วัดไร่ขิง (Wat Rai Khing) พระอารามหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์เชียงแสน คือหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานพระศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำ 5 พระองค์ ได้แก่ หลวงพ่อโต วัดบางพลีใน สมุทรปราการ, หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา เพชรบุรี, หลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา, หลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมุทรสงคราม และหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซึ่งลอยมาตามแม่น้ำนครไชยศรี นครปฐม นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้ล่องเรือชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำนครไชยศรีและแวะซื้อของฝากที่ตลาดน้ำดอนหวายได้อีกด้วย วัดเชิงท่า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2300 เดิมชื่อ “วัดมหิงสาราม” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดตีนท่า” โดยที่วัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำได้ขนานนามนั้นว่า “วัดเชิงท่า ” ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 14 เมาายน พ.ศ. 2410 พญาเจ่ง เจ้าพระยามหาโยธานราธิบดี ได้นิพนธ์เป็นคำกลอนไว้ว่า "เสร็จศึก สร้างวัด สลัดบาป แสวงบุญ คือวัดเชิงท่าบางตลาด วัดเกาะบางพูด นุสสรณ์บุญ" "นำพล ๓๐๐๐ จากรัฐมอญมาพึ่งพระบารมี เมื่อปี ๒๓๑๘ โปรดให้อยู่ที่ปากเกร็ด สามโคก <O </Oวัดเกาะพญาเจ่ง หรือวัดเกาะรามัญ หรือวัดเกาะบางพูด สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ๒๓๑๘ โดยพญาเจ่ง อดีตแม่ทัพมอญผู้พาไพร่พลเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์ไทย ณ ที่ดินซึ่งได้รับพระราชทานโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อปี ๒๓๑๗ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐(รัชกาลที่ ๑)พญาเจ่ง ได้ช่วยไทยรบพม่ามีความดีความชอบมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระราชทานยศให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธานราธิบดีศรีพิชัยณรงค์ ต่อมาบุตรชายคนโต(ทอเรียะ) ก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธาเช่นกัน ท่านได้สร้างวัดนี้ต่อจากบิดา และถึงแก่อสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นต้นสกุล "คชเสนี" พระอุโบสถวัดเกาะพญาเจ่งเป็นเขตโบราณสถาน กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เรื่องทศชาติชาดกfficeffice" /><O></O> จากบันทึกนี้ทำให้เราทราบว่า วัดเชิงท่าเป็นวัดที่สร้างในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๑๘(หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาประมาณ ๘ ปี) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พิจารณาจากการตั้งบ้านเรือนของ ๒ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นดังนี้:- ชุมชนเดิมในบริเวณสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปากคลองเชียงรากที่บ้านพร้าวผ่านบริเวณตำบลสามโคกขึ้นไปถึงปากคลองเชียงรากน้อย ความแตกต่างระหว่างบริเวณสองฝั่งแม่น้ำก็คือ ย่านที่เป็นชุมชนเมืองเก่านั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออก เพราะพบร่องรอยวัดเก่าและโบราณวัตถุที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ทั้งยังพบร่องรอยทางน้ำและลำคลองที่ขุดขึ้นเพื่อการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ บริเวณจากบ้านศาลาแดงเหนือมายังคลองส่งน้ำที่วัดอัมพาราม มีร่องรอยแนวคูที่ตัดขนานกับลำแม่น้ำที่ทำให้เกิดพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าอันเป็นลักษณะของเมืองอย่างชัดเจน หลักฐานของการเป็นบ้านเป็นเมืองในบริเวณนี้มีกล่าวถึง ในโคลงนิราศกำสรวลสมุทร ความว่า <TABLE width="52%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="50%">จากมาเรือร่อนท้ง</TD><TD width="50%">พญาเมือง </TD></TR><TR><TD>เมืองเปล่าปลิวใจหาย</TD><TD>น่าน้อง </TD></TR><TR><TD>จากมาเยิยมาเปลือง</TD><TD>อกเปล่า </TD></TR><TR><TD>อกเปล่าว่ายฟ้าร้อง</TD><TD>ร่ำหารนหา ฯ </TD></TR><TR><TD>จากมาเมืองเก่าเท้า</TD><TD>ลเท ทานรา </TD></TR><TR><TD>เทท่าบึงบางบา</TD><TD>บ่าใส้ </TD></TR><TR><TD>จากมาอ่อนอาเม</TD><TD>บุญบาป ใดนา </TD></TR><TR><TD>เมืองมิ่งหลายเจ้าไว</TD><TD>รยกโรย ฯ </TD></TR></TBODY></TABLE> ทุ่งพญาเมืองคือเมืองเก่า อยู่ทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดป่างิ้ว บริเวณนี้มีคูคันดินล้อมรอบ พบซากวัดร้างที่มีชื่อว่า วัดพญาเมือง พบพระพุทธรูปศิลาแบบอู่ทองมีโคกเนินซากโบราณสถานอยู่หลายแห่ง เศษภาชนะดินเผาเคลือบแบบสังคโลกสุโขทัย รวมทั้งเครื่องลายครามในสมัยราชวงศ์หยวนและเหม็งปะปนอยู่ อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีกรมศิลปากร ซึ่งเคยทำการสำรวจโบราณคดีสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากอยุธยาถึงกรุงเทพฯ ตั้งข้อสังเกตว่า บรรดาของเก่าแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นขึ้นไป มักพบทางฝั่งตะวันออกมากกว่าฝั่งตะวันตก ที่เด่นชัดก็คือ พระพุทธรูปหินทรายที่เรียกว่า หลวงพ่อเพชรและหลวงพ่อพลอย ในวัดสองพี่น้อง เป็นของอยู่ติดวัดมาแต่เดิม อีกทั้งภายในบริเวณวัดนี้ก็ยังพบเสมาหินทรายสีแดงที่มีลวดลายสลักแบบอยุธยาตอนต้นขึ้นไปอีกด้วย กล่าวกันว่าวัดพญาเมืองเป็นวัดร้างในสมัยกรุงแตก พระยาตากได้ยกกองทัพจากจันทบุรีไปตีพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น กู้กรุงศรีอยุธยาได้แล้วยกกองทัพเรือร่องลงมาพักไพร่พลหุงหาอาหารที่วัดนางหยาดและวัดพญาเมืองก่อนที่จะเดินทางต่อไปถึงกรุงธนบุรี เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในสมัยก่อนรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมและสมเด็จพระนารายณ์แล้ว อาจกล่าวได้ว่า มีอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามากกว่าทางฝั่งตะวันตก นับแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ลงมา เมืองเชียงรากที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาคลายความสำคัญลง ความหนาแน่นของชุมชนย้ายมาอยู่ทางฝั่งตะวันตกที่ตำบลสามโคกแทน อันเนื่องมาจากทางราชการกำหนดให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมอญอพยพ คนมอญที่เข้ามาได้ถูกกำหนดให้เป็นช่างปั้นหม้อ ทำไห จึงทำให้ย่านนี้กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรม ดังเห็นได้จากโคกเนินที่เป็นแหล่งเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาขนาดใหญ่ถึง ๓ แห่ง ทำให้บริเวณนี้กลายเมืองสามโคก และสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาก็กลายเป็นถิ่นฐานของคนมอญ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากสามโคกมายังปทุมธานี ปากเกร็ดและนนทบุรีตามลำดับ เห็นได้จากลักษณะของลำคลองคูต่างๆ ที่ขุดแยกออกจากฝั่งน้ำเจ้าพระยาไปทางตะวันตกเป็นระยะๆ ดูคล้ายๆ กับเป็นช่องๆ แต่ละช่องเป็นที่ตั้งของชุมชนหมู่บ้าน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางอย่างชัดเจน และวัดเหล่านี้แต่ละแห่งอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายแทบทั้งสิ้น มีหลายวัดที่ปัจจุบันเป็นวัดร้าง เช่น วัดมหิงสาราม แต่รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แลเห็น ล้วนแต่เป็นของในสมัยอยุธยาตอนปลาย อย่างเช่น ที่วัดมหิงสาราม พบซากโบสถ์ที่ก่อผนังอิฐทึบตามแบบที่พบในสมัยอยุธยาตอนปลาย และที่วัดเชิงท่า พบพระสถูปย่อไม้สิบสอง ซึ่งเมื่อประมาณ ๓๐ ปี ที่ผ่านมา(บันทึกไว้ณ ปี พ.ศ.2550) ขุดพบพระพุทธรูปและพระพิมพ์ที่เป็นแบบอยุธยาตอนปลาย โดยเฉพาะพระพิมพ์ที่เรียกว่าพระโคนสมอนั้น พบเป็นจำนวนมากในกรุเจดีย์ ผมได้นำข้อความบางส่วนมาจากเว็บไซต์ของมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่การดำเนินงาน ข่าวสาร ข้อมูลของมูลนิธิฯ บทความ จดหมายข่าว พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กิจกรรม ตลอดจนความรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม โดยมีคำจำกัดความกิจกรรมของมูลนิธิฯ ว่า " รวบรวม บันทึก ศึกษา ข้อมูลทางวัฒนธรรม สนับสนุนการอนุรักษ์เพื่อพัฒนา เผยแพร่เพื่อการศึกษาของสาธารณชน " ดังนั้น ทางมูลนิธิฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากท่านผู้มาเข้าชมได้รับสาระความรู้จากเว็บไซต์ของมูลนิธิฯ หรือหากต้องการนำข้อมูลหรือรูปภาพที่ได้จากเว็บไซต์นี้ไปใช้ประโยชน์เพื่องานด้านวิชาการ ทั้งนี้ได้ดำเนินการบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรไว้แล้ว [SIZE=+0]ผมได้นำพระเครื่องบางส่วนที่ค้นพบจากกรุวัดเชิงท่ามาประกอบเรื่องราวศิลปะ และความงามแห่งพระเครื่องโบราณร่วม ๒๐๐ กว่าปี [/SIZE] [SIZE=+0]1. พระพุทธกวักอุ้มบาตร ปิดทองเก่า[/SIZE] [SIZE=+0]2. พระพุทธจกบาตร ปิดทองเก่า[/SIZE] [SIZE=+0]3. พระอรหันต์สาวกจกบาตร พิมพ์นาคปรก ๕ เศียร ปิดทองเก่า[/SIZE] [SIZE=+0]4. พระอรหันต์สาวกจกบาตร พิมพ์นาคปรก ๓ เศียร ปิดทองเก่า[/SIZE] [SIZE=+0]ทั้ง ๔ องค์นี้เป็นฝีมือช่างหลวงอยุธยาตอนปลายทำไว้วิจิตรสวยงามมาก ปกติแล้วพระกรุนี้จะมีขนาดองค์ค่อนข้างใหญ่ และด้วยความที่เป็นพระหล่อตัน ใต้ฐานจะอุดชันโรงมวลสารและลงรักสีแดง จนมีลักษณะนูนออกมาบางองค์ไม่สามารถตั้งได้ (บางองค์มีเดือยแบบพระยอดธง) หากแขวนบูชาแล้วค่อนข้างหนัก พระสภาพสวยปิดทองร่องชาดมาแต่เดิม รักของกรุนี้มีลักษณะสองแบบ ถ้าเป็นรักดำจะลงบางแต่ถ้าเป็นแบบยางไม้สีน้ำตาลแดงจะมีความหนาและซึ้งตามาก ถ้าพระตอนบรรจุกรุอยู่ในที่สูง ทองจะเหลืองอร่ามเหมือนของใหม่ แต่ถ้าโดนน้ำท่วมถึงรักและทองจะลอกร่อนออก พระองค์ที่ ๑-๒ มีขนาดประมาณ ๒.๓ X ๔.๒ c.m. [/SIZE] [SIZE=+0]พระองค์ที่ ๓-๔ มีขนาดประมาณ ๒.๓ X ๔.๕ c.m. [/SIZE]ขนาดเห็นรายละเอียดของตาพญานาค
ผมได้นำถ้อยคำอนุญาตให้นำข้อความอ้างอิงจาก webmaster ของมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ที่ได้นำมาอ้างอิงเรื่องอายุวัดพญาเจ่ง และวัดเชิงท่ามาแสดงให้เพื่อนๆ และผู้ก่อตั้งเวปพลังจิตได้รับทราบทั่วกัน เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาครับ.. |