จากเหตุการณ์ข้างต้น เราจะเห็นประโยคที่ว่า I go to school และ She goes to school เพื่อน ๆ สังเกตไหมว่ากริยาในสองประโยคนี้นั้นแตกต่างกัน เพราะในประโยคภาษาอังกฤษคำกริยาจะเปลี่ยนไปตามประธานยังไงล่ะ ตัวแปรสำคัญก็คือคำสรรพนาม (pronoun) ที่ใช้แทนตัวประธาน จากตัวอย่าง แม้น้อง A จะใช้ I พูดถึงตัวน้อง A คนเดียว แต่เราถือว่า I เป็นสรรพนามพหูพจน์ ดังนั้นกริยา go ในประโยค present simple นี้จึงไม่ต้องเติมอะไรเลย ส่วนประโยคถัดมา ประธานของเราคือ She ซึ่งเป็นสรรพนามเอกพจน์ ตามกฎที่ว่ากริยาใน present simple จะต้องเติม s /es ดังนั้นกริยา go ของประโยคนี้เลยกลายเป็น goes นั่นเอง แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าสรรพนามตัวไหนเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ดูได้ที่ตารางนี้เลย
ส่วนหลักง่าย ๆ ในการเปลี่ยนกริยาเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ก็คือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ เราก็จะใช้กริยาเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ เราก็จะใช้กริยาพหูพจน์เช่นกัน วิธีจำง่าย ๆ ก็คือ ถ้าประธานมาคนเดียว (เอกพจน์) แล้วเหงา กริยาของเราเลยต้องพา s /es มาด้วย Singular subject + singular v . Plural subject + plural v . Present Simple และการเปลี่ยนคำกริยาสำหรับ Present Simple เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ กริยาจะต้องเติม s หรือเติม es ตามหลักดังนี้ 1. กริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z, o จะเติม es เช่นfinish -> finishes She finishes her class at five. watch -> watches He watches TV. go -> goes It goes fast. 2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y เรามักจะเปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่นstudy -> studi.. -> studies He studies French. try -> tri.. -> tries She tries hard. *ข้อยกเว้นในการเติม s, es: ถ้าตัวสุดท้ายเป็นคำกริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) สามารถเติม s ได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i แล้วค่อยเติม es เช่น say -> says He says something. pay ->pays She pays for my food. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์เราก็ต้องวุ่นวาย ให้กริยาพา s /es ไปอยู่เป็นเพื่อนประธานตามกฎข้างต้น แต่ถ้าประธานในประโยคเป็นพหูพจน์ (plural) ก็จะไม่เหงา กริยาของเราจึงไม่ต้องเติมอะไรเลย ทั้ง s และ es เราจะลองเปรียบเทียบให้เพื่อน ๆ ดูว่าประโยคที่ประธานเป็นเอกพจน์และพหูพจน์นั้นทำให้กริยามีหน้าตาเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ส่วนหลักการเปลี่ยนกริยาให้เป็นรูปเอกพจน์สำหรับคำนามอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Pronoun ก็จะมีหลักการมองง่าย ๆ ดังนี้ 1. ใน Present Simple ถ้าประธานเป็นเอกพจน์เราจะเติม s ที่กริยานั้น ๆ ใช่ไหม แต่สำหรับคำนามนับได้ปกติให้เพื่อน ๆ ท่องไว้ว่าNoun เติม s , verb ไม่เติม s ถ้า Noun ไม่เติม s, verb เติม s ยกตัวอย่างเช่น มีแมวหนึ่งตัวกระโดดวิ่งเล่นไปมา เราจะเขียนออกมาเป็นประโยคนี้ The cat scampers. คำว่า scamper เป็นคำกริยา แปลว่ากระโดดโลดเต้น วิ่งเล่นไปมา เมื่อประธานของเราคือ cat ที่เป็นเอกพจน์ ดังนั้น scamper จึงต้องเติม s กลายเป็น scampers แต่ถ้ามีแมวเพิ่มมาอีกตัว จาก cat ก็จะกลายเป็น cats แล้ว s ของ scampers ก็จะหายไป กลายเป็น scamper เขียนเป็นประโยคสวย ๆ ได้แบบนี้ The cats scamper. 2. แต่ก็มีคำนามบางคำที่มีรูปเป็นพหูพจน์โดยไม่เติม -s เช่นคำว่า men, women, children, feet, people, และอื่น ๆSingular noun Plural noun man -> men woman -> women child -> children foot -> feet person -> people ยกตัวอย่างคำว่า child ถ้าเราเปลี่ยนจากรูปเอกพจน์เป็นพหูพจน์ด้วยการเติม s child -> childs แบบนี้ก็จะผิดทันที เพราะรูปพหูพจน์ที่ถูกต้องของ child คือ children แบบไม่มี s ต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น A child loves to eat. ถ้าเราจะเปลี่ยนประธานเอกพจน์อย่าง A child ให้เป็นรูปพหูพจน์ก็ต้องเป็น Two children ก็จะกลายเป็นประโยคนี้ Two children love to eat. Past Simple และการเปลี่ยนคำกริยาส่วน Past Simple tense นั้นมีรูปก็คือ Subject + v.2 ไม่ว่าจะเป็น Singular subject หรือ Plural Subject plural ให้ใช้เป็นกริยาช่อง 2 ได้เลย เช่น The dog chased after the cat. The dogs chased after the cats. จะสังเกตว่าต่อให้คำนามเติม s หรือไม่นั้น กริยาก็ยังเป็น v.2 เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนรูป สรุปการเปลี่ยนคำกริยาเนื้อหาเยอะมาก ๆ งั้นมาสรุปกันอีกครั้ง ในกรณีที่เป็น Present Simple tense การใช้ Singular verb หรือ Plural verb เราจะต้องดูตามประธาน ถ้าประธานที่เป็น pronoun ทั่วไป เป็น singular pronoun อย่าง he, she, it กริยาก็จะเป็น singular verb เติม s /es ตามหลัก 2 ข้อ ถ้าประธานเป็น plural pronoun อย่าง I, you, we, they กริยาก็จะเป็น plural verb ที่ไม่เติม s /es นั่นเอง ส่วนคำนามทั่วไปที่ไม่ใช่ pronoun ให้ยึดหลักว่า Noun เติม s , verb ไม่เติม s ถ้า Noun ไม่เติม s, verb เติม s กฎนี้ใช้ได้ตลอด ยกเว้นคำนามที่มีรูปพหูพจน์เฉพาะตัวแบบไม่ต้องเติม s เช่น men, women, children, feet, people และอื่น ๆ และสุดท้าย Past simple นั้นง่ายมาก ๆ เพราะต่อให้ประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ทั้ง singular verb และ plural verb ก็จะเป็นรูปเดียวกันหมดเลย ก็คือ v.2 อ่านมาถึงตรงนี้ ปัญหาการใช้ s /es ที่กวนใจเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนคงหายไปแล้ว อย่าลืมนำไวยากรณ์นี้ไปใช้กันบ่อย ๆ จะได้คล่องมากขึ้น นอกจากนี้เพื่อน ๆ ยังไปเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกันต่อได้ที่บทเรียนออนไลน์เรื่องการใช้ Adverb ลุยเลย ขอบคุณข้อมูลจาก:
|