ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า รังสีมีความเสี่ยงอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามมนุษย์นำประโยชน์ของรังสีมาใช้ทางการแพทย์ โดยบุคลากรทางการแพทย์ นักรังสีเทคนิค นักฟิสิกส์ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ควรรู้จักวิธีการป้องกันอันตรายจากรังสีโดยมีหลักการดังนี้ Show
2 การแพทย์ 3 อุตสาหกรรม 4 การหาอายุวัตถุโบราณและการศึกษาทางธรณีวิทยา ใช้ธาตุกัมมันตรังสีคาร์บอน-14 ซึ่งมี
1. การเพิ่มของประชากร (Population growth) ปริมาณการเพิ่มของประชากรก็ยังอยู่ในอัตราทวีคูณ (Exponential Growth) เมื่อผู้คนมากขึ้นความต้องการบริโภคทรัพยากรก็เพิ่มมากขึ้นทุกทางไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) ความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นทำให้มาตรฐานในการดำรงชีวิตสูงตามไปด้วย มีการบริโภคทรัพยากรจนเกินกว่าความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิต มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีก็ช่วยเสริมให้วิธีการนำทรัพยากรมาใช้ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ผลสืบเนื่องอันเกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ เนื่องจากมีการใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่ประหยัด อาทิ ป่าไม้ถูกทำลาย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ขาดแคลนน้ำ ภาวะมลพิษ (Pollution) เช่น มลพิษในน้ำ ในอากาศและเสียง มลพิษในอาหาร สารเคมี อันเป็นผลมาจากการเร่งรัดทางด้านอุตสาหกรรมนั่นเอง มลพิษทางอากาศ ความหมาย ของ มลพิษทางอากาศ แหล่งกำเนิดสารมลพิษทางอากาศ 1.ยานพาหนะ แหล่งกำเนิดจากยานพาหนะ 2. แหล่งกำเนิดจากโรงงานอุตสาหกรรม เชื้อเพลิงที่เป็นของแข็ง สารมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ฝุ่นละออง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งพบว่ามีปริมาณการระบายออกสู่บรรยากาศเพิ่มมากขึ้นทุกปีตามปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น มลพิษจากแสงอาทิตย์ ที่จริงแล้ว แสงแดดจากดวงอาทิตย์มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์ สัตว์ พืชพันธุ์ต่อวิทยาศาสตร์ และต่อโลกอย่างมหาศาล เช่น คนในเขตร้อนมักไม่ค่อยเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก เนื่องจากได้รับแสงแดดเพียงพอในการสังเคราะห์วิตามินดี-3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบำรุงกระดูก หรือทางด้านวิทยาศาสตร์ก็สามารถนำรังสีอุลตราไวโอเลตจากการสังเคราะห์มาใช้ในการวิเคราะห์ทางเคมีได้ แสงอาทิตย์ประกอบด้วยแสงต่าง ๆ ทั้งชนิดที่ตามองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แสงหรือรังสีอันตราย คืออัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นรังสีประเภทที่ตามองไม่เห็น คือ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่ตามองเห็นได้ รังสีอุลตราไวโอเลตมี 2 ชนิด คือ อัลตราไวโอเลต-เอ มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 320-400 นาโนเมตร และอุลตราไวโอเลต-บี มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 290-320 นาโนเมตร กรดในร่างกายอีกชนิดหนึ่ง คือ กรดนิวคลีอิคก็สามารถดูดกลืนรังสีนี้ได้ แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นผลร้ายต่อกรรมพันธุ์ ทำให้ลูกหลานที่เกิดมามีลักษณะผิดปกติ ผ่าเหล่าผ่ากอ รังสีอุลตราไวโอเลต มีอันตรายต่อเซลล์ของร่างกาย โดยทางอ้อมอีกด้วย คือ เมื่อเซลล์หนึ่งดูดกลืนรังสีนี้ไว้ ทำให้เกิดสารพิษชนิดหนึ่งขึ้นมา สารพิษที่เกิดขึ้นนี้จะไปทำอันตรายเซลล์อื่นต่อ ๆ ไป นอกจากนี้รังสีชนิดนี้ยังทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้อีกด้วย รังสีอุลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ผ่านบรรยากาศในชั้นต่าง ๆ มาสู่ผิวโลกเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์และสัตว์ ถ้าหากเราได้รับแสงมฤตยูนี้โดยตรง บรรดาพืชพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง นับว่าเป็นโชคดีของมนุษย์ที่ในบรรยากาศในชั้นสตราโตสเฟียร์ ยังมีก๊าซโอโซนที่มีความสามารถดูดกลืนรังสีอุลตราไวโอเลตได้ดี ทำให้รังสีผ่านลงมายังพื้นโลกน้อยลง แต่ปัจจุบันนี้ เราพบว่าปริมาณของโอโซนในบรรยากาศเหนือพื้นโลก นับวันจะมีน้อยลงทุกที ผู้ที่ทำลายก็คือ มนุษย์รักสวยรักงามในโลกเรานี่เอง มนุษย์ผู้นิยมสเปรย์ฉีดผม สเปรย์ฆ่าแมลง สเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ สเปรย์ระงับกลิ่นตัว ในสเปรย์มีสารเคมีชนิดหนึ่งเป็นตัวผลักดันให้สารในกระป๋องพ่นออกมาเป็นละออง เกสรเคมีที่เป็นตัวผลักดันนี้ คือ ฟลูออโรคาร์บอน หรือที่เรียกว่า ฟรีออน สารชนิดนี้เมื่อออกมาจากกระป๋องสเปรย์แล้ว จะให้โอโซนสลายตัวมีปริมาณลดลง มีตัวที่จะสกัดกั้นรังสีอุลตราไวโอเลตน้อยลง เป็นผลให้รังสีผ่านสตราโตสเฟียร์มายังโลกมากขึ้นเป็นอันตรายแก่มนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล การป้องกันอันตรายจากรังสีอุลตราไวโอเลต ต้องพยายามหลีกเลี่ยงแสงสว่างที่มีความเข้มสูง ธรรมชาติของร่างกายมีกลไกในการป้องกันแสงอาทิตย์อยู่แล้ว คือ ผิวหนังชั้นนอกร่างกายมีสารให้สีหรือที่เรียกว่า รงวัตถุ ขนหรือเกล็ดของสัตว์สามารถกรองหรือกระจายแสงได้ และยังมีเอนไซม์บางชนิดสามารถฆ่าฤทธิ์พิษที่เกิดขึ้นจากรังสีอุลตราไวโอเลต ในความเป็นพิษเป็นภัยของแสงอุลตราไวโอเลตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พบสารที่เป็นคุณแฝงอยู่ด้วย ในปี พ.ศ. 2471 มีผู้พบว่าสีย้อม (dye) บางชนิด เช่น ไทอาซินดาย เมทิลิน บลู (4) Thiazine dye methylene blue (IV) หรือสีย้อมพวกแซนทีนที่มีฮาโลเจนอยู่ด้วย (halogenated fluorescein family of xanthene) สีจำพวกนี้เมื่อถูกกับรังสีอุลตราไวโอเลต จะเปลี่ยนเป็นสารที่มีพิษต่อแมลง ซึ่งนำมาใช้กำจัดแมลงได้ ชาวอียิปต์โบราณพบว่าพืชแอมมินาจัส (Amminajus) ซึ่งขึ้นอยู่ตามแม่น้ำไนล์ มีสารชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อถูกแสงอาทิตย์จะกลายเป็นยารักษาโรค ใช้ในการบำบัดรักษาโรคผิวหนัง ปัจจุบันนี้เราพบว่าสารนี้คือ ซอราเลนส์ (Psoralens) จึงได้มีผู้หันมาใช้สารนี้ในการบำบัดโรคมะเร็งได้ เราควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเที่ยงถึงบ่าย ซึ่งเป็นเวลาแดดจัด มีความเข้มของแสงอุลตราไวโอเลตสูง เพื่อป้องกันมิให้เซลล์ในร่างกายถูกแสงแดดทำลาย เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ โดยเฉพาะหน้าร้อนในขณะนี้ อย่าเดินตากแดดโดยไม่มีหมวกหรือร่มหรือแว่นตากันแดด ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวหนังแห้งเกรียม หน้าลอก เป็นฝ้า ตาเป็นต้อกระจก เป็นโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ แล้ว ยังทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย มลภาวะจากกัมมันตะรังสีที่มีอยู่ในธรรมชาติ เรดอน (Radon) 186 ปิโกคูรี่ต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนฤดูร้อนและฤดูฝนมีลมพัดมาจากทิศใต้ ผ่านทะเลเป็นส่วนใหญ่ ผ่านแผ่นดินน้อย การวัดพบว่า มีก๊าซทั้งสองน้อยกว่าฤดูหนาวมีคือ เรดอน (Radon) 122 ปิโกคูรี่ต่อลูกบาศก์เมตร มวลสารทั้งหลายประกอบไปด้วยอนุภาคเล็ก ๆ ที่เราเรียกว่า อะตอม (Atom) หรือภาษาราชการเรียกว่า ปรมาณู แต่ละอะตอมประกอบด้วย นิวเคลียส (Nucleus) เป็นแกนกลางมีบริเวณวิ่งรอบเรียกว่า อีเล็กตรอน (Electron) คล้าย ๆ พระจันทร์หมุนรอบดวงอาทิตย์ ตัวอย่างเช่น คาร์บอน 12 แสดงเป็นรูปข้างล่างนี้ ในแต่ละธาตุประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนอยู่ในนิวเคลียส ซึ่งจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสนี้เรียกว่า "เลขอะตอม" (Atomic number) แต่ละธาตุจะมีจำนวนต่างกัน ตัวอย่างเช่น อะตอมของไฮโดรเจนมีโปรตอน 1 อนุภาค อะตอมของยูเรเนี่ยมมีโปรตอน 92 อนุภาค ธาตุเดียวกันมีโปรตอนเท่ากัน แต่อาจจะมีนิวตรอนต่างกันได้ สิ่งนี้เองเป็นเหตุให้ธาตุเดียวกันแบ่งออกได้อีกหลายชนิด แต่ละชนิดมีมวล (Mass) ไม่เท่ากัน เช่น โปรเตียม เขียนได้ดังนี้ 1H1 (1P + 1N) คิวเทียม 1H2 (1P + 2N) ทริเตียม 1H3 (1P + 3N) ซึ่งก็เนื่องมาจากมีจำนวนนิวตรอนต่างกันนั่นเอง และมีชื่อเรียกแต่ละชนิดนี้ว่าเป็น ไอโซโทป (Isotope) ของธาตุนั้น ๆ ไอโซโทปแบ่งออกได้เป็น พวก คือ ไอโซโทปที่อยู่ตัว (Stable Isotope) และไอโซโทปที่ไม่อยู่ตัว มีการแผ่รังสีออกมาเรียกว่า เรดิโอไอโซโทป (Radio Isotope) เพื่อให้เข้าใจง่ายเข้า รังสีไอโซโทป (Isotope) ก็คือ อะตอมของธาตุที่มีอะตอมมิกนัมเบอร์ (Atomic number) อันเดียวกัน คุณสมบัติทางนิวตรอน (neutron) ต่างกัน และมีน้ำหนักต่างกันด้วย คุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างกัน แต่ทางเคมีเกือบเหมือนกันทุกประการจะต่างกันก็ที่อัตราความเร็วในการทำปฏิกริยาเท่านั้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของธาตุนั้น ๆ ตามธรรมชาติ ธาตุบางชนิด จะมีการแผ่รังไอโซโทปออกไปไม่หยุดยั้ง เช่น ธาตุยูเรเนียม (Uranium) ทอเรี่ยม (Thorium) และธาตุเรเดียม (Radium) เป็นรังสีที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น อีเล็กตรอนของธาตุเหล่านี้จะแผ่รังสีให้รังสีเอ๊กซ์ (X-ray) รังสีเอ๊กซ์ก็คือ รังสีที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ประมาณตั้งแต่ 1016 ถึง 1021 เฮิร์ตซ์ (Herzt) (เฮิร์ตซ์ ก็คือ คำนวนความถี่ของลูกคลื่นในหนึ่งหน่วยเวลา) แต่ถ้ารังสีที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 4 x 10-7 = 0.0,000,007 เมตร เป็นกลุ่มรังสีที่ประสาทตาของเรารับรู้ได้ เราเรียกว่าแสง (Light) ส่วนนิวเคลียส (Nucleus) ก็จะแผ่รังสีออกมาเป็นรังสีอัลฟา (Alpha rays) รังสีเบต้า (Bata rays) และรังสีแกมม่า (Gamma rays) ซึ่งรังสีแกมม่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ประมาณ 1019 ถึง 1022 เฮิร์ตซ์ (ส่วนรังสีอัลฟาและเบต้า ไม่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) รังสีเหล่านี้เป็นอันตรายต่อมนุษย์เพราะเป็นรังสีที่เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตภาพวัตถุ ซึ่งสามารถทะลุทะลวงผ่านผิวหนังของคนได้ บางชนิดสามารถทะลุทะลวงแผ่นเหล็กหนาหนา 25 เซนติเมตร กระดาษ แผ่นอลูมิเนียม แผ่นตะกั่วที่มีความหนา 8 เซนติเมตร หรือกำแพงซีเมนต์ได้ ซึ่งแสดงว่า รังสีเหล่านี้เป็นอันตราย ถ้าผ่านร่างกายของมนุษย์ก็จะทำลายเซลล์ในร่างกาย (ดูภาพประกอบ) เมื่อรังสีเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายจะเกิดอาการผิดปกติทั้งภายนอกและภายใน เช่น ผมร่วง ผิวหนังไหม้เกรียม เป็นแผลเรื้อรัง เป็นมะเร็ง เป็นอันตรายต่อระบบประสาท หัวใจ เม็ดเลือด และทำให้การไหลเวียนของโลหิตเสียไป ถ้าได้รับรังสีเข้าไป 400 เร็ม-500 เร็ม มีโอกาสตาย 50% ถ้าได้รับ 1,000 เร็ม ตาย 100% อาการหลังจากถูกรังสีเป็นปริมาณ 100 เร็ม-250 เร็ม มีอาการเวียนศีรษะและอาเจียนเป็นอยู่ 2 สัปดาห์ ถ้ามากกว่า 700 เร็ม ผมร่วง เจ็บคอ ตกโลหิตที่อวัยวะภายใน ตกโลหิตที่ผิวหนัง ทางเดินอาหาร มีอาการเปลี่ยนแปลงทางโลหิต 1. อันตรายของรังสีต่อเซลล์ในร่างกาย มีคือ 2. หน่วยวัดปริมาณของรังสี หน่วยวัดรังสีเป็น เรินต์เกน (Roentgen) สำหรับรังสีในร่าง กายมีหน่วยเป็น เร็ม (Rem) ย่อมาจากภาษาอังกฤษคือ "Roentgen equivalent man" องค์การระหว่างประเทศกำหนดว่าปริมาณของรังสี โดยเอาอายุคนงานที่ทำงานเกี่ยวกับรังสี คือ มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี บริบูรณ์มาเป็นเกณฑ์คำนวน คือ ปริมาณรังสีสะสมที่ได้รับสูงสุดแต่ละบุคคลที่ทำงานแล้วไม่เกิดอันตราย-5 (N-18) เร็ม N- อายุของบุคคลนั้นโดยถ้าอายุ 18 ปี จะต้องได้รับปริมาณรังสี 5 เร็ม เป็นค่ามากที่สุดที่จะไม่เกิดอันตราย ภาวะเรือนกระจก โลกของเรามีก๊าซต่าง ๆ ในชั้นบรรยากาศห่อหุ้มอยู่โดยรอบ ทำหน้าที่คล้ายเรือนกระจก หรือกรีนเฮาส์เป็นเกราะกำบังกรองความร้อนที่จะผ่านลงมายังพื้นผิวโลก และเก็บกักความร้อนบางส่วนเอาไว้ ทำให้โลกมีอุณหภูมิพอเหมาะสำหรับการดำรงชีวิต ก๊าซเรือนกระจก มาจากไหน ? สภาวะสิ่งแวดล้อมของโลก : กัมมันตภาพรังสี เรื่องของผมค่อนข้างน่าสะพึงกลัว และค่อนข้างจะน่ารังเกียจอย่างหนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรังสีซึ่งท่านกลัวกันอยู่ ผมขอจำกัดขอบเขตการพูดในเรื่องนี้ ประเทศเรานั้นมีกฎระเบียบในการป้องกันปรมาณูอย่างไร ความจริงแล้วเรื่องพลังงานปรมาณูได้บูมขึ้นประมาณ พ.ศ. 2488 ซึ่งมีการใช้ระเบิดปรมาณูครั้งแรกที่ฮิโรชิมา นางาซากิ หลังจากนั้นประมาณ 8 ปี คือ พ.ศ. 2496 รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาคือ ประธานาธิบดี ไฮเซ่นฮาว คิดว่า เราอย่ามาสร้างสรรระเบิดปรมาณูในการทำลาย เราควรช่วยกันทำในทางสันติดีกว่า จึงสร้างโครงการ Atom For Peace ขึ้น ซึ่งไทยก็เข้าร่วมโครงการนั้นในปี พ.ศ. 2497 ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำ 2 คำก่อน ซึ่งยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากคือ สารรังสีหรือสารกัมมันตภาพรังสี และกัมมันตภาพรังสีหรือรังสี สภาวะสิ่งแวดล้อมของโลก : สารพิษ ในเมื่อปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดผลเสียหายกับโลกที่ประชากรทั้งโลกจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ ใจจริง ผมไม่อยากพูดว่า คนทั้งโลกจะต้องรับผิดชอบเพราะประเทศไทยเราไม่ได้เป็นผู้ผลิต และผู้ขาย เรามีแต่อิมปอร์ต (Import) เข้ามาร้อยเปอร์เซ็นต์ เราเป็นผู้ใช้อย่างเดียว แต่ประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายเป็นผู้ขาย เป็นผู้มีรายได้ ประมาณร้อยละแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากการค้าสาร CFCs ทั่วโลก ดังนั้นน่าจะเป็นหน้าที่ของประเทศเหล่านี้ที่จะต้องรับผิดชอบ แล้วผู้เป็นคนก่อให้เกิดปัญหาแก่ชาวโลก มาเรียกร้องให้เราให้ความร่วมมือกับเขาในการแก้ปัญหา ทั้ง ๆ ที่เขากอบโกยไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าเป็นประเด็นที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายน่าจะรับผิดชอบเต็มที่ เขาเองก็บอกเขารับผิดชอบ แต่เวลาเราจะขอความช่วยเหลือด้านการเงินเขาควักยากมาก เรื่องการทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศนี้ เขามีความร่วมมือในระดับนานาชาติตามพิธีสารเรียกว่า มอนทรีออล โปรโตคอล (Montreal Protocal) และประเทศไทยเราได้ลงนามเป็นสมาชิกของพิธีสารนั้นแล้วเมื่อ 15 กันยายน 2531 ทุกครั้งที่มีการประชุมประเทศเราก็จะส่งตัวแทนไปร่วมด้วย ผลการประชุมปรากฏว่าเขาจะควบคุมการใช้สารฮาโลคาร์บอน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายกรุ๊ป เช่น ซีเอฟซี เฮลอน คาร์บอนเตตระคลอไรด์ เมธิลคลอโรฟอร์ม และอื่น ๆ HCFC (Hydrochlorofluorocarbon) และ HFC (Hydrofluorocarbon) เป็นสารที่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศทั้งนั้น แต่ potential ในการทำลายต่างกับ CFCs มาก สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่าชาวโลกใช้สารซีเอฟซีฟุ่มเฟือยมากและสารซีเอฟซีนี้ คุณนิตยา ได้อธิบายแล้วว่า เป็นก๊าซเฉื่อย ซึ่งสามารถอยู่ในชั้นบรรยากาศทั้งระดับล่างและระดับบนเป็นเวลานาน นอกจากทำลายโอโซนแล้วยังเป็นกรีนเฮ้าส์กาซ (Greenhouse Gases) ด้วย หลังปี ค.ศ. 2000 จะไม่มีการใช้ CFCs ประเทศที่ผลิตก็จะเลิกผลิต ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สาร CFCs ก็จะเปลี่ยนไปใช้สารชนิดอื่น สารที่เขาจะใช้ทดแทนได้แก่ สารประเภทที่อยู่ในกรุ๊ปใกล้เคียงกัน ซึ่งผมได้เอ่ยแล้วได้แก่สาร HCFC และสาร HFC หลักการก็คือตัว CFCs มี่คลอรีนหลายตัว ในเมื่อคลอรีนสร้างปัญหาเขาก็พยายามลดอะตอมของคลอรีนลงบ้าง โดยผลิตสารใหม่ที่เอาอะตอมของไฮโดรเจนเข้าไปแทนที่คลอรีนก็กลายเป็น HCFC และส่วน HFC เป็นสารที่มีฟลูออรีนอย่างเดียวไม่มีคลอรีน ก็ลดตัวทำลายโอโซนลงไปได้ potential ในการทำลายโอโซนในบรรยากาศก็ลดน้อยลง ส่วนใหญ่จะต่ำกว่าหนึ่ง อย่างไรก็ตามในอนาคตหลังจากปี 2000 ไปแล้วอีก 60 ปี สารทดแทนนี้จะถูกควบคุมและเลิกใช้เลิกผลิตเหมือนกัน สารทดแทนสองชนิดนี้ ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผลิตได้แล้ว แต่ไม่รู้จะผลักดันออกสู่ตลาดได้อย่างไร ในเมื่อ CFCs ราคาถูกกว่า คุณภาพก็ดีกว่า และค่อนข้างจะมีพิษต่อสุขภาพน้อยมาก ปลอดภัยจากการใช้ แต่ทำลายโอโซนในบรรยากาศและเป็นกรีนเฮ้าส์กาซเท่านั้นเอง นโยบายการผลักดันสารตัวใหม่ออกสู่ตลาด ก็ถือโอกาสยกเรื่องโอโซนในชั้นบรรยากาศถูกทำลายเป็นสาเหตุ เพื่อจะผลักสารทดแทนเหล่านี้ออกสู่ตลาดโลก ให้คนที่ใช้ CFCs เลิกใช้หันมาใช้สารทดแทนชนิดใหม่ซึ่งมีราคาแพงกว่า คุณภาพก็แย่กว่าด้วย รู้สึกว่าจะมีเชิงเศรษฐกิจ (Environmental Economics) ในระดับโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ประเทศไทยในฐานะประเทศซึ่งนำเข้าอย่างเดียวก็ต้องระวังในเรื่องนี้ด้วย ต้องหูตากว้างอย่าไปเชื่อมากนัก สำหรับมาตรการที่จะป้องกันในเรื่องนี้ ในระดับระหว่างประเทศ เราให้ความร่วมมืออยู่แล้วและกรมโรงงานอุตสาหกรรมในฐานะรับผิดชอบมอนทรีออล โปรโตคอล โดยตรงได้ทำบางสิ่งบางอย่างเช่นสาร CFC-113 ที่ใช้เป็น cleaning reagent สำหรับล้างพวกโลหะและแผงวงจรไฟฟ้าเพราะสารนี้เป็น solvent ที่ละลาย oil, grease และ wax ได้ดีมาก ใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเลคโทรนิคส์ อุตสาหกรรมโลหะ และอื่น ๆ ในต่างประเทศเขาเริ่มจำกัดการใช้เพื่อลด consumption ของเขา เขาพยายาม drain สารเหล่านี้มาเพิ่ม consumption ให้กับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา เพราะประเทศของเราใช้น้อย เขารู้สถิติจากเจนีวาว่าปริมาณการใช้ของเรายังต่ำมาก เขาจะ add ให้เรา โดยย้ายโรงงานที่ใช้สารเหล่านี้มาอยู่ประเทศเรา ในระยะหลังรู้สึกผิดสังเกตว่า โรงงานที่ใช้สารพวกฮาโลคาร์บอน พยายามจะเข้ามาลงทุนในไทย จริง ๆ แล้ว CFC-113 ยังไม่มีสารอะไรที่จะทดแทนได้ดี แต่ว่าหลาย ๆ รายได้หันไปใช้ methyl chloroform แทน ซึ่ง methyl chloroform นี้ค่อนข้างจะ less toxic แต่ว่าเป็นสารประเภทควบคุมโดย มอนทรีออล โปรโตคอลเหมือนกัน เมื่อก่อนประเทศไทยเราไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยเพราะทุกครั้งที่เขาตั้งโรงงาน เราพิจารณาสารที่ใช้เป็นพิษเป็นภัยกับคนงานมากน้อยแค่ไหน เป็นพิษอันตรายต่อคนมากน้อย แต่สมัยนี้เราไม่ได้พิจารณาเพียงเท่านั้น เราก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง คือ เราจะต้องพิจารณาถึงการปกป้องบรรยากาศโลกด้วย เพราะว่าเราไปเข้าเป็นสมาชิกของมอนทรีออล โปรโตคอล เสียแล้ว เราก็ต้องให้ความร่วมมือกับเขาตามสมควร โดยส่วนตัวแล้วสิ่งที่ผมได้ทำ เวลาเขาขออนุญาตตั้งโรงงานประเภทใช้สาร CFCs เข้ามา หรือสารพวกฮาโลคาร์บอนเข้ามา ถ้าเขาจะส่งมาให้ผมพิจารณา ผมเห็นว่าเราน่าจะลด emission ของมัน โลหะที่เขาเอาไปล้าง CFCs แล้ว ก็จะสะอาด ในขณะผึ่งให้แห้ง CFCs จะระเหยออกไปหมดเพราะว่าเป็นสารระเหยง่ายจะออกสู่บรรยากาศหมด โรงงานที่ตั้งระยะหลัง ผมใคร่เสนอว่าจะต้องจับสารระเหยทุกตัวกลับเข้าเครื่องกลั่น ซึ่งใช้ความเย็นแล้วเอากลับมา ใช้ประโยชน์ใหม่เพื่อลด emission สู่บรรยากาศ สำหรับ CFCs ที่เป็นกรีนเฮาส์แกสนั้น เมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว CFCs จะมี contribution ต่อ global warming ประมาณ 0.8 องศาเซลเซียล ในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์จะมี contribution ถึง 1.5 องศาเซลเซียล ใน model ที่ทางสหประชาชาติทำไว้ อุณหภูมิโลกเราจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 องศาเซลเซียล คาร์บอนไดออกไซด์มี contribution ครึ่งหนึ่งแล้วแกสตัวอื่น ๆ เช่น โอโซน ไนตรัสออกไซด์ที่เกิดจากธรรมชาติ มีเทนซึ่งเกิดจากการย่อยสลายประเภท anaerobic digestion เหล่านี้เราค่อนข้างจะควบคุมยาก แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ง่ายที่สุดคือ สาร CFCs ที่ใช้ในอุตสาหกรรมซึ่งมนุษย์ผลิตขึ้นมา เมื่อมนุษย์สร้างขึ้นมามนุษย์จึงคิดว่ามนุษย์ควรจะควบคุมสารนี้ได้ง่ายกว่าสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจึงตกลงกันว่าจะควบคุมสาร CFCs ซึ่งจริง ๆ แล้วประเด็นที่สำคัญเราจะต้องดูที่คาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะว่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น คาร์บอนไดออกไซด์จะมีประสิทธิภาพในการดูดความร้อนได้ดี ปรากฏว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เราหายใจ มีความสัมพันธ์กับปริมาณเชื้อเพลิงประเภทสาร อินทรีย์ ที่เรานำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียม และมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น วิธีแก้ปัญหาจะต้องแก้ที่ต้นเหตุในเมื่อคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เราจะต้องพยายามลดคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ วิธีลดก็คือจะต้องพยายามสนับสนุนเอาอะไรก็ได้ที่จะมาดูดคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ได้ อย่างเช่น การส่งเสริมการปลูกป่า ส่งเสริมการพิทักษ์ป่า เพราะว่าต้นไม้จะมีการสังเคราะห์แสง ใช้คาร์บอนไดออกไซด์เป็นวัตถุดิบ อย่างหนึ่งที่ใช้ในการสังเคราะห์อาหาร ต้นไม้เขียว ๆ จำนวนมากช่วยกันดูดคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยายกาศก็จะลดลง ปัญหาขณะนี้ก็คือเรากำลังทำลายต้นไม้กันมาก สิ่งที่จะนำคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศไปใช้จึงน้อยลง และอีกประการหนึ่งเมื่อโอโซนถูกทำลาย รังสีอุลตราไวโอเลต-บี ก็เพิ่มขึ้น ก็จะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในน้ำ อย่างเช่น พวกไมโคร แพลงค์ตอน เป็นต้น พวกนี้เป็นพื้นฐานในวงจรอาหาร เมื่อถูกกระทบเสียหายก็จะมีปัญหาในเรื่องการผลิตอาหาร และไมโคร แพลงค์ตอน จะต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์ด้วยในการสังเคราะห์แสงของมัน เมื่อมันถูกทำลายโดย UVB สิ่งที่จะใช้คาร์บอนไดออกไซด์ก็จะลดไปด้วย ในขณะที่ป่าไม้ก็ลด และไมโครแพลงค์ตอนก็ถูกทำลาย คาร์บอนไดออกไซด์จึงเหลือเฟือในบรรยากาศ ดังนั้นก็จะต้องช่วย ๆ กันปลูกต้นไม้ ปลูกป่า ผมสนับสนุนเต็มที่ บ้านใครมีพื้นที่ว่างก็ปลูกกันเลย ประโยชน์จากกัมมันตรังสี มีอะไรบ้างประโยชน์ของธาตุกัมมันตรังสี. 1. ทางอุตสาหกรรม ใช้หารอยรั่วของท่อ รอยร้าวของแผ่นโลหะ หรือใช้ควบคุมความหนาแน่นของแผ่นโลหะ. 2. ทางการเกษตร ใช้ปรับปรุงพันธุ์พืช วิจัยปุ๋ย วิจัยโคนม การถนอมอาหาร หรือศึกษาการปรุงอาหารของพืช. 3. ทางการแพทย์ ใช้รักษาโรคมะเร็ง ตรวจการไหลเวียนของโลหิต. ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชน์อย่างไรในด้านอุตสาหกรรมด้านอุตสาหกรรม: มีการใช้ธาตุกัมมันตรังสีในการตรวจหารอยตำหนิ เช่น รอยร้าวของโลหะหรือท่อขนส่งของเหลว รวมไปถึงการใช้ธาตุกัมมันตรังสีในการตรวจสอบ ควบคุมความหนาของวัตถุ และใช้รังสีฉายบนอัญมณีเพื่อสร้างสีสันให้สวยงาม
มนุษย์นำธาตุกัมมันตรังสีไปใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้างประโยชน์ของสารกัมมันตรังสี. เป็นพลังงานเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า. นำมาใช้ในการยืดอายุอาหารที่บริโภค. การฉายรังสีเอกซ์เพื่อตรวจความผิดปกติในร่างกาย. นำมาฆ่าเชื้อโรคในอุปกรณ์ทางการแพทย์. บำบัดการรักษาสำหรับคนที่เป็นโรคมะเร็ง. ตรวจอายุวัตถุโบราณเพื่อศึกษาทางด้านโบราณคดี. ครึ่งชีวิตของสารกัมมันตรังสีคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรครึ่งชีวิต (half life) ของสารกัมมันตรังสี หมายถึง ระยะเวลาที่นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม ใช้สัญลักษณ์เป็น t. ครึ่งชีวิตเป็นสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละไอโซโทป และสามารถใช้เปรียบเทียบอัตราการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีแต่ละชนิดได้
|