ยิ่งมนุษย์เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความอดทนย่อมน้อยลงเพื่อนที่สนิทจริงใจหากเราไม่รักษาไว้ให้ดีก็มีแต่จะลดน้อยลง ดังนั้นเราควรทำตัวให้เป็นเพื่อนที่ดีซึ่งมีหลักยึดเพียงบางส่วนที่จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกับอยู่อื่นได้อย่างสุขสงบ เรื่อง : มีนา ภาพ : AFP หลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นคือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้เขาสบายใจ แต่ยิ่งคนเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น บางคนก็มีความเป็นตัวตนสูง ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวใครเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกันได้ลำบาก เพื่อนสนิทนับวันก็จะลดน้อยลงทุกที แต่การอยู่ในสังคมจำเป็นต้องมีเพื่อนไว้ค่อยช่วยเหลือกันไว้บ้าง หลักสำคัญบางประการในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้เป็นอย่างดีไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน คือ 1. ต้องรู้จักประนีประนอม เพราะแต่ละครอบครัวก็ถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกัน ขนาดพี่น้องที่เกิดจากท้องเดียวกัน ยังมีนิสัยที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละคนแตกต่างกันทั้งความคิด ความชอบ และระเบียบวินัย 2. อย่าตัดสินคนจากคำพูด แต่ให้มองที่ใจ เพราะการกระทำคือ ของที่จริงแท้แน่นอน เวลาได้ยินใครพูดอะไรหรือใส่ร้ายผู้อื่น อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อให้พิสูจน์ด้วยตัวเองเสียก่อน 3. หลักการทำงานร่วมกับคนอื่น เพราะเราไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตนเองได้หมด ต้องพึ่งพาคนอื่น การใช้คนอื่นให้ทำอะไร ต้องรู้วิธีในการพูดขอร้องด้วยวิธีที่สุภาพ อีกทั้งควรใจกว้างหรือมีน้ำใจกับเพื่อน มีวิธีสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆ 4. เป็นคนดี คือ คนที่คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น คนจะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ผู้อื่นตัดสิน ดังนั้น หลักข้อแรกของคนดี จึงได้แก่ การไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ดังนั้นจะคบเพื่อนไปนาน ๆ อย่านำความเดือดร้อนมาสู่เพื่อน 5. อย่าตำหนิใคร ต่อหน้าคนอื่น เพราะจะทำให้เขารู้สึกเสียหน้า และจะเกิดความรู้สึกอับอายไม่พอใจ กลายเป็นสร้างปมเจ็บฝังลึกในใจ 6. อย่านำเรื่องลับ ไปพูดในที่แจ้ง เมื่อเราได้รับฟังความลับของเพื่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ยิ่งเป็นเรื่องไม่ดีเพื่อนต้องยิ่งระวังให้มาก ถ้าจะนำมาเปิดเผย ควรจะขออนุญาตอีกฝ่ายเสียก่อน มิฉะนั้นจะถูกตำหนิ ว่าไม่มีมารยาท และเพื่อนจะเกิดความไม่ไว้วางใจขึ้น 7. อย่าไปแก้ไขของที่คนอื่นทำไว้แล้ว เพราะอาจดูเป็นเรื่องเสียมารยาท เพราะอาจไปทำของๆ เพื่อนเสียหายก็ได้ 8. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คนบางคนเมื่อโดนตำหนิว่าตนเองไม่ดีอย่างไร แทนที่จะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี หรือชี้แจงว่าตนเองไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวหา แต่ควรรับฟังแล้วแก้ไขเพื่อการไม่ทำผิดซ้ำอีก 9. บุญคุณต้องทดแทน ถ้าใครทำอะไรให้เรา ต้องตอบแทนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง 10. ซื่อสัตย์ ถ้าเราโกงเขา หรือ เราโกหกเขา สักวันหนึ่งเขาย่อมจับได้ และความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็จะไม่เหลือ เพื่อนที่ดีเราควรรักษาเอาไว้ให้นาน ในโลกปัจจุบันเราทุกคนต้องมีสังคมทั้งในบ้านและนอกบ้าน ในบ้านเรามีครอบครัวที่อบอุ่นดูแลซึ่งกันและกัน เกื้อกูลกันในทุกๆเรื่อง เห็นอกเห็นใจกัน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบของแต่ละคนก็ทำกันไปเท่าที่ทุกคนจะทำได้ อยู่ในที่ทำงานหรือนอกบ้านก็ต้องทำเหมือนๆกัน เราต้องรู้จักเกื้อกูลซึ่งกันและกันเหมือนกับเราปฏิบัติตัวเหมือนที่บ้าน แต่เราจะทำอย่างไรกันล่ะให้อยู่ร่วมกันได้และมีความสุข ไม่มีปัญหาต่างๆ เข้ามาทำให้เกิดความรำคาญใจกันซึ่งกันและกัน
เราทุกคนต้องมีความเกี่ยวข้องกันในด้านต่าง ๆ เช่น การทำงานร่วมกัน เราต้องพึ่งพาอาศัยให้ความช่วยเหลือกัน ในความคิดส่วนตัวคิดว่าเราต้องเริ่มต้นจากตัวเราเองก่อนต้องรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักการวางตน รู้จักการพูดจา รู้จักรับผิดชอบ และที่สำคัญขาดไม่ได้เลยก็คือความมีน้ำใจให้กัน ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น และสุดท้ายความเสียสละ เช่น การลุกให้เด็กๆหรือคนแก่นั่งบนรถเมล์ เราทำแล้วเราได้ความสุขใจกลับมา ถ้าเราทุกคนทำได้เหมือนๆ กัน สังคมของเราก็น่าอยู่ยิ้งขึ้นและน่ามองอยู่แล้วมีความสุข มองไปทางไหนก็เห็นแต่รอยยิ้มทำให้การอยู่ร่วมกันทางสังคมของเรามีความสุขมากยิ่งขึ้น ความหมายของสังคม คำว่า "สังคม" นั้นได้มีผู้ให้นิยามไว้ต่าง ๆ มากมาย แต่พอสรุปความหมายได้ดังนี้ การที่คนจะมารวมกันเพื่อทำกิจกรรม หรือดำเนินชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์ เดียวกันนั้น ต้องมีองค์ประกอบและองค์ประกอบนั้นคือ 1. ประชากรจำนวนหนึ่งทั้งเพศหญิงและชาย ความสำคัญของสังคม มนุษย์จำเป็นต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การเป็นมนุษย์ที่สมบรูณ์นั้นมิได้มีมาแต่กำเนิด แต่เกิด จากการที่มนุษย์ได้เป็นสมาชิกของสังคม ทำให้มนุษย์เรียนรู้แบบแผนต่าง ๆ โดยเฉพาะสังคม มนุษย์คือ ครอบครัว ความรู้จากแบบแผนมนุษย์ รุ่นก่อนจากสภาพแวดล้อมครอบครัว จากสถาบันที่ตนได้สัมผัส สิ่งเหล่านี้ ล้วนมีอิทธิพล และมีส่วนทำให้มนุษย์ที่สมบรูณ์สามารถยังชีพอยู่สังคมได้อย่างมั่นคง ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์
2. เพื่อเป็นที่ยอมรับของสังคม การเป็นที่ยอมรับทำให้มนุษย์เกิดความมั่นใจ ความภูมิใจ ความเข้าใจที่จะ 3. รักษากฎระเบียบของสังคม ปกป้องคุ้มครองคนดี รักษากฎหมาย เพื่อความสงบสุขของสังคม โครงสร้างของสังคม 1.2 จารีตหรือกฎศีลธรรม (Mores) คือ ข้อห้ามในการกระทำบางอย่างของสังคมซึ่งมีเรื่องกฎศีลธรรมเกี่ยวกับ ความดี ความชั่ว
เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหากผู้ใดระเมิดจะได้รับการต่อต้านรุ่นแรงกว่า 1.3 กฎหมาย (Laws) หมายถึง กฎข้อบังคับความประพฤติของบุคคลในสังคมผู้ใดระเมิดไม่ปฎิบัติมีบทลงโทษ ตาม กฎหมาย ที่กำหนดไว้
เช่น การฆ่าคนตาย การทำร้ายร่างกาย หรือการทิ้งขยะใน 2. สถานภาพและบทบาททางสังคม สถาบันทางสังคม (Institution) หมายถึง แบบแผน พฤติกรรมที่เป็นมาตรฐานของสังคม ที่มีเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานของสังคม และมีหน้าที่ทำให้สังคม คงสภาพอยู่ได้ สถาบันที่สำคัญ ประกอบด้วย 1. สถาบันครอบครัว เป็นสถาบันพื้นฐานที่มีบทบาทต่อสังคมมากเพราะมีหน้าที่ในการอบรม สั่งสอนเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ ให้เป็นคนดีมีคุณภาพของสังคม ซึ่งเกิดจากการสมรสของชายหญิง ที่ตกลงจะมีชีวิตคู่ร่วมกัน เมื่อให้กำเนิดบุตรหน้าที่ของบิดาและมารดาจึงมีความสำคัญมาก 2. สถาบันการศึกษา เป็นสถาบันที่สนองความต้องการของสังคมด้านการถ่ายทอดความรู้ทักษะวิชาการ และวิชาชีพเพื่อให้สมาชิกมีความรู้ ความสมารถ วัฒนธรรม คุณธรรม 3. สถาบันการเมืองการปกครอง เป็นแบบอย่างของการคิดการกระทำในเรื่องเกี่ยวกับการรักษาระเบียบ ความสงบ เรียบร้อยของสังคม พิทักษ์ความถูกต้อง รักษาอธิปไตยของชาติ 4. สถาบันเศรษฐกิจ ปฎิบัติหน้าที่เพื่อสนองความต้องการของสังคมในด้านการผลิต การกระจาย การแลกเปลี่ยน สิ้นค้าและบริการแก่สมาชิกในสังคม 5. สถาบันศาสนา ปฎิบัติหน้าที่ทางพิธีกรรม อบรมสั่งสอนหลักธรรม เพื่อสนองความต้องการของสังคมในเรื่องความเชื่อ ความศรัธาของมนุษย์ ช่วยควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม ทั้งกาย วาจาใจ ให้อยู่ในระเบียบ เพื่อให้เกิดสันติสุข 6. สถาบันสื่อสารมวลชน สนองความต้องการของสังคมในเรื่องการติดต่อสื่อสาร ทำให้บุคคลในสังคมทันเหตุการณ์ ในโลกยุคปัจจุบัน ทันคน ไม่ตกข่าว 7. สถาบันนันทนาการ สนองความต้องการสมาชิกในสังคมในด้านการพักผ่อนหย่อนใจการออกกำลังกาย การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจให้มีความแข็งแรงสมบรูณ์ หน้าที่ของสถาบันทางสังคม |