คําสอนของพระบิดาแห่งการแพทย์ ไทย

ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ด้วย

ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก พระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ  แต่อีกหลายๆคนก็อาจจะไม่คุ้นเคยนัก  แต่พอเรากล่าวว่าพระองค์คือพระบรมราชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราชาวสยาม หลายท่านจึงถึงบางอ้อ 

คําสอนของพระบิดาแห่งการแพทย์ ไทย

ข้าพเจ้าได้รู้จักพระนามของพระองค์ เมื่อตอนเข้าเรียนแพทย์ปีหนึ่ง การรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร  หมอรุ่นพี่เพียงแต่บอกว่าพระองค์เป็นบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย   แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำได้มากที่สุดก็คือ คำสอนหนึ่งของพระองค์  คำสอนที่ว่า " ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นมนุษย์ด้วย "  ข้าพเจ้าว่าเพียงคำสอนนี้คำสอนเดียวก็มีความหมายกินใจข้าพเจ้า  ในเบื้องต้นข้าพเจ้าตีความไปว่า   การเป็นหมอก็ควรจะเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งด้วย  การเป็นหมอไม่ใช่อะไรที่แตกต่างจากคนอื่น  หมอควรทำตัวเป็นคนธรรมดาๆ อะไรแบบนั้น  

ในความรู้สึกตอนนั้น ข้าพเจ้าว่า บรรดาหมอๆ หรือคนที่จะเป็นหมอนั้นเป็นพวกแปลกๆ  และดูจะทำตัวไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป จะว่าทำตัวสูงกว่าคนอื่นก็ไม่เชิง แต่จะเป็นพวกทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ออกไปในลักษณะของการมีตัวตน มีความหยิ่งในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะ คนมาเรียนหมอมักเป็นกลุ่มคนที่หัวดี มีความฉลาดกว่าคนอื่นๆ  จึงมักหลงคิดไปว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่นด้วยก็ไม่ทราบ จึงมีอาการดังว่า   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอยู่ในกลุ่มหัวปานกลางแถมไม่ได้ฉลาดสักเท่าไหร่ จึงออกอาการไม่เข้าพวกเป็นบางครั้ง  และไม่ได้อินกับอาชีพนี้แม้แต่น้อย แถมไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมาเป็น จะมาเรียนในอาชีพนี้  ข้าพเจ้าจึงมีอาการเบื่อๆ กับการเรียนหมอ  แต่หลักคำสอนของพระราชบิดา ข้าพเจ้าชอบใจมาก  มันเป็นคำสอนที่เตือนสติให้หมอทั้งหลาย รู้จักมีความเป็นมนุษย์ หรือ ทำตัวให้เป็นคนธรรมดาๆ ติดดินเสียบ้างอะไรประมาณนี้

เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวกว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจคำสอนนี้อย่างลึกซึ้ง แล้วพบว่า  คำสอนนี้มีความหมายและมีคุณค่าแค่ไหน  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า   ความเข้าใจอันลึกซึ้งนั้นจะเหมือนกับหมอท่านอื่นๆหรือไม่   ข้าพเจ้าเป็นหมอที่จำต้องมาเป็นหมอ  บังเอิญว่าสอบติดเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ  บางคนอาจจะคิดในใจว่าดัดจริต  เพราะคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็อยากเรียนกันทั้งนั้นอาชีพนี้  แต่ข้าพเจ้ามาด้วยความบังเอิญจริงๆ   สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้าย เวลาเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเลือกอันดับสูงๆ ไว้เป็นอันดับแรก แล้วก็รองลงมา  ตอนเลือกคณะนั้นเพื่อนๆบอกว่า อันดับหนึ่งต้องสูงไว้ก่อน แต่เราจะเอาคณะที่เราอยากติดจริงๆ ไว้รองลงมา  อันดับหนึ่งไม่หวัง แต่หวังอันดับสามโน่น ตอนเลือกคณะแพทย์เป็นอันดับหนึ่งข้าพเจ้ายังไปโกหกทางบ้านว่า ไม่ได้เลือกคณะนี้   ทำเอาพ่อและแม่ผิดหวัง เพราะเป็นธรรมดาของผู้ใหญ่ที่อยากจะให้เราเรียนอะไรๆ ที่ดีในสายตาของท่าน และข้าพเจ้าต้องทนแรงกดดันมาตลอด เพราะถูกบอกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เลือกเรียนหมอ ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ข้าพเจ้าไม่คิดใฝ่ฝันที่จะเป็น  โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าไม่อยากเข้าที่สุด เพราะที่นั่นมีแต่ความทุกข์ มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และข้าพเจ้าไม่ชอบหมอ

อันที่จริงข้าพเจ้าชอบวาดรูป อยากเรียนถาปัด ฯ หรือไม่ก็เรียนคณะวนศาตร์  แถมความฝันตอนเด็กๆของข้าพเจ้าคือการเป็นครู  ข้าพเจ้าคิดว่าครูคืออาชีพที่มีคุณค่า ครูสอนเด็กๆให้มีความรู้ เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ดูดีและน่ายกย่องจะตาย  จำได้ว่าวันหนึ่งคุณครูประจำชั้นถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร  ข้าพเจ้ากลับบอกว่า อยากเป็นครู   ทำเอาคุณครูส่ายหน้า แล้วบอกว่า เรียนก็เก่ง ไปเรียนหมอสิ  ??  แล้วทุกๆคนก็บอกว่า  ข้าพเจ้าต้องเรียนหมอ  แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะเรียนแม้แต่น้อย

บางทีอะไรมันก็ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เหตุปัจจัยบางอย่างทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทำหน้าที่นี้  ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะมาอยู่ในดงคนเก่งสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ตอนอยู่มัธยมปลาย  ข้าพเจ้าเรียนในโรงเรียนที่เขาว่าสอบเข้าคณะแพทย์ได้มากที่สุด   ที่นี่เต็มไปด้วยคนเก่ง  มีการแข่งขันกันน่าดู  มีครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเกิดสอบวิชาชีววิทยาได้คะแนนสูงสุดของทั้งสี่ห้อง  มีใครหลายคนเกิดสนใจว่า ข้าพเจ้าเป็นใครมายังไง และรู้สึกถูกลองดีลองภูมิความรู้อยู่ระยะหนึ่ง   ชีวิตอันสงบๆ แบบเดิมๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจะมารู้จักของข้าพเจ้าจึงเกิดวุ่นวายขึ้นมา  พอสักพักหลายคนก็รู้ว่า ที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้เก่งอะไรสักเท่าไหร่นี่หว่า พวกเขาก็เลยเลิกสนใจที่จะมาลองภูมิอีก ทำให้ข้าพเจ้าโล่งใจและกลับมามีความสุขอีกครั้ง

 พอมาอยู่ในคณะแพทย์ก็ไม่ต่างกัน  นักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่เอาจริงเอาจังมาก เกรดคะแนนเป็นเรื่องใหญ่ และแข่งขันกัน  แต่ข้าพเจ้าเริ่มเบื่อหน่ายการวิ่งแข่งอันนี้ และจะเลิกเรียนเสียกลางคันด้วยซ้ำ  แถมข้าพเจ้ายังไปคบหากับเพื่อนต่างคณะ เช่น วิทยาศาสตร์  มนุษยศาตร์  ไม่ค่อยเข้ากลุ่มคณะเดียวกันสักเท่าไหร่  ออกจะไปในแนวไม่ฝักใฝ่ในคณะเดียวกัน  จนเพื่อนๆ ในคณะบางคนมองว่าข้าพเจ้าท่าจะเป็นพวกมีปัญหาเข้าสังคมของหมอๆไม่ได้   ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ปีหนึ่งและคิดไปไกลว่า จะสอบเอนทรานใหม่ด้วยซ้ำ 

สุดท้ายข้าพเจ้าก็เข็นตัวเอง เรียนจนจบ  บางทีเราก็ไม่สามารถเลือกอะไรหรือทำอะไรตามใจจริงๆได้ถ้าเราไม่มีความกล้าพอที่จะแหกกฎแหกค่านิยมของสังคมบางอย่าง  ไม่นับรวมถึงความเสียอกเสียใจของพ่อแม่ที่อาจเกิดขึ้น ถ้าเราแหกกฏ  แล้วเลิกทำอะไรบางอย่างที่ชาวประชาทั้งหลายเขาว่าดี   ส่วนใหญ่การเรียนหมอก็คงจะดีกว่าการเรียนเป็นอะไรอย่างอื่นอยู่แล้วในสายตาของท่าน

ข้าพเจ้าจึงไม่ได้อินกับอาชีพหมอสักเท่าไหร่      แต่ข้าพเจ้าชอบคำสอนของพระราชบิดาประโยคนั้น   และนึกแสวงหาหมอที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แบบที่พระองค์กล่าวถึง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจอสักคน  มาเจอก็ตอนจบไปใช้ทุนปีแรก  พอเรียนจบ ข้าพเจ้าก็เลือกไปใช้ทุนในจังหวัดที่อยู่ห่างไกล แถบชายแดนทางเหนือ  ตอนเลือกนั้นไม่ต้องแย่งกับใครเพราะที่จังหวัดนั้นรับสามคน แต่มีคนเลือกลงแค่สองคนด้วยซ้ำ ภายหลังจึงได้เพิ่มมาครบสาม 

 มาอยู่จังหวัดนี้รู้สึกดี ที่พบแต่พี่หมอซึ่งมีความเป็นชาวบ้านและเป็นมนุษย์ธรรมดาๆหน่อย มีเพื่อนฝูงที่เป็นหมอบ้านนอกๆ   กินอยู่ง่ายๆ ใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ  ไม่มีหมอที่ทำท่าเป็นหมอตลอดเวลา และมักจะคิดว่ากูคือพระเจ้าอะไรแบบนั้น  

เมื่อมาอยู่ที่จังหวัดนี้ เราทั้งหลายจะเป็นสมาชิกของ พอสว.โดยปริยาย เพราะที่นี่ห่างไกล มีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่อยู่แล้ว  ข้าพเจ้าก็สมัครเป็นด้วย  เมื่อสมัครเป็น พอสว.หรือ แพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  เราจะได้รับผ้ามาตัดเสื้อ เป็นเสื้อกาวน์สีเทาๆ กับสมุดพกเล่มเล็กๆ สีแดงประจำตัว  เข็มกลัด และหนังสือเล่มบางๆอีกหนึ่งเล่มที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร

การออกหน่วยแพทย์อาสา ตอนนั้นมีออกเป็นระยะๆ แต่ที่จำได้ก็คือข้าพเจ้าได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะการออกหน่วยคราวนั้น รถไปไม่ถึงต้องนั่ง ฮ.ไปลง  แถมพื้นที่ที่ไปติดชายแดนมาก จึงมีทหารหน่วยหนึ่งเดินข้ามดอยมาเป็นลูกๆ เพื่อมาคุ้มครองอารักขาเรา  เป็นการออกหน่วยที่สนุกดี  การออกหน่วยของหมอที่นั่นในสมัยนั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน และชอบที่จะออกไปกัน  เข้าป่าเข้าดอยเหมือนได้ไปเที่ยว  ไปทำงานด้วยสนุกด้วย แต่หมอหลายคนในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว 

ข้าพเจ้าทำงานในอาชีพตามสมควรตามหน้าที่ เมื่อถึงเวลาเรียนต่อข้าพเจ้าก็เลือกไปเรียนต่อ  ถามว่าตอนนั้นข้าพเจ้าอินในอาชีพหรือ ภูมิใจในอาชีพหรือ ก็ยังคงไม่  แต่ข้าพเจ้าพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีก็คงเท่านั้น

การไปเรียนหมอเฉพาะทางในสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าพบหลายสิ่งหลายอย่าง  มีคนบอกว่าที่นี่โหดมาก หมอที่มาเรียนต่อเฉพาะทางที่นี่จะต้องผจญกับอาจารย์ดุๆ ระบบเก่าๆ  ตึกเก่าๆ และทำงานเหนื่อยมากยิ่งกว่าที่ใดๆ  ข้าพเจ้าเห็นจริงตามนั้น การอยู่ที่สถาบันแห่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดขัดข้องใจมากๆ แต่ความยากลำบากนั้นก็คือการสอนเราให้อดทน   แม้บางครั้งจะทนเกือบไม่ได้  แต่ข้าพเจ้าก็พบสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่นั่นด้วย  ข้าพเจ้าได้พบอาจารย์ดีๆ ที่แม้จะดุบ้างแต่หลายท่านมีความเป็นครูที่สูงมาก  การที่เราถูกดุด่าก็เพราะว่าเราอาจจะดูคนไข้ไม่ดี  ทำงานยังไม่เรียบร้อย   อาจารย์ท่านหนึ่งไม่เคยเรียกคนไข้ว่า คนเตียงที่ 10  คนไข้เตียงที่ 11  แต่อาจารย์เรียกชื่อคนไข้เสมอ  การเรียกชื่อคนไข้เป็นการย้ำเตือนว่า คนไข้คนนั้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ไม่ใช่เตียง   การปฎิบัติต่อเขาจึงเป็นการปฎิบัติต่อมนุษย์คนหนึ่ง  ไม่ใช่วัตถุ  ทำให้เราตระหนักรู้ว่าเขาก็คือคนเช่นเรา   จำได้วันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดไม้ของตึกมหิดลบำเพ็ญ รุ่นพี่ที่นับถือกัน และกำลังก้าวเดินขึ้นตึกไปด้วยกันได้บอกว่า "ขอให้น้องจำไว้เวลาก้าวเดินขึ้นบันไดตึกนี้  จงระลึกถึงพระราชบิดา ที่ท่านบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างตึกนี้ขึ้น "  รุ่นพี่ท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่สั่งสอนข้าพเจ้าให้รู้จักว่า  แพทย์ที่มีหัวใจเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร  และการสอนนั้นไม่ใช่การสอนด้วยวาจา แต่เป็นการทำให้ดู ปฎิบัติให้เห็น   เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นจริงๆจังๆว่า หมอที่แท้ควรดูแลคนไข้อย่างไร ควรมีความอดทนแค่ไหน และต้องทุ่มเทอย่างไร  และการเป็นหมอคืองานที่มีคุณค่าแค่ไหน ความเอื้ออาทร และความทุ่มเทที่รุ่นพี่ท่านนี้ปฎิบัติตอนดูแลคนไข้  ทำให้ข้าพเจ้าได้แต่คิดในใจว่า ขอเป็นได้และทำได้แค่ครึ่งหนึ่งของรุ่นพี่ท่านนี้ก็พอแล้ว และชาตินี้คงจะไม่สามารถทำได้ดีเท่ารุ่นพี่ท่านนี้เป็นแน่

ที่นี่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมนิทรรศการแสดงประวัติของพระราชบิดา และมีการตั้งแสดงข้าวของบางอย่างของพระองค์ ที่ประทับใจก็คือ แผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกของพระองค์  พระองค์เรียนจบมาจากเมืองนอก พระองค์บันทึกสิ่งต่างๆ ในวิชาทางการแพทย์ด้วยลายมือที่อ่านง่ายและเป็นภาษาอังกฤษ  การจดบันทึกนั้นเรียบร้อยสวยงาม และเป็นการบันทึกอย่างตั้งพระทัยในการศึกษาเล่าเรียนวิชาแพทย์อย่างมากทีเดียว    เมื่อข้าพเจ้านึกถึงสมุดบันทึกวิชาความรู้ของข้าพเจ้าตอนเรียนหมอ ก็สำนึกได้ว่าไม่ได้ตั้งใจเท่าที่ควร เป็นการเขียนแบบเขี่ยๆไป  เหมือนจะสะท้อนว่า  ที่ผ่านมาตอนเรียนหมอข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะเรียนสักเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นหมอสักเท่าไหร่  แต่พระราชบิดานั้น  พระองค์เห็นคุณค่าในอาชีพนี้ และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะอยู่ในอาชีพนี้  เมื่อไปศึกษาประวัติของพระองค์โดยละเอียดมากขึ้น  ข้าพเจ้าก็พบว่าพระองค์มีพระพลานามัยไม่ค่อยแข็งแรงนัก กว่าจะเรียนจบเป็นหมอจาก Harvard medical  school มา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

คำสอนของพระราชบิดานั้น  เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งและมีความหมาย  เมื่อเริ่มต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่เข้าใจอะไรนัก ไม่ซาบซึ้งอะไรนัก  หลายๆปีผ่านไป  จึงเข้าใจและรับรู้ว่า  สิ่งที่พระองค์สอนก็คือ

" ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ด้วย "

 นั่นคือความหมายที่แท้จริงในคำสอนนี้

ในวันที่พระพี่นางสวรรคต  มีการนำเสนอพระกรณียกิจของพระองค์ เรื่องการดูแลงานพระราชกรณียกิจต่อจากสมเด็จย่า งานนั้นคืองาน หน่วยแพทย์อาสา พอสว.  และเป็นอย่างไรไม่รู้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้  ไม่ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานแค่ไหน แม้ข้าพเจ้าจะย้ายที่ทำงานบ่อยๆ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำติดตัวไปด้วยเสมอก็คือ เสื้อหน่วยแพทย์อาสา  สมุดพกประจำตัวแพทย์อาสาเล่มสีแดงเล็กๆนั้น   พร้อมกับหนังสือที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  นี่คือหนังสือธรรมะเล่มแรกสุดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็นำมันติดตัวไปด้วยเสมอไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหน 

 

วันนั้นข้าพเจ้าเดินขึ้นไปบนห้องนอน พอหยิบสมุดพกเล่มสีแดงขึ้นมาเปิดดู ก็เพิ่งสังเกตว่า  ทางด้านขวาของสมุดพกที่มีลายพระหัตถ์ของสมเด็จย่านั้น   พระองค์ลงลายพระหัตถ์ให้ด้วยพระองค์เองด้วยปากกาหมึกซึม   เป็นลายพระหัตถ์จริงๆ ที่แพทย์ พอสว. ต่างได้รับ   ข้าพเจ้านึกภาพไปว่า  สมเด็จย่าคงจะใช้พระหัตถ์จับสมุดพกเล่มนี้ และแว่บหนึ่งพระองค์คงจะทอดพระเนตรดูใบหน้าของเราจากรูปถ่ายด้านซ้ายเล็กน้อย  ก่อนที่พระองค์จะลงลายพระหัตถ์นั้น  น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะสังเกตเห็นความสำคัญในเรื่องนี้

  พระราชบิดาสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 พระชนมายุ 37 พรรษา 8  เดือน  23 วัน   สมเด็จย่าต้องเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาเพียงลำพัง  คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับพระองค์ในขณะนั้น  สมเด็จพระพี่นางต้องช่วยพระมารดาในเรื่องนี้          ความผูกพันธ์ของสมเด็จพระพี่นางฯกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงมากมายนัก  มากเกินว่าที่เราทั้งหลายจะรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ ..

คำสอนของพระราชบิดา  สมุดพกประจำตัวของแพทย์ พอสว.   กับ การที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินสยามและมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นพระประมุข  และการสวรรคตของสมเด็จพระพี่นาง ฯ      ทำให้ข้าพเจ้าต้องกลับมาทบทวน และมองเข้าไปอย่างลึกซึ้งว่า   ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีหัวใจที่เป็นมนุษย์หรือยัง   และข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ดีแล้วหรือไม่   ข้าพเจ้าต้องทบทวนตัวเอง..