หมายเหตุ: 1. ทางสโมสรทหารบกฯ ขอสงวนสิทธิ์เรื่องอัตราค่าบริการจัดเลี้ยง ตามประเภทของเจ้าของงานที่ได้ติดต่อกับทางเราในครั้งแรกเท่านั้น 2. รายละเอียด Cocktail คลิกที่นี่ 3. รายละเอียด Thai Buffet 100 - 200 ท่าน คลิกที่นี่ 4. รายละเอียด Thai Buffet มากกว่า 200 ท่าน คลิกที่นี่ 5. รายละเอียด International Buffet คลิกที่นี่ 6. รายละเอียด Chinese Menu A, B, C, D (1 โต๊ะ = 10 ท่าน) คลิกที่นี่ 7. รายละเอียด ซุ้มออกร้าน คลิกที่นี่ 8. รายละเอียด Wedding package คลิกที่นี่ สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก เกริ่นนำแบบที่หลาย ๆ คนเขียนกันเนอะ แต่ก็เป็นความตั้งใจที่อยากมาแชร์ข้อมูลให้กับ pantip บ้าง หลังจากมาอ่านข้อมูลดี เรื่องแรกที่อยากแชร์คือ การจัดงานแต่งงาน ซึ่งเพิ่งจัดไปด้วยตัวเองในปีที่แล้ว ตั้งใจว่าจะมาแชร์ข้อมูลเพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนที่อยากจัดงานเอง และมีงบจำกัด 1. กำหนดวันจัดงาน : เป็นคนไม่มีพิธีการมากทั้งคู่ เราเลือกใช้วิธีถามอากู๋ค่ะ search เลยว่าฤกษ์แต่งงานดีในปีนี้คือวันไหน ซึ่งแฟนกำหนดเดือนมาให้แล้วว่าจะแต่งกลางปี คือ มิ.ย. 59 เราก็แค่ดูอากู๋ว่าเสาร์อาทิตย์ไหนมีฤกษ์ดีบ้าง แต่พอวันที่จะเอา พี่เราติดธุระ เราก็เลื่อนไปอีกเสาร์นึงเฉย ๆ เลย พี่เราสำคัญกว่าค่ะ (เหตุที่เลือกเสาร์อาทิตย์เท่านั้น เพราะแขกน่าจะสะดวกกว่าวันธรรมดา และเป็นวันเสาร์ก็ดีตรงที่เราจะได้พักอีกวันนึงด้วย) 2. กำหนดจำนวนแขก : กำหนดคร่าว ๆ ก่อนว่างานเราจะเล็กใหญ่แค่ไหน แน่นอนว่าถ้าเรามีงบจำกัดเราจะเริ่มจาก "งานเล็ก ๆ แขก 2-300 ก็พอ" ส่วนมากจะประมาณนี้ค่ะ เราก็เช่นกัน สรุปมาจบที่ 400 ค่ะ การกำหนดจำนวนแขก เราก็ง่าย ๆ ค่ะ แบ่งกับแฟนก่อนว่าคนละครึ่ง แล้วไปลองเช็คกับคุณพ่อคุณแม่ดูว่า ท่านมีแขกเท่าไหร่ อาจจะเริ่มจาก "คุณพ่อคุณแม่ 10 โต๊ะพอมั้ย" ถ้าไม่พอเราก็ค่อยมาแบ่งของเราให้ท่าน หรือถ้าของแฟนมากกว่าเรา เราก็ไม่ต้องกั๊กนะคะ ยกให้ไปเลยค่ะ แฟนเพื่อนเยอะ ญาติเยอะ ตัดไม่ได้จริง ๆ ก็ตามนั้นค่ะ แต่ก็ต้องย้ำกับทุกฝ่ายว่า เอาที่สนิทจริง ๆ เพราะไม่งั้นบานปลายแน่นอน และถ้าไม่สนิทจริง แขกไม่มา ก็จะเป็นโต๊ะเปล่าไปอีก 3. กำหนดการ : จะจัดหมั้นเช้าแต่งกลางวัน หรือแต่งเย็น ก็เลือกเลยค่ะ เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าต้องแต่งเย็นนะ บรรยากาศโน่นนี่ แต่พอเอาเข้าจริง เราเอาที่ผู้ใหญ่สะดวก ซึ่งบางท่านขับรถเอง หากเป็นงานเย็นก็จะมืดขับลำบาก อาจจะมาไม่ได้ เราเลยจัดเป็นงานกลางวันค่ะ และอีกส่วนนึงเพราะเพื่อนสนิทจัดงานกลางวัน แล้วบอกว่าสะดวกสบายมาก ไม่เหนื่อยมาก หากเป็นงานเย็น ก็ต้องตื่นมาหมั้นเช้าตรู่ตี 3-4 แต่งหน้า และก็ยังไม่จบงาน ต้องอยู่กันถึงมืดอีก แต่ก็แล้วแต่ความชอบ ความสะดวกของแต่ละคนนะคะ แต่ถ้ามองในแง่งบประมาณ หมั้นเช้า แต่งกลางวัน ก็จะประหยัดกว่าด้วยค่ะ เพราะช่างแต่งหน้าทำผม และช่างภาพ จะคิดแค่ 1 คิวครึ่ง แต่ถ้าเป็นหมั้นเช้าแต่งเย็นจะเป็น 2 คิว 4. รูปแบบงาน : จะเป็นค็อกเทล บุฟเฟต์ หรือโต๊ะจีน แล้วแต่มุมมองนะคะ ส่วนตัวเราเวลาไปงาน ชอบค็อกเทล เพราะรู้สึกสะดวกสบายดี เดินไปเดินมาได้ทั่วถึง จะแอบแว้บก็ง่าย แต่พอถึงคราวจัดเอง เลือกแบบบุฟเฟต์ ด้วยเหตุผลว่า 5. หาสถานที่จัดงาน : เมื่อกำหนดทุกอย่างด้านบนได้แล้ว ก็หาสถานที่ค่ะ เพราะทุกที่ที่เราไปติดต่อเค้าจะถามว่า จัดงานวันไหน? แขกเท่าไหร่? งานเลี้ยงกลางวัน หรือเย็น? จัดแบบไหน? ซึ่งทุกอย่างที่กำหนดมาตอนแรก
ก็อาจจะมีปรับเปลี่ยนไปบ้างตามสถานการณ์ เช่นเราตอนแรกก็ แขก 2-300 แต่งเย็น โต๊ะจีน แต่ไป ๆ มา ๆ แขก 400 แต่งกลางวัน บุฟเฟต์ .. มันก็เกิดขึ้นได้ค่ะ 6. Wedding Package : เราไม่เคยคิดจะซื้อแพ็คเกจเลยค่ะ เราลองหาข้อมูลแบบแยก ๆ มาบ้าง เช่น ค่าเช่าชุดเจ้าสาว มีหลายราคา หลายเงื่อนไขมาก แต่ร้าน
และแบบที่เราชอบคือเช่าวันงานแต่งวันเดียวประมาณ 35,000 บาท และแถมชุดเจ้าบ่าวให้ ส่วนช่างแต่งหน้าทำผม น้องเราแนะนำคนรู้จักให้ราคามาคิวละ 15,000 บาท ซึ่งนี่คือราคาวันงานวันเดียว แล้วถ้ามีถ่ายพรีอีก..ค่าช่างภาพนิ่ง และวีดีโออีก ทำ Presentation อีก.. แพ็คเกจที่เค้าเสนอ คือแพ็คเกจชุดถ่ายพรีกับวันแต่ง พร้อมช่างหน้าผม ช่างภาพ แค่นี้ แต่เราก็ถามในส่วนที่เราต้องการเพิ่มเติม ว่าเค้าทำมั้ย แล้วทั้งหมดนี้ราคาเท่าไหร่
ซึ่งได้แก่ แพ็คเกจนี้ช่วยเราได้มากเลย จ่ายก้อนเดียวจบ ถ้าเราไม่เลือกรูปเกิน และประหยัดกว่าที่เราจะไปซื้อแยกเป็นอย่าง ๆ มาก 7. งานหมั้น : เราเลือกจัดที่เดียวกับงานแต่ง เพื่อความสะดวก และซื้อแพ็คเกจงานหมั้นแขก 50 คน เพราะเป็นงานเช้ามีแต่แขกผู้ใหญ่ คาดว่ามาไม่มาก แต่ถ้ามาเกิน 50 ก็เสริมเก้าอี้ได้ ทางสถานที่ก็เตรียมของว่างและเครื่องดื่มไว้ให้ นิมนต์พระ 9 รูป เลี้ยงพระ ทุกอย่างรวมในแพ็คเกจ ที่จ่ายเพิ่ม คือ 8. งานแต่ง : ซุ้มทางเดิน Back drop หน้างาน ทางสโมสรมีร้านให้เลือกอยู่ 3-4 ร้าน ซึ่งเราก็ต้องไปดูผลงานตาม facebook ว่าชอบร้านไหน เลือกร้านได้แล้ว ก็นัดคุย เราเลือกรูปจากผลงานของที่ร้านมาให้ที่ร้านดูว่าเราอยากได้แบบนี้ ตีมสีนี้ ๆ ๆ มีงบเท่านี้ ทำได้มั้ย อย่างไร ที่ร้านบอกว่า "บอกงบมาแบบนี้ง่ายเลย" แล้วก็เริ่มสเก็ตแบบให้ดู ซึ่งเราคุยครั้งเดียวจบ เราไว้ใจว่าทางร้านจะทำได้ดี และก็ออกมาดีจริง ๆ งานแน่นคุ้ม เพื่อนได้รูปเพียบ (แบบที่เราเลือกไว้ ทางร้านบอกมาว่า 60,000 แต่เราบอกว่าเรามีงบส่วนนี้ 50,000 ซึ่งทางร้านก็สามารถปรับให้เป็นตามงบได้ ในแบบที่เราพอใจด้วย) 9. การ์ด และของชำร่วย : เราหาจากเน็ต โดยตั้งงบไว้ว่าการ์ดจะอยู่ที่ไม่เกิน 14-15 บาท งานรับแขกได้ 400 เราจะแจกการ์ดที่ 350 แต่พิมพ์เผื่อไว้ที่ 400 เราจะไม่แจกใบที่ 351 ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ และการเชิญผ่าน fb, line เราไม่ทำ ในไลน์จะเป็นการถามเพื่อนว่า เราจะแต่งวันนี้... ใครจะมาบ้าง ขอชื่อที่อยู่จะส่งการ์ดไป ส่วนมากเพื่อนจะบอกไม่เอาการ์ด แต่เราก็จะเช็คจำนวนได้ว่ากลุ่มนี้มีใครจะมาบ้าง ก็จะได้เตรียมโต๊ะไว้ให้พอดี ๆ ของชำร่วย มีทั้งงานเช้าและกลางวัน ก็ตั้งงบไว้ดี ๆ ว่าจะใช้งบเท่าไหร่ แล้วหาของที่เราพอใจตามงบนั้น งานเช้าเราจองห้อง 50 ที่ แต่ของเราเลือกเป็นน้ำผึ้ง สั่งขั้นต่ำ 100 ขวด ก็เอามาตามนั้น เหลือดีกว่าขาด ส่วนงานกลางวัน ตอนแขกน้อย ๆ เราก็ดูของชำร่วยราคาประมาณ 30 บาท แต่พอสรุปว่าแขก 400 เราก็ต้องเผื่อคนที่ฝากซองมาด้วย คิดว่าอย่างต่ำเราควรมี 500 ชิ้น ก็เลยเปลี่ยนของไปเรื่อย มาจบที่สมุดฉีกของมูลนิธิ ซึ่งก็ได้ทำบุญไปด้วย แถมลดหย่อนภาษีได้อีก ก็เลยสั่งมา 550 เลย เพราะยังต่ำกว่างบที่ตั้งไว้ตอนแรกมาก เหลือก็เอาไว้ใช้งานได้ ซึ่งจบงานก็เหลือไม่มาก ประมาณ 50 เล่ม 10. แหวน : ส่วนนี้มีหลายแบบ หลายราคา ลองหาและเปรียบเทียบหลาย ๆ ร้านนะคะ ส่วนตัวเราโชคดีมาก ๆ คุณแม่แฟนให้แหวนของคุณแม่มา แบบก็ถูกใจเรามาก ๆ เป็นแบบที่ชอบอยู่แล้ว ก็มีแค่แหวนแฟนที่เลือกอยู่พักนึง แต่ผู้ชายก็ง่าย ๆ เรียบ ๆ ไม่ต้องเพชรโต เป็นใช้ได้ สำคัญมาก 1. เพื่อน : หาเพื่อนสนิทที่เราจะฝากการดูแลแขก การตัดสินใจทุกอย่างไว้ที่เพื่อนผู้แสนดีคนนี้ได้ไว้หลัก ๆ 1 คน เรียกว่า "แม่งาน" และถ้าโชคดีแบบเรา เรามีเพื่อนแสนดีไว้ใจได้มากกว่า 1 คนค่ะ เราเลยฝากเพื่อนอีกคนให้ช่วยดูแลหน้างาน ในส่วนต้อนรับ ดังนั้น
เราจะมีคนนึงที่ดูเฉพาะส่วนต้อนรับ และอีกคนดูภาพรวม |