เราจะสอนดอกเบี้ยและมูลค่าของเงินสมบูรณ์ได้อย่างไรถ้าไม่ได้ลองนำไปใช้จริง งานนี้เลยเป็นการให้นักเรียนคิดดอกเบี้ยเงินฝากในชีวิตจริงเลย หลังจากที่สอนสูตรการคำนวณดอกเบี้ยคงต้นและทบต้นไปแล้วก็คิดว่าเราจะพานักเรียนไปดูระบบเงินฝากในชีวิตจริง โดยผมเลือกอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารแห่งหนึ่งมาเป็นตัวอย่าง จุดที่น่าสนใจและหลายคนยังไม่ทราบคือฝากประจำจะคิดดอกเบี้ยทบต้นเมื่อครบเวลาฝาก ส่วนบัญชีออมทรัพย์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นทุก 6 เดือน โดยเริ่มจากการให้นักเรียนศึกษาเอกสารอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารก่อนแล้วจึงอภิปราบกันว่าสังเกตเห็นอะไรบ้าง แล้วจึงให้นักเรียนทำโจทย์แบบละคนซึ่งทำให้นักเรียนลอกกันได้ลำบาก หลังจากที่นักเรียนได้คำตอบแล้วก็ชวนมาอภิปรายกันว่าใครได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ใครได้เยอะที่สุด เพราะเหตุใดมีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อดอกเบี้ย รวมไปถึงคำถามสำคัญที่ว่านักเรียนคิดว่าเพราะเหตุใดบัญชีฝากประจำระยะยาวจึงมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือการฝากประจำระยะสั้น คีย์เวิร์ดยอดนิยมของ มัธยมปลายค้นหาเนื้อหาที่ต้องการไม่เจอเหรอ? ลองค้นหาใน Q&A ดูสิ! คำสำคัญ: นโยบายการเงิน ・ตรวจสอบความถูกต้องของการสะกดคำ พบ - เนื้อหาที่ตรงกันบน Q&A ผู้ดูแลเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากรัฐบาลแล้วยังมีธนาคารกลาง(แบงก์ชาติ) ของประเทศนั้นๆ อีกด้วย ฉะนั้นแล้วเราจะได้ยิน "นโยบายการคลัง" รัฐบาลเป็นผู้ควบคุม หรือ "นโยบายการเงิน" ธนาคารกลางเป็นผู้ควบคุมจากในข่าวบ่อยๆ ซึ่งวันนี้จะมาพูดถึง นโยบายการเงินกันครับ นโยบายการเงิน คือ มาตรการทางการเงินชนิดหนึ่งที่ธนาคารกลาง(แบงก์ชาติ) เป็นผู้ควบคุมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น หากเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืดนั้น ธนาคารกลางจะประกาศนโยบายทางการเงินออกมา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เงินฝืดหรือเงินเฟ้อมากเกินไป โดยนโยบายการเงินหลักๆแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
โดยทั้ง 2 นโยบายต่างใช้ในเวลาที่ต่างกัน ยกตัวอย่างในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ธนาคารกลางจะใช้ "นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย" เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด หรือกล่าวคือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ตัวอย่าง การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
กลับกันหากประเทศกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง ธนาคารกลางจะใช้ "นโยบายการเงินแบบเข้มงวด" ซึ่งการดำเนินการจะตรงข้ามกับตัวอย่างด้านบน ตัวอย่างเช่น ปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย, ขายพันธบัตรเพื่อดึงออกจากระบบเศรษฐกิจ หรือเพิ่มอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น จากตัวอย่างดังกล่าว เป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งที่ธนาคารกลางสามารถควบคุมได้ อีกทั้งยังมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารกลางสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ ขึ้นอยู่กับประเทศนั้นใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบใด ซึ่งการใช้นโยบายเหล่านี้ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อมากเกินไป จะเห็นได้ว่า นโยบายการเงิน เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางต้องพิจารณาการใช้นโยบายให้ดี เพราะจะกระทบเศรษฐกิจออกเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ การมีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลัง จะช่วยให้เราประเมินได้ว่า ในภาวะเศรษฐกิจแบบใด นโยบายการเงินและการคลังควรจะดำเนินไปอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่าทิศทางของภาวะเศรษฐกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพื่อประโยชน์ในการปรับตัวของเราทั้งในการวางแผนเพื่อการบริโภคและการลงทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีคำว่านโยบายการเงินและการคลังเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนอาจได้ยินอยู่บ่อยและพอจะเข้าใจว่าคืออะไร แต่หากจะอธิบายรายละเอียดปลีกย่อย และเปรียบเทียบหลักการใช้นโยบายทั้งสองรูปแบบแล้ว เราอาจจำเป็นต้องเรียนรู้ วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และรับมือกับการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของนโยบายการเงินการคลังที่การตัดสินใจมาจากธนาคารกลางแห่งประเทศไทย
นโยบายการเงิน
ยกตัวอย่างเช่น
นโยบายการคลัง
เมื่อรัฐบาลตัดสินใจเพิ่มหรือลดภาษี ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นอัตราภาษีมีผลให้เงินสดที่อยู่ในมือเราลดลง เนื่องจากรายได้ส่วนหนึ่งต้องนำไปจ่ายภาษีมากขึ้น เงินที่เหลือจะใช้จ่ายก็จะลดลง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
นโยบายการคลังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท เช่น เดียวกับนโยบายการคลัง ได้แก่
ดังนั้น นโยบายการเงินการคลังที่ตัดสินใจโดยธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นสำคัญอย่างยิ่ง กระทบต่อค่าครองชีพ เสถียรภาพของเศรษฐกิจ คุณภาพความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศ เราในฐานะพลเมืองที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายเหล่านี้ไม่ว่าจะในเชิงบวกหรือลบ จำเป็นต้องคอยติดตามการตัดสินใจและดำเนินนโยบายเพื่อปรับตัวเข้ากับความเป็นไปได้ที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังนโยบายนั้นถูกบังคับใช้ |