มูลนิธิ สมาคม มีหน้าที่เสียภาษีอากรอย่างไร

ในมุมมองของสรรพากร มูลนิธิและสมาคมเป็นอย่างไรกันนะ?

การเปิดมูลนิธิหรือองค์กรสาธารณกุศลจะสามารถเปิดกันได้ง่ายๆ เพราะต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วยข้อบังคับทางกฎหมาย ล้วนมีความรับผิดชอบต่อภาษีสรรพากรทั้งสิ้น ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่ยังไม่ทราบในกฎข้อบังคับนี้ แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นโยชน์ต่อคุณหรือใครก็ตามที่กำลังคิดอยากจะเปิดมูลนิธิหรือองค์กรสาธารณกุศลมาให้คุณได้รู้กันว่า ในมุมมองของสรรพากรนั้น เขามองมูลนิธิอย่างไร และสมาคมอย่างไร แตกต่างกันไหม ต้องจ่ายภาษีในส่วนไหนบ้าง ขอบอกเลยว่าข้อมูลที่เรานำมาฝากนั้น จะถือเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อนแน่ๆ ไม่รอช้า เราไปหาคำตอบพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

มูลนิธิ

มูลนิธิในมุมมองของสรรพากรหมายถึง ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะวิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่นๆ โดยไม่ได้มีความประสงค์จะมุ่งหาผลประโยชน์เข้าตัวเองและพรรคพวก ที่สำคัญต้องจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนในเรื่องการจัดการทรัพย์สินและรายได้อื่นๆ ต้องไม่ใช่การหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งต้องดำเนินกิจกรรมหรือหารายได้เพื่อมาดำเนินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิเท่านั้น หรือสรุปใจความสำคัญคือ การก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมานั้น ต้องทำเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือสัตว์หรืออื่นๆ โดยห้ามหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองโดยการใช้การรับบริจาคหรือกิจกรรมอื่นๆ ภายใต้ชื่อของมูลนิธินั่นเอง

สมาคม

สมาคมในมุมมองของสรรพากรหมายถึง การก่อตั้งสมาคมเพื่อกระทำการใดๆ อันมีลักษณะต่อเนื่องร่วมกันและไม่ใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกันเองรายบุคคล ต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งนี้รวมถึงสมาคมที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่นๆ ได้แก่ พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 พระราชบัญญัติฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

แล้วทั้งมูลนิธิหรือสมาคมต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่?

ทั้งนี้รายได้ที่ได้รับจากค่าลงทะเบียนหรือค่าบำรุงต่างๆ ที่ได้รับจากสมาชิก หรือเงินรวมถึงทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค การให้โดยเสน่หา ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเป็นรายรับในการเสียภาษี แต่หากมูลนิธิและสมาคมที่เข้าข่ายต้องเป็นผู้ประกอบการ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะ ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีดังกล่าวด้วย

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้วมูลนิธิและสมาคมต่างๆ ต้องจ่ายด้วยเหรอ?

นอกจากจะได้รับการยกเว้นตามข้อกฎหมายนอกจากนั้นแล้ว ในฐานะที่เป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง มูลนิธิ สมาคม องค์กรสาธารณกุศลก็อยู่ในข้อบังคับ ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งต่อกรมสรรพากร ตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ด้วย มูลนิธิ สมาคม ที่มีฐานะเป็นองค์กร หรือสถานสาธารณกุศล เป็นอีกสถานะหนึ่งในทางกฎหมายสรรพากรที่เอื้อประโยชน์แก่บุคคลธรรมดา นิติบุคคลที่จะได้รับส่วนลดทางภาษี ได้แก่ เมื่อบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานสาธารณกุศล โดยบุคคลธรรมดาจะได้รับลดหย่อนภาษีจำนวนเท่ากับที่ได้บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอื่นๆ ส่วนนิติบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ

ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาตั้งมูลนิธิ สมาคม องค์กรต่างๆ ได้ง่ายๆ

การดำเนินการเพื่อให้ได้รับการประกาศเป็นองค์กรหรือสถานสาธารณกุศล เป็นวินิจฉัยของคณะกรรมการมูลนิธิที่จะดำเนินการยื่นคำขอหรือไม่ อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนไว้ การจะบรรลุผลได้รับการประกาศเป็นองค์กรหรือสถานสาธารณกุศล มูลนิธิ สมาคม จะต้องดำเนินการต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ตามประกาศกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 704) ประกาศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งจะใช้บังคับสำหรับมูลนิธิที่ได้ยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกรมสรรพากรตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป

ส่วนมูลนิธิที่ยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนนั้น ยังคงใช้หลักเกณฑ์ ขั้นตอนตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม

มูลนิธิ สมาคม องค์กร หรือสถานสาธารณกุศลที่เราเห็นกันอยู่ทั่วๆ ไป มีทั้งขนาดเล็กจนไปถึงขนาดใหญ่ บางที่มีสมาชิกเป็นหลักหมื่นคนซึ่งก็แล้วแต่การดำเนินงานขององค์กร ซึ่งแต่ละคนที่เข้ามาทำงานนั้นคงมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการช่วยเหลือสังคมไทยให้ดีขึ้น เพราะต้องบอกเลยว่าผู้ที่สละตนเข้ามารับหน้าที่ในมูลนิธิ สมาคมต่างๆ ล้วนแล้วต่างมีจิตใจที่เสียสละต่อสังคมและส่วนรวมเป็นอย่างมาก แต่ก็อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์ในการดำเนินงาน ภาระหน้าที่การจัดทำเอกสารหลักฐาน การเก็บบันทึกรายการเพื่อการเสียภาษีเงินได้ประจำปีก็คงยังต้องทำ การจัดเก็บเอกสารหลักฐานการดำเนินงาน ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่บางคนไม่ได้จบสายงานบัญชีมาอาจจะละเลิกได้ ทางที่ดีในองค์กรหรือมูลนิธิ ควรมีผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้ในด้านบัญชีมาช่วยตรวจสอบเรื่องวางแผนภาษี คืนภาษี หรือเกี่ยวกับการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้สักคนสองคน เพื่อที่การทำงานในเรื่องภาษีจะได้ไม่มีปัญหาตามมา เอาเป็นว่าไม่ว่าใครที่อยากก่อตั้งมูลนิธิ สมาคม องค์กรสาธารณกุศลคงต้องหันกลับมาศึกษาเรื่องการชำระภาษีต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ดีก่อน เพื่อที่การดำเนินงานและวัตถุประสงค์จะได้ดำเนินต่อไปได้โดยสะดวกและถูกต้องตามแนวทางที่กฎหมายกำหนด

ในบทความนี้จะให้ความรู้ หน้าที่ของมูลนิธิหรือสมาคมที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น ต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้รับ ต้องจัดทำบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งกรมสรรพากร ต้องยื่นแบบแสดงรายการและนำส่งภาษี
เป็นต้น ซึ่งบุคคลที่สนใจสามารถศึกษาได้จากบทความนี้ได้เลย
——————————————————
(1) ต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
(2) ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้รับ
(3) ต้องจัดทำบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งกรมสรรพากร
(4) ต้องยื่นแบบแสดงรายการและนำส่งภาษี

การขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร

มูลนิธิหรือสมาคมซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จะต้องยื่นคำร้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ล.ป.10) ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือวันที่เริ่มประกอบกิจการในประเทศไทย แล้วแต่วันใดจะเป็นวันหลัง

สถานที่ยื่นคำร้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี

(1) มูลนิธิหรือสมาคมซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานครในท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่
(2) มูลนิธิหรือสมาคมซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอื่น ให้ยื่นคำร้อง ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในจังหวัดที่สำนักงานใหญ่ของมูลนิธิหรือสมาคม ตั้งอยู่
(3) มูลนิธิหรือสมาคมสามารถยื่นคำร้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรประเภทนิติบุคคลโดยผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ที่ http://www.rd.go.th โดยระบบจะให้บันทึกข้อมูลรายการต่าง ๆ เช่น เลขทะเบียนนิติบุคคล วันที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ รอบระยะเวลาบัญชี และลักษณะการเป็นนิติบุคคล เป็นต้น

การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

มูลนิธิหรือสมาคมต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อจ่ายเงินได้ดังต่อไปนี้ให้แก่ผู้รับ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วแต่กรณี ดังนี้
1. เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน
2. เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้
3. ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น ๆ
4. เงินได้ประเภทดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ
5. เงินได้ประเภทค่าเช่าทรัพย์สินฯ
6. เงินได้ค่าวิชาชีพอิสระ
7. เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญ นอกจากเครื่องมือ
8. เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ใน 1. ถึง 7. เฉพาะที่เป็นเงินได้จากการจ้างทำของ รางวัลจากการประกวดแข่งขัน ชิงโชค ค่าโฆษณา ค่าแสดงที่จ่ายให้นักแสดงสาธารณะ รางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์อย่างอื่นเนื่องจากการส่งเสริมการขาย การประกันวินาศภัย การขนส่ง (ไม่รวมค่าโดยสารสำหรับการขนส่งสาธารณะ) การให้บริการอื่นๆ (ไม่รวมถึงค่าบริการของโรงแรม ค่าบริการของภัตตาคาร และค่าเบี้ยประกันชีวิต)

การจัดทำบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี

ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ต้องจัดทำบัญชีพิเศษแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการนำส่งให้แก่ผู้รับเงิน โดยรวมจำนวนที่จ่ายเป็นประจำวัน และรวมยอดเป็นรายเดือน เมื่อสิ้นวันสุดท้ายของเดือนและต้องเก็บรักษาบัญชีพิเศษดังกล่าวไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี ที่สำนักงานที่มีการจ่ายเงิน

กรณียกเว้นไม่ต้องจัดทำบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี

1. การจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยตั๋วเงินของธนาคาร สหกรณ์ บริษัท ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้น สำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
2. กรณีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอยู่ในบังคับต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และต้องนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน
3. กรณีอื่นตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด

การยื่นแบบแสดงรายการและการนำส่งภาษี

มูลนิธิหรือสมาคมผู้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งนำเงินภาษีส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนที่มีการจ่ายเงิน

แบบแสดงรายการที่ใช้ยื่นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย
(1) ภ.ง.ด.1 ใช้สำหรับนำส่งภาษีเป็นรายเดือน กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง หรือเงินได้จากตำแหน่งงานที่ทำ การรับทำงานให้ เช่น ค่านายหน้า ค่าบำเหน็จ ฯลฯ ตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) ภ.ง.ด.1 ก ใช้สำหรับแสดงรายการสรุปการจ่ายเงินได้และจำนวนเงินภาษีที่ได้นำส่งไว้ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า หรือบำเหน็จ ฯลฯ ตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดเวลายื่นแบบภายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป
(3) ภ.ง.ด.2 ใช้สำหรับนำส่งภาษีเป็นรายเดือน กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทค่าสิทธิ ดอกเบี้ย เงินปันผล ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนตราสารหนี้หรือตราสารทุน ฯลฯ ตามมาตรา 40 (3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
(4) ภ.ง.ด.2 ก ใช้สำหรับแสดงรายการสรุปการจ่ายเงินได้และจำนวนเงินภาษีที่ได้นำส่งในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทค่าสิทธิ ดอกเบี้ย เงินปันผล ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนตราสารหนี้หรือตราสารทุน ฯลฯ ตามมาตรา 40(3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดเวลายื่นแบบภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
(5) ภ.ง.ด.3 ใช้สำหรับนำส่งภาษีเป็นรายเดือน กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทค่าเช่าทรัพย์สิน ค่าวิชาชีพอิสระ การรับเหมา การรับจ้างทำของ หรือเงินได้จากการประกอบธุรกิจการพาณิชย์ ฯลฯ ตามมาตรา 40(5) ถึง (8) แห่งประมวลรัษฎากร

2. ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย
(1) ภ.ง.ด.53 ใช้สำหรับนำส่งภาษีกรณีจ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
(2) ภ.ง.ด.54 ใช้สำหรับนำส่งภาษี สำหรับ
(ก) กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2)-(6) แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายจากหรือในประเทศไทย และมีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายและนำส่ง
(ข) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย

——————————————————
ขอขอบคุณข้อมูลจาก “กรมสรรพากร” เรื่อง หน้าที่ของมูลนิธิหรือสมาคมที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ที่มา: http://www.rd.go.th/publish/44184.0.html