ตัวอย่าง (2) ในปี พ.ศ. 2560 นายเขียวทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งได้เงินเดือน ๆ ละ 50,000 บาท นายเขียวมีภรรยาจด ทะเบียนตามกฎหมาย และบุตรผู้เยาว์ 2 คน ซึ่งกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐบาลทั้ง 2 คน ตลอดปีภรรยาและบุตรของนายเขียวไม่มีเงินได้แต่อย่างใด นายเขียวต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดาและมารดาของตนซึ่งอายุเกิน 60 ปี นายเขียวได้เอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา จำกัด มีกำหนดระยะเวลา 15 ปี ได้จ่ายเบี้ยประกันชีวิตไปในปี พ.ศ. 2560 เป็นเงิน 20,000 บาท ได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินร้อยละ 4 ของค่าจ้าง ได้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่ธนาคารเป็นเงิน 30,000 บาท สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านอยู่อาศัย โดยจำนองบ้านที่ซื้อเป็นประกันการกู้ยืม ได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นเงินร้อยละ 5 ของค่าจ้าง และได้บริจาคเงินให้กับมูลนิธิสายใจไทยเป็นเงิน 15,000 บาท ให้คำนวณภาษีที่นายเขียวจะต้องเสีย (ค่าจ้างที่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนกำหนดเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท) (หน่วย : บาท) วิธีทำ เงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 ของนายเขียว = 50,000 x 12 = 600,000 หัก เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท (24,000-10,000) = 14,000 เงินได้พึงประเมินที่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษี = 586,000 หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (586,000 x 50/100 = 293,000) = 100,000 เงินได้หลังจากค่าใช้จ่าย = 486,000 หัก ค่าลดหย่อนสำหรับนายเขียว 60,000 ค่าลดหย่อนสำหรับภรรยานายเขียว 60,000 ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร 2 คน 60,000 ค่าลดหย่อนสำหรับบิดานายเขียว 30,000 ค่าลดหย่อนสำหรับมารดานายเขียว 30,000 = 240,000 เงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนตามสถานภาพของผู้มีเงินได้ = 246,000 หัก ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต (ลดหย่อน 10,000 บาท ยกเว้น ส่วนที่เกิน 10,000 บาทแต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินหลังค่าใช้จ่าย) = 20,000 เงินได้หลังจากหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต = 226,000 หัก ลดหย่อนเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพร้อยละ 4 ของค่าจ้างแต่ไม่เกิน 10,000 บาท (600,000 x 4/100 = 24,000) = 10,000 เงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุน สำรองเลี้ยงชีพ = 216,000 หัก ลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (หักได้เท่าจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 30,000 เงินได้หลังจากหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืม = 186,000 หัก ลดหย่อนเงินสมทบที่จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมร้อยละ 5 ของค่าจ้าง (15,000 x 5/100 x 12 = 9,000) = 9,000 เงินได้หลังจากหักลดหย่อนเงินสมทบที่จ่ายเข้าทองทุนประกันสังคม = 177,000 หัก ลดหย่อนเงินบริจาค (หักได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินที่เหลือ) = 15,000 เงินได้สุทธิ = 162,000 เงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรก ได้รับยกเว้นภาษี เงินได้สุทธิ 12,000 บาทที่เหลือ เสียภาษีร้อยละ 5 = 600 ภาษีเงินได้ที่นายเขียวจะต้องเสียทั้งปี = 600 |