เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์ Show
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle, EV) เพิ่งจะเริ่มเป็นที่นิยมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาและถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีการเผชิญกับปัญหาโลกร้อน มลพิษทางอากาศ PM2.5 และ ทิศทางพลังงานโลก ที่มุ่งไปสู่การผลิต และการใช้พลังงานที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสุทธิเป็นศูนย์ รัฐบาลจากหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยจึงพยายามผลักดันและสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดหลายประการ "รถยนต์ไฟฟ้า" จึงยังไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร ส่วนข้อดี-ขอเสียมีอะไรบ้าง ไปดูข้อมูลกันค่ะ
เริ่มที่ข้อดีกันก่อน ซึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถสรุปได้ดังนี้
ส่วนข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้ปัจจุบันยังไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควรคือ
ปัจจุบันความกังวลในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ เหล่านี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังพยายามแก้ไขโดยผู้พัฒนาแบตเตอรี่ได้พัฒนาแบตเตอรี่ให้สามารถชาร์จไฟได้เร็วและวิ่งได้ระยะทางไกลมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากทางภาครัฐและเอกชนในการสร้างสถานีอัดประจุให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศอีกด้วย ....ถ้าทุกปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างถูกจุด ไม่นานนี้เราคงได้เห็น “รถยนต์ไฟฟ้า” เป็นที่นิยมและวิ่งกันเต็มท้องถนนแน่นอน... ข้อมูล/ภาพ : สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย Electric Vehicle Association of Thailand - EVAT เผยข้อดี-ข้อเสีย รถยนต์ไฟฟ้า ที่คุณควรรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อAdmin 16.8.65 0 กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่กำลังตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ว่าราคาน้ำมันที่ผันผวนในขณะนี้ สมควรเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังไฟฟ้า หรือรถ EV (Electric vehicle) แทนรถยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ดีหรือไม่? แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะฟันธงว่ารถยนต์ไฟฟ้าดีกว่ารถยนต์สันดาปภายในจนต้องหามาใช้สักคัน แต่ทีมงาน insurefriend ก็ได้รวบรวมข้อดี-ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้ามาให้แฟนๆ ได้อ่านเพื่อใช้ในการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง? ข้อดี1. ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงรถยนต์ไฟฟ้า100% ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนโดยไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเลย เมื่อเทียบกันแล้วรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประหยัดมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงพอสมควร หากคำนวณจากการชาร์จไฟเต็มแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 150 - 200 บาท สามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 250 - 400 กิโลเมตร ถ้าหากเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดีเซล หรือเบนซิน ค่าใช้จ่ายสำหรับการเติมน้ำมันระยะทางเท่าๆ กัน จะอยู่ที่ประมาณ 500 – 800 บาท 2.ซ่อมแซมและบำรุงรักษาง่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนแทนการใช้เครื่องยนต์ ส่งผลให้กลไกการทำงานอย่างอื่นลดลงไปด้วย ทำให้การบำรุงรักษาเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ ทั้งในส่วนของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ระบบเกียร์ ฯลฯ 3.ความเงียบของรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อการขับเคลื่อน ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องยนต์สันดาป การทำงานภายในจึงไม่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ ทำให้เสียงการทำงานของรถพลังงานไฟฟ้าเงียบกว่ารถยนต์แบบปกติทั่วไปหลายเท่า ทั้งยังช่วยลดมลภาวะทางเสียงจากการจราจรได้อีกด้วย 4. สมรรถนะของรถยนต์สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง เพราะหัวใจหลักสำคัญคือมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถมีแรงบิดหรือแรงหมุนได้ในทันทีที่ได้รับไฟฟ้า จึงทำให้สามารถออกตัวได้เร็วและมีอัตราเร่งที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถรีดแรงบิดได้สูงในทันทีไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์เหมือนรถยนต์ทั่วไป 5. ด้านสิ่งแวดล้อมผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ต้องการสร้างรถยนต์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จึงมีการผลักดันให้สร้างรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดขึ้นมา เพราะหนึ่งในตัวการที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศก็คือควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แต่หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแล้วจะไม่มีแม้แต่ไอเสียออกมาเลย 6.ความสะดวกในการใช้งานสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากที่บ้าน ทำให้สามารถชาร์จได้ระหว่างที่นอนหลับ เมื่อถึงยามเช้ารถยนต์ไฟฟ้าก็จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จึงทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องการเสียเวลาที่สถานีบริการน้ำมันอีกต่อไป 7.เสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงการที่เปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมัน ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงได้ง่ายกว่าน้ำมันที่มีราคาผันผวนสูงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่วนค่าไฟฟ้าแม้จะมีการปรับราคาขึ้นตามต้นทุนพลังงาน แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าราคาน้ำมัน 8.รัฐบาลสนับสนุนรัฐบาลมีนโยบายให้เงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาท/คัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาท/คัน 2. ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0% 3. ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศ และนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ ถึงปี 2566 ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลง ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ ข้อเสีย1.ราคาสูงรถยนต์ไฟฟ้า 100% เป็นเทคโนโลยีใหม่ แม้จะมีให้เลือกทั้งราคาสูง และต่ำ แต่ถ้าเป็นรถรุ่นที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกับรถสันดาปภายในทั้งในเรื่องการขับขี่ และระยะทางในการขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า 100% มักมีราคาค่อนข้างแพงกว่า 2.เทคโนโลยีใหม่มีระยะใช้งานจริงน้อยความเป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนท้องถนนในเมืองไทยมีอายุการใช้งานไม่มากนัก ยังไม่มีข้อมูลการใช้งานระยะยาว และเทคโนโลยียังไม่ได้พัฒนาจนถึงขีดสุดในระดับที่เทียบเคียง หรือเหนือกว่ารถสันดาปภายใน 3.ยังมีตัวเลือกไม่มากรถไฟฟ้ายังเป็นยานพาหนะเทคโนโลยีใหม่ จึงมีค่ายรถยนต์เพียงไม่กี่ค่ายเท่านั้นที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ออกสู่ตลาด รวมถึงมีพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่แต่ละค่ายแนะนำสู่ตลาด 4.ระยะทางในการขับขี่สั้นกว่าระยะทางในการขับขี่จะขึ้นอยู่กับขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งอาจจะต้องมีการวางแผนการชาร์จระหว่างทาง สำหรับการขับขี่ในระยะไกล 5.สถานีบริการยังไม่ครอบคลุมแม้จะมีการขยายสถานีบริการชาร์จไฟฟ้าจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันจุดให้บริการยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ยังไม่สะดวกหากต้องเดินทางไปต่างจังหวัดที่เป็นระยะทางไกล 6.การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก อาจจะต้องใช้เวลาเพื่อให้บุคลากรทางสายยานยนต์เรียนรู้เรื่องการบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต้องศึกษาดูว่ารถยนต์แบรนด์นั้นมีศูนย์บริการเพียงพอ ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศหรือไม่ 7.การจัดการขยะจากแบตเตอรี่แบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีอายุการใช้งานที่จำกัด การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่การกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไปแล้วนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการกำจัดแบตเตอรี่ที่เป็นขยะเหล่านี้ ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคต เรื่องประกันภัย ไว้ใจเพื่อนคนนีุุ้ อินชัวร์เฟรนด์โบรกเกอร์ |