หลังจากที่ทาง Apple ได้เปิดให้ใช้งานบริการสตรีมมิ่งเพลง Apple Music Lossless ไปเมื่อหลายวันก่อน ก็มีหลายท่านสอบถามหลังไมค์กันเข้ามาเยอะมาก ๆ ทั้งทางเพจของร้าน และ ทางไลน์ส่วนตัวของผมเอง โดยคำถามที่หลายท่านถามเข้ามานั้นผมก็ได้ตอบให้ไปแล้ว และ จะนำมาเขียนไว้ตรงนี้ให้ทุกท่านได้อ่านกันด้วยครับ
1. Apple Music Lossless มีกี่แบบ ?
ตอบ : ไฟล์แบบ Lossless นั้นจะเป็นการบีบอัดข้อมูลที่แทบจะไม่ลดทอนความลดทอนความละเอียดของไฟล์เพลงลงไป ทำให้ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับข้อมูลเต็ม ๆ ของ CD มากที่สุดโดยที่มีขนาดของไฟล์ที่เล็กลงจาก CD
3. Hi-Res Lossless จะเป็น 24Bit/192kHz ทุกเพลงไหม ? ตอบ : ไม่ทุกเพลงครับ จะมีคละเคล้าปะปนกันไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะแต่ละค่ายจะอัปเพลงความละเอียดเท่าไหร่ขึ้นไปก็อยู่ที่ค่ายเพลงครับ โดยคู่แข่งอย่าง Tidal เองก็ไม่ได้เป็นไฟล์ MQA แบบ 24Bit/192kHz ทั้งหมดเช่นกัน 4. Apple Music Lossless & Hi-Res Lossless ใช้งานในอุปกรณ์ไหนได้บ้าง ? ตอบ : ตอนนี้อุปกรณ์ที่รองรับนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นสินค้าของทาง Apple เองอย่าง iPhone, iPod Touch, iPad ที่ใช้ iOS 14.6 และ iPad OS 14.6 ขึ้นไป ส่วนทางด้าน Mac นั้นต้องเป็น MacOS 11.4 ขึ้นไปครับ ส่วนอุปกรณ์ที่เป็น Android และ Windows OS นั้นในวันที่เขียนบทความนั้นยังไม่รองรับการเล่นแบบ Lossless และ Hi-Res Lossless ครับ
ตอบ : ขั้นตอนการตั้งค่านั้นให้เราไปที่ Setting > Music > Audio Quality จากนั้นจะเห็นว่ามีให้เลือกตั้งค่าได้ตามการสตรีม เช่น - Cellular Streaming ถ้าเกิดใช้ 4G หรือ 5G แพ็คเกจแบบ Unlimited ก็เลือกเป็น High-Resolution Lossless ไปเลยครับ แต่ถ้าไม่ได้ใช่แพ็คเกจแบบ Unlimited แล้วกลัวเน็ตหมดก็เลือกให้ต่ำกว่านั้น หรือ เลือกดาวน์โหลดผ่าน WiFi เก็บไว้ฟังตอนเดินทางโดยไม่ต้องใช้ Cellular ก็ได้ครับ - Wi-Fi Streaming อันนี้เลือกเป็น High-Resolution Lossless ได้เลยครับ - Download อันนี้แล้วแต่ความต้องการครับ ถ้าใครมีพื้นที่จัดเก็บในเครื่องเยอะ ๆ ก็เลือกเป็น High-Resolution Lossless ก็ได้ครับ
แต่จะไม่สามารถเล่นไฟล์ Hi-Res Lossless ได้ครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าเล่นไม่ได้แล้วจะหมายถึงเสียงไม่ออกนะครับ ที่ว่าเล่นไม่ได้ในที่นี้เนี่ยเพราะคุณภาพเสียงมันจะอั้นอยู่ที่ 24Bit/48kHz ตามสเปคของ Lightning to 3.5 mm ของ Apple ถึงแม้ว่าตอนกดเล่นแล้วมันจะขึ้นโชว์ว่าเป็น Hi-Res Lossless ก็ตาม 7. สามารถเล่น Apple Lossless และ Hi-Res Lossless ผ่าน Bluetooth ได้หรือไม่ ? หลายท่านอาจจะเคยเห็นข่าวแซว Apple ว่าจะทำ Lossless ไปทำไม ในเมื่อหูฟัง AirPods ของตัวเองไม่รองรับ Lossless และ Hi-Res Lossless เพราะใช้ Codec AAC อยู่เลย จุดนี้หากมองในมุมของคนที่ไม่ได้คลุกคลี หรือ เล่นสตรีมมิ่งฟังเพลงแบบจริงจังเหมือนกลุ่มคนที่เล่นหูฟัง เครื่องเสียง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่เค้าจะมองแบบนั้นครับ เพราะเค้าไม่ได้เป็น Serious Player แบบที่เราเล่นกัน ที่แม้กระทั่งการใช้แผ่นไม้รองแอมป์ หรือ Spike สลายแรงสั่นสะเทือน ไหนจะการเบิร์นหูฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย และ อื่น ๆ อีกมากมาย ยังไงพวกเราก็ไม่ยอมโดนลดทอนความละเอียดไปเพราะความสะดวกสบายของ Bluetooth แน่นอนครับ ยังไงซะเราก็ต้องต่อสายเล่นเอาดีที่สุด ส่วน Bluetooth เอาไว้ใช้ตอนเดินทาง หรือ ต้องการฟังเล่น ๆ มากกว่าครับ แต่ในมุมของคนที่เล่นพวกนี้อยู่แล้ว จะรู้ว่าการที่ Apple ทำ Lossless และ Hi-Res Lossless ออกมาให้ได้ใช้งานกันนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เพราะบริการสตรีมมิ่งที่มีอยู่ในไทยตอนนี้ที่ฟังแบบหวังผลได้จริง ๆ มีเพียง Tidal ที่บุกเบิกการสตรีมด้วยคุณภาพระดับ Lossless และ Hi-Res Lossless ครับ ทีนี้หากถามว่าในอนาคตจะมีโอกาศที่ทาง Apple จะทำให้ใช้งาน Lossless ผ่าน Bluetooth ได้ไหม ก็ต้องบอกว่ามีโอกาศเป็นไปได้ครับแต่ไม่น่าจะเป็นเร็ว ๆ นี้ครับ เพราะต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกมาก เว้นซะแต่ว่าพัฒนาล่วงหน้ามาหลายปีแล้ว และ วางแผนเปิดตัวหลังจากเปิดตัว Apple Music Lossless ไม่นาน เพราะอย่าง Sony เองก็มี Codec อย่าง LDAC ที่สามารถส่งไฟล์เพลง Hi-Res ไปได้ แต่ตัวสมาร์ตโฟนที่ใช้นั้นก็จะต้องรองรับ LDAC ด้วยเช่นกัน ยังไงซะ Apple ก็น่าจะมี Codec แบบใหม่ หรือ วิธีการใช้งานออกมารองรับ เพียงแต่จะช้า หรือ เร็ว เท่านั้นเองครับ 8. Apple Hi-Res Lossless VS Tidal MQA
ซึ่งการใช้ผ่านอุปกรณ์อย่าง iPhone, iPad หรือในคอมพิวเตอร์ทั้ง Windows, MacOS นั้นไม่มีปัญหา เพราะโปรแกรม Tidal นั้นมี Core Decoder มาให้ใช้งานได้เลย เพียงแค่มี Dac/Amp ที่เป็น MQA Renderer ได้ก็ใช้งานได้เลย แต่ในอุปกรณ์ที่เป็นระบบ Android ต้องซื้อแอปลิเคชันอย่าง USB Audio Player Pro (UAPP) กับตัว MQA Core Decoder ที่เป็น In App-Purchase แยกอีกต่างหาก ราคาตัวแอป และ Decoder รวมกันแล้วจะอยู่ประมาณ 500 บาท ไม่เกินนี้ครับ แต่ในขณะที่ Apple นั้นไม่ต้องทำการเข้ารหัส MQA ทำให้สามารถเล่นไฟล์ที่เป็น Hi-Res ออกมาได้โดยใช้เพียง DAC ที่รองรับการเล่นไฟล์ PCM 24Bit/192 เท่านี้ก็เล่นออกมาได้เต็มประสิทธิภาพของ Apple Hi-Res Lossless แล้วครับ เมื่อมองดูแบบนี้จะเห็นได้ว่า Apple Music Hi-Res Lossless นั้นเล่นง่ายกว่าของ Tidal อยู่พอตัวเลยครับ ส่วนเรื่องเสียงใครจะชอบฝั่งไหนมากกว่าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วล่ะครับ
ตอบ : สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือ DAC/AMP สำหรับการถอดรหัสไฟล์เพลง Hi-Res Lossless ครับ ซึ่งวิธีเลือกซื้อนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากครับ อย่างแรกที่ต้องดูก่อนก็คือสเปคการเล่นไฟล์เพลงในฝั่งของ PCM นั้นจะต้องอยู่ที่ 24Bit/192kHz ขึ้นไป
เริ่มต้นกันที่การฟังผ่านหูฟัง Bluetooth ครับ หากต้องการฟัง Dolby Atmos ด้วยหูฟังไร้สายแบบ Bluetooth นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งานควบคู่กับหูฟังที่มีชิป W1 หรือ H1 ซึ่งก็จะเป็นหูฟังในเครือของ Apple อย่าง AirPods และ Beats นั่นเองครับ โดยรายชื่อหูฟังที่รองรับมีดังนี้ครับ - AirPods ต่อมาจะเป็นการเล่นแบบต่อสายบ้างครับ ซึ่งหากเราต่อสายเข้ากับ iPhone หรือ iPad ไม่ว่าจะเป็นการต่อผ่าน Dac/Amp หรือ Lightning to 3.5 mm ของ Apple ก็สามารถเปิดใช้งาน Dolby Atmos ได้ด้วยการเข้าไปที่ Setting > Music > Dolby Atmos > Always On เท่านี้ก็สามารถเล่นเพลงที่เป็น Dolby Atmos ได้แล้วครับผม
12. สมัครแพ็คเกจไหนดี ?
สรุป : Apple Music นั้นเป็นบริการสตรีมมิ่งเพลงที่น่าจับตามมองมาก ๆ เพราะให้คุณภาพของเสียงที่ดี ราคาถูก มีแพ็คเกจผูกกับบริการอื่น ๆ ของ Apple ให้เลือกสมัครมากมาย ส่วนใครที่อยากได้ระบบ Apple Music Connect เอาไว้ลิ้งค์กับลำโพงเหมือนอย่าง Spotify Connect และ Tidal Connect คงต้องรอกันอีกหน่อย
มีอยู่ใน Tidal ทั้งหมดครับ ทุกท่านสามารถฟังด้วยการต่อ Bluetooth ที่มือถือได้เลยครับ สำหรับในวันนี้ขอลาทุกท่านไปก่อน ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ สวัสดีครับ ^^ บทความโดย : เปา อัมรินทร์พลาซ่า เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 2564 |