจ ความขมขื่น และความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งก็มีข้อดีได้ เพราะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เกิดความคิดใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เกิดการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน และมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม ครอบครัวที่ไม่มีความขัดแย้งไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวที่มีความสุขเสมอไป พ่อแม่ที่คิดว่าครอบครัวของตนไม่มีความขัดแย้งอาจจะไม่รู้ตัวว่าได้สร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวแก่ลูก ๆ จนไม่มีใครกล้าพูดถึงความต้องการที่แท้จริงของตนออกมา พ่อแม่ที่เข้มงวดเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นเท่ากับได้กวาดความขัดแย้งไปซ่อนไว้ใต้พรมซึ่งรอเวลาที่จะระเบิดออกมา แต่ครอบครัวที่มีความเป็นประชาธิปไตย แม้มีความขัดแย้งก็สามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ไม่มีวันจบ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่มีการโต้เถียงกันซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น เรื่องผลการเรียน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องนอน การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ การนอนตื่นสาย การพูดโทรศัพท์นานเกินไป และการออกไปเที่ยวเตร่นอกบ้านกับเพื่อน เป็นต้น ทั้งนี้ พ่อแม่ต้องยอมรับว่าจะต้องมีความขัดแย้งในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าลูกจะเติบโตผ่านช่วงวัยรุ่นนี้ไป ดังนั้นแทนที่จะหลีกหนีหรือเก็บซ่อนความขัดแย้งไว้ สิ่งที่ควรทำก็คือ การหาวิธีจัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ดร.จอนห์น อึ้ง ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่นไว้ดังนี้
จากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมาทั้ง 10 ข้อนี้ทำให้เราเห็นว่าทั้งพ่อแม่และวัยรุ่นอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ดังนั้นการมีความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ Dr.John Ng ได้เสนอแนะแนวคิดกว้าง ๆ เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งไว้ 3 ข้อ ด้วยกันคือ
นอกจากนั้น Dr.John Ng ยังได้ให้กฎ 8 ข้อ ในการจัดการกับความขัดแย้งไว้ดังนี้
รายการอ้างอิง ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com ********************************************** บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz โดย รองศาสตราจารย์ ดร. เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ********************************************** |