การติดต่อระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก การติดต่อระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกมีการติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 2,000 ปี ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ การค้า การทำสงคราม การขยายดินแดน การเผยแพร่ศาสนาแลอื่น ๆ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเจริญ โดยมีสาเหตุและรูปแบบการติดต่อที่สำคัญดังนี้ 1. การติดต่อค้าขาย ในระยะแรกของการติดต่อระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก เริ่มต้นจากการค้าขาย ที่พ่อค้าชาวตะวันตกกับตะวันออกได้อาศัยเส้นทางที่เรียกกันในสมัยหลังว่า “เส้นทางสายไหม”(Silk Road) เส้นทางนี้เริ่มจากกรุงฉางชาน (เมืองซีอานในปัจจุบัน) ประเทศจีนไปทางตะวันตก ผ่านทะเลทรายในเอเชียกลาง จนถึงเมืองท่าริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แล้วลงเรือต่อไปทวีปยุโรป สินค้าสำคัญที่พ่อค้าชาวตะวันตกต้องการคือผ้าไหม ส่วนสินค้าที่โลกตะวันออกต้องการ เช่น หินมีค่า งาช้าง เป็นต้น ต่อมาเส้นทางทางบกได้ลดความสำคัญลงเมื่อมีการ พัฒนาเทคนิคการต่อเรือและเดินเรือทำให้การติดต่อค้าขายขยายวงกว้าง เส้นทางการค้าจึงได้ เปลี่ยนมาเป็นเส้นทางทางทะเลที่เรียกกันในสมัยหลังว่า “เส้นทางเครื่องเทศ” (Spice Route) เนื่องจากชาวตะวันตกมีความต้องการเครื่องเทศและเนื้อสัตว์มากขึ้น เส้นทางสายไหม(ทางบก) และเส้นทางเครื่องเทศ (ทางทะเล) ที่มา : www.wikimedia.com 2. การเผยแผ่ศาสนา เนื่องจากชาวตะวันตกมีความเชื่อระผู้เป็นเจ้าจะพอพระทัย หากสามารถชักชวนผู้ที่อยู่ห่างไกลมานับถือศาสนาคริสต์ได้และคิดว่าชาวพื้นเมืองที่นับถือศาสนาริสต์จะให้ความเชื่อถือตนมากกว่าพวกที่ไม่ได้นับถือ เป็นเหตุให้ชาวตะวันตกต้องการจะเผยแผ่ศาสนาไปยังดินแดนโลกตะวันออกพร้อมกับการค้าขายดังนั้นการเผยแผ่ศาสนาจึงทำให้เกิดการ แลกเปลี่ยนอารยธรรมระหว่างกัน 3. การทำสงครามและการขยายอำนาจ เช่น สงครามครูเสด ซึ่งเป็นสงครามระหว่างคริสต์ศาสนิกชนตะวันตกกับพวกมุสลิมในตะวันออกกลาง ส่งผลให้ชาวตะวันตกได้มีโอกาสสัมผัสกับอารยธรรมของโลก ตะวันออก และเกิดการแลกเปลี่ยนอารยธรรมและการติดต่อทางการค้าและนำไปสู่การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของยุโรปในเวลาต่อมา นอกจากการทำสงครามแล้วยังมีการขยายอำนาจไปยังดินแดนอื่น เช่น ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งมาซิโดเนีย มีการขยายอำนาจจากดินแดนกรีกไปจนถึงเอเชียกลาง ทำให้อิทธิพลของอารยธรรมกรีกได้แผ่ขยาย 4. การผจญภัยแสวงหาโชค ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของชาวตะวันตกเริ่มหันมาสนใจเรื่อง รอบๆ ตัว ความเชื่อว่าโลกแบน และเรือที่แล่นไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่อาจตกขอบโลก จึงทำให้ชาวตะวันตกหันมาสนใจต่อความลี้ลับของท้องทะเลที่ขวางกั้นพวกเขากับโลกของตะวันออก ประกอบกับการพัฒนาเรือที่มีความ แข็ง แรง ที่สามารถแล่นในมหาสมุทรได้ดีขึ้น ทำให้ชาวตะวันตกมีโอกาสเดินทางไปเผชิญโชคไปค้าขายหรือไป ตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ และได้นำวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของชาวตะวันตกไป เผยแพร่ ด้วย โลกตะวันตก กับโลกตะวันออก มีการติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 2,000 ปี มาแล้ว ด้วยเหตุผลทางการค้า การทูต การทำสงครามและการเผยแพร่ศาสนา ทำให้เกิดการและเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน1. การขยายอำนาจ เช่นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย รุกรานเอเชียจนถึงอินเดีย จนถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ มีผลให้ สถาปัตยกรรมกรีก ปรากฏในเอเชียโดยเฉพาะการหล่อพระพุทธรูป การขยายอำนาจของมองโกลสู่เอเชียกลาง และยุโรปตะวันออก จนถึงฮังการี และสงครามครูเสด ล้วนทำให้เกิดการผสมผสานแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน พระพุทธรูปสมัยคันธาระ 2. การแสวงหาพันธมิตร จักรพรรดิจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น สร้างพันธมิตรกับอาณาจักรทางตะวันตกของจีนโดนส่งจางเชียน ไปเป็นทูต เพื่อร่วมมือกันป่าพวกป่าเถื่อนฉงหนู ทำให้รับรู้เรื่องราวของอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรือง เส้นทางที่จางเชียนเดินทางไปนั้นต่อมาเรียกว่าเส้นทางสายไหมหรือเส้นทางแพรไหม (The Silk Rood) เป็นเส้นทางบกที่ใช้ติดต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนอารยธรรมกันอย่างกว้างขวาง บุคคลสำคัญที่เดินทางตามเส้นทางสายไหมคือพระถังซำจั๋ง เดินทางเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดีย และมาร์โค โปโล ชาวเมืองเวนิส ได้เดินทางมารับราชการในราชสำนักสมัยจักรพรรดิกุบไลข่าน เส้นทางสายไหมซึ่งในอดีตใช้เป็นเส้นทางติดต่อระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป ที่มา : http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Transasia_trade_routes_1stC_CE_gr2.png ภาพวาดมาร์โค โปโล ขณะกำลังเฝ้าจักรพรรดิกุบไลข่าน ที่มา : http://kakuzeroom.blogspot.com/2010_09_01_archive.php 3. การเผยแพร่ศาสนา ในสมัยโบราณมีการเผยแพร่ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ในทวีปเอเชียด้วยกันและการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ไปยังทวีปเอเชียในประเทศจีน ญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4. การค้าขาย ในสมัยโบราณสินค้าผ้าไหมของจีนเป็นที่ต้องการของชนชั้นสูงของโรมัน ในสมัยกลางโลกตะวันออกเป็นแหล่งเครื่องเทศที่สำคัญ จึงทำให้โลกตะวันตกแสวงหาเส้นทางการเดินเรือมายังแหล่งเครื่องเทศโดยตรง ซึ่งการเดินทางมาถึงของชาติตะวันตกก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเอเชียในเวลาต่อมาโดยเฉพาะการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เส้นทางเป็นช่องทางสำคัญที่กระจาย อารยธรรมจีนโบราณสู่บริเวณใกล้เคียง 5. การชอบผจญภัย นักเดินเรือที่ชอบเดินทางไปยังดินแดนต่างๆด้วยความอยากรู้และท้าทาย ดังเช่น อิบน์ บัตตูตา ชาวโมร๊อกโก เดินทางทั้งทางบก ทางเรือ ทั้งในแอฟริกา ตะวันออกกลาง จีนและตอนใต้ของสเปน บันทึกเรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ได้ทำตามทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก เรือที่ใช้เดินทางในสมัยโบราณ ที่มา : http://www.chiangmainews.co.th/page/wp-content/uploads/2012/03/DSC_2309-copy-copy.jpg 1. ความต้องการสินค้าจากโลกตะวันออก เครื่องอุปโภคบริโภคเป็นผลของการสร้างสรรค์อารยธรรม สมัยจักรวรรดิโรมันความนิยมแต่งกายของชั้นชนสูงด้วยผ้าไหมจากจีน
จนทำให้ทองของจักรวรรดิโรมันไม่พอใช้จ่ายเพราะนำไปซื้อผ้าไหมจากจีน ในสมัยกลางโลกตะวันตกรู้จักใช้เครื่องเทศและพริกไทยปรุงอาหาร จึงกลายเป็นของจำเป็น แต่ต้องซื้อผ่านพ่อค้าคนกลางคือชาวอาหรับ ในช่วงสงครามครูเสดมีราคาสูงมาก ทำให้โปรตุเกสสำรวจทางทะเลเพื่อแสวงหาเส้นทางเดินเรือมายังหมู่เกาะเครื่องเทศโดยตรงได้สำเร็จ และได้กำไรอย่างมหาศาลจากสินค้าดังกล่าว เครื่องเทศ จัดเป็นสินค้าที่ชาวยุโรปต้องการเพื่อนำไปปรุงอาหาร ที่มา : http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Spicesindia.jpg 2.เลขอารบิก และระบบคำนวณ โดยเฉพาะวิชาเรขาคณิต เลขคณิต และพีชคณิต ที่สำคัญ คือ การคิดระบบตัวเลข 1-9เดิมเลขโรมันกำหนดใช้จำนวนค่าของตัวเลขเพิ่มขึ้นตามจำนวนขีด ซึ่งไม่สะดวกเมื่อจำนวนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อชาวอินเดียคิดค้นเครื่องหมายแทนตัวเลขสิบตัวแต่ละตัวมีค่าตามที่ตั้งไว้เช่น หนึ่ง(1)สอง(2)สาม(3)สี่(4)ห้า(5)หก(6)และเมื่อตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็นหลักสิบหลักร้อยหลักพัน หรือมากขึ้นเรื่อยๆ ก็นำตัวเลขมาผสมกันตามหลักที่กำหนดไว้ ทำให้การคำนวณ การทำกิจกรรมเกี่ยวกับตัวเลขมีความสะดวกขึ้นมาก ตัวเลขเหล่านี้เรียกว่า เลขอารบิก โดยชาวอาหรับนำไปจากอินเดียและชาวยุโรปรับไปอีกต่อหนึ่ง
ความก้าวหน้าด้านการคำนวณเป็นผลมาจากความต้องการของมนุษย์ที่หาทางคิดค้นวิธีการต่างๆเพื่อความสะดวกในการดำรงชีวิต เช่นการแลกเปลี่ยนสินค้า การค้าขาย การคำนวณผลตอบผลตอบแทนฯลฯกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ต้องหาวิธีการคำนวณเพื่อหาคำตอบ เข็มทิศจีน ที่มา : http://www.matichon.co.th/online/2011/03/12996757281299676676l.jpg สรุป ระหว่างประมาณ ค.ศ.500-1,500 โลกตะวันออกมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าโลกตะวันตก แต่หลังจากโลกตะวันตกเข้าสู่การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม แนวคิดเรื่องจักรวรรดินิยม จึงทำให้อารยธรรมยุโรปเจริญรุดหน้ามากกว่ารวมทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจ และการทหารที่เข้มแข็ง ในขณะที่โลกตะวันออกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โลกตะวันออกจึงด้อยความเจริญกว่า และเป็นผู้รับอารยธรรมของโลกตะวันตกมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันจนกระทั่งถึงปัจจุบัน |