กลับมาอีกแล้วครับผม กับรายการค่าลดหย่อนสุดฮิตที่หลายคนรอคอยอย่าง ช้อปดีมีคืน 2565 ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2565 (ที่ใช้ยื่นภาษีเงินได้ในปี 2566) โดยบทความนี้พรี่หนอมจะมาสรุปทุกอย่างที่ควรรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังครับ ใครใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้บ้าง?สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์ใช้ค่าลดหย่อนภาษี 2565 ตัวนี้ ต้องเป็น บุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ บุคคลธรรมดาอย่างเรา ๆ นี่แหละครับที่มีเงินได้และต้องมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั่นเองครับ โดยในปี 2565 นี้ไม่มีข้อห้ามการใช้สิทธิ์ร่วมกันระหว่าง โครงการคนละครึ่ง หรือผู้ที่มีสิทธิ์สวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรสวัสดิการรัฐ) เหมือนกับค่าลดหย่อนช้อปดีมีคืนในปี 2564 จึงทำให้เราสามารถใช้สิทธิ์ได้ทั้งคู่พร้อมกัน โดยไม่ต้องเลือกตัวใดตัวหนึ่งครับ โดยแนวทางและสิทธิ์ประโยชน์ในเรื่องนี้ ได้ออกมาเป็นกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ กฎกระทรวงฉบับที่ 379 และ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 418) ซึ่งสามารถสรุปรายละเอียดจากข้อกฎหมายได้ดังนี้ครับ เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษีมีอะไรบ้าง ?โดยข้อกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าเราต้องมีการซื้อสินค้าหรือบริการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้ดังนี้ครับ (1) ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือสรุปว่า 3 กลุ่มนี้คือ สินค้าและบริการตามภาษีมูลค่าเพิ่ม หนังสือและอีบุ๊ค และ สินค้า OTOP นั่นแหละครับ แต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะเราไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ทุกอย่างครับ เนื่องจากยังมีสินค้าและบริการบางตัวที่กฎหมายไม่ให้สามารถใช้สิทธิ์ดังต่อไปนี้ครับ
โดย จำนวนเงินที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด คือ 30,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว – ถ้ามี) และต้องเป็นการซื้อสินค้าหรือรับบริการในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2565 โดยหลักฐานที่ใช้ในการลดหย่อนภาษี คือ ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่มีชื่อผู้ซื้อระบุไว้ กรณีที่ซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และใบเสร็จรับเงินที่มีชื่อผู้ซื้อระบุไว้ กรณีที่ซื้อจากผู้ประกอบการสินค้า OTOP และหนังสือ หากใครต้องการข้อมูลแบบละเอียด สามารฟังข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมกับการตอบคำถามของผมได้ที่ Live ด้านล่างนี้ได้เลยครับ ใบกำกับภาษีต้องมีเลขบัตรประชาชนไหมและ ที่อยู่ในใบกำกับภาษีต้องเป็นที่อยู่ไหนคำถามแรกที่ถามกันบ่อย ๆ คือ ใบกำกับภาษีเต็มรูปที่ขอจากคนขาย นอกจากให้ระบุชื่อนามสกุลของเราแล้วต้องระบุเลขบัตรประชาชนผู้เสียภาษีไหม ขอบคุณตัวอย่างใบกำกับภาษี คำตอบ คือ ไม่จำเป็น แต่ถ้าหากระบุได้ก็ดีครับ เนื่องจากการระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีหรือเลขประจำตัวบัตรประชาชนของเรานั้น มีความจำเป็นจะต้องระบุก็ต่อเมื่อกรณีผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น โดยอ้างอิงจากข้อ 1 และ ข้อ 3 ตามคำชี้แจงกรมสรรพากร เรื่อง การระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ไว้ดังนี้ครับ 1. ผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการไว้ในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป เฉพาะกรณีผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ถ้าผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการก็ไม่จำต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการนั้นไว้ในใบกำกับภาษีแต่อย่างใด</p> 3. กรณีผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่จำต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของตนเองให้แก่ผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าเราซื้อเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีโดยที่ไม่ได้ต้องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม แปลว่าไม่ต้องระบุเลขประจำตัวบัตรประชาชนก็ได้ครับ แต่ถ้าหากทางผู้ขายสินค้าหรือให้บริการขอและเราไม่ติดอะไร ก็บอกเลขของเราให้กับเขา เพื่อความชัดเจนและความสะดวกในการออกเอกสาร อันนี้ก็เป็นทางเลือกที่สามารถทำได้เช่นกันครับ สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเรื่องช้อปดีมีคืนประเด็นแรกที่อยากจะฝากไว้ คือ สิทธิ์ประโยชน์ตัวนี้เป็นรายการลดหย่อนภาษี ไม่ใช่ ลดภาษีทั้งจำนวน ดังนั้นเช็คให้ดีถึงความคุ้มค่าครับ ว่าเราเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราไหน และใช้แล้วจะลดภาษีได้กี่บาท เพราะมันคือการได้เงินคืนบางส่วน แต่ไม่ได้เงินคืนเต็มจำนวนจากการซื้อสินค้าหรือบริการนั่นเองครับ ประเด็นที่สอง คือ ในกรณีที่ผู้ขายออกใบกำกับภาษีให้ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าที่เข้าเงื่อนไข ก็ไม่สามารถที่จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ เพราะถือว่าไม่มีหลักฐานตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นระวังเรื่องเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องด้วยนะครับ (ในกรณีของหนังสือ หรือ OTOP อาจจะใช้ใบเสร็จรับเงินแทนครับ) ประเด็นที่สาม คือ กรณีของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ ไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีส่วนนี้ได้ เพราะเป็นสิทธิ์ที่มีให้ผู้มีเงินได้อย่างเดียว แต่ถ้าหากต่างฝ่ายต่างมีเงินได้จะได้รับสิทธิ์สูงสุดคนละ 30,000 บาทครับ ประเด็นที่สี่ คือ ในกรณีที่ซื้อสินค้าที่มีทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้เฉพาะสินค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น (ยกเว้นหนังสือ และ OTOP) ดังนั้นอย่าลืมแยกรายการที่เกี่ยวข้องให้ดีด้วยนะครับ ประเด็นที่ห้า คือ วงเงินใช้สิทธิ์จำนวน 30,000 บาทเป็นจำนวนที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และสามารถใช้ร่วมกันหลายรายการได้ แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ส่วนในกรณีที่ซื้อเกินก็สามารถใช้สิทธิ์ได้สูงสุด 30,000 บาทเช่นเดียวกัน และในกรณีซื้อสินค้าในลักษณะของการผ่อนชำระก็สามารถใช้สิทธิ์ได้เช่นกันครับ ประเด็นสุดท้าย คือ สำหรับกรณีที่ใช้เป็นต้นทุนสินค้าหรือบริการในการคำนวณค่าใช้จ่ายทางภาษี หรือใช้เป็นภาษีซื้อของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ได้ครับ เพราะสามารถใช้ได้ในกรณีใดกรณีหนึ่งเท่านั้นนั่นเองครับ รัฐบาลได้อะไรจากการออกนโยบายแบบนี้เหมือนจะชงไปสู่ความดราม่า แต่ถ้าหากวิเคราะห์กันจริง ๆ รัฐน่าจะคาดหวังที่จะได้รับผลประโยชน์จากการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ แต่คำถามที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้จากนโยบายในช่วงที่ผ่านมา นั่นคือ ผลตอบแทนที่รัฐได้รับจริงๆ จากนโยบายนี้เป็นอย่างไร จากการวัดผลแบบไหน และมันเป็นผลดีต่อภาพรวมของการจัดเก็บภาษีในระยะยาวหรือไม่ ซึ่งถ้าใครมีคำตอบส่วนนี้แบบชัด ๆ ก็สามารถส่งให้ผมได้นะครับ ในมุมของผู้บริโภค สิ่งนี้ทำให้เกิดอะไรบ้าง?จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นโยบายแบบนี้ออกมาย่อมกระตุ้นให้คนที่ต้องการ “ลดภาษี” ใช้จ่ายง่ายขึ้น เพราะการจ่ายเงินออกไปเพื่อใช้จ่ายในช่วงเวลาจำกัดแบบนี้ ย่อมเป็นตัวเร่งให้เกิดการ “ซื้อ” เพื่อที่จะคาดหวังสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีกลับมา มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ผมพบมาโดยตลอดเกี่ยวกับนโยบายนี้ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเสียภาษีเท่าไร หรือเสียภาษีในอัตราสูงสุดกี่ % และตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่า นโยบายนี้ทำให้ประหยัดภาษีได้กี่บาท คุ้มค่าหรือไม่ แต่ต้องการรีบตัดสินใจใช้ในช่วงเวลาที่จำกัดทันทีที่นโยบายนี้ออกมา เพียงเพราะคำว่า “ประหยัดภาษี” คำเดียว ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกครับ เพียงแต่เราต้องตั้งคำถามในการใช้จ่ายกับตัวเองด้วยครับว่า … สิ่งสำคัญคือ การตั้งคำถามในการใช้จ่ายของตัวเองคำแนะนำของผมที่มีต่อนโยบายเหล่านี้ คงจะเป็นคำถามว่า ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีนั้น เราควรตรวจสอบตัวเองง่ายๆก่อนว่า “เราจำเป็นไหม” และ “เรามีเงินไหม” เราจำเป็นไหม ?เราจำเป็นไหม หมายถึง การซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ นั้น มันคือสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเราไหม เพราะถ้าหากไม่จำเป็น มันคือการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเงินที่เราเสียไปนั้นย่อมมากกว่าภาษีที่เราสามารถประหยัดได้อยู่ดี ผมอยากให้ลองมองว่าการซื้อสินค้าหรือบริการเหล่านี้คือการได้รับส่วนลดกลับมาแทน (ในอัตรา 5-35% ขึ้นอยู่กับอัตราภาษีสูงสุดที่เราเสีย) แล้วคิดให้ดีว่า ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ หรือใช้ไม่คุ้ม มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ครับ ดังนั้นไม่ใช่แค่ของมันต้องมี แต่ของมันต้องมีและใช้ให้คุ้ม! เรามีเงินไหม ?ถ้าจำเป็นแล้ว สิ่งที่ต้องมองคือประเด็นต่อมา นั่นคือคำว่า “เรามีเงินไหม” นี่อาจจะเป็นคำพูดที่แทงใจมากกว่าเรื่องภาษีและความจำเป็นอีกนะครับ เพราะถ้าหากเราไม่มีเงิน เราจะวางแผนภาษีไม่ได้เลย เพราะมันต้องใช้เงินซื้อเพื่อแลกมา ดังนั้นถ้าไม่มีเงิน รักษาเงินในกระเป๋าไว้ดีกว่า เผื่อว่าต้องใช้ในสักวันหนึ่งข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่วิกฤตโรคระบาดยังไม่คลี่คลายไป จากที่ผ่านมาในช่วง 2 ปีนี้ ผมสังเกตเห็นหลายคนมีรายได้ลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายยังคงที่ และถ้าหากไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในปี 2565 ชีวิตเราจะกลับมามีเงินใช้จ่าย สภาพคล่องได้เหมือนเดิม การเก็บเงินไว้ก็เป็นทางเลือกที่ต้องพิจารณาเหมือนกันครับ แต่สำหรับคนที่อยากใช้ แต่ไม่รู้จะใช้อะไร หรือคิดไม่ออก ผมฝากคำแนะนำให้ทั้งหมด 3 ข้อดังนี้ครับ คำแนะนำในการใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนซื้อสินค้าและบริการเพื่อลดหย่อนภาษีมาถึงตรงนี้ ถ้าใครมองว่าตัวเองมีสภาพคล่องดี เสียภาษีในอัตราที่สูง และมองว่าต้องซื้อของที่จำเป็น ผมอยากให้พิจารณาหลักการสั้น ๆ 3 ข้อตามนี้ครับ นั่นคือ ข้อแรก ของที่เราควรซื้อ คือ ของที่เราได้ใช้หลักการคิดง่าย ๆ คือ สินค้าที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีการเปลี่ยนแทนตัวเก่าที่เราใช้อยู่ เพื่อให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด หรืออีกนัยหนึ่ง สินค้าหรือบริการที่เราซื้อมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่น ผมอาจจะเลือกซื้อสินค้าสิ้นเปลืองอย่างเครื่องใช้ในบ้าน น้ำยาซักผ้า ถูบ้าน ล้างจาน หรือของต่างๆ ที่ได้ใช้แน่ๆในช่วงเวลาต่อจากนี้ หรือ ของที่เราคิดว่าซื้อมาแล้วสามารถช่วยให้เราพัฒนาตัวเองหรือ สร้างรายได้มากขึ้นได้ในอนาคต ข้อสอง เงินที่เราจ่ายไป ต้องไม่กระทบสภาพคล่องจุดที่ต้องระวังคือ หลังจากที่ใช้จ่ายแล้ว เราต้องดูด้วยว่าเงินที่เราต้องใช้จ่ายหลังจากนี้เพียงพอไหม (สภาพคล่อง) บางคนอาจจะทำงบรายรับรายจ่ายล่วงหน้าไว้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ โดยเฉพาะคนที่เลือกการซื้อแบบผ่อน ผมอยากให้ประมาณตรงนี้ไว้ดีๆ เลยครับ เพื่อที่จะได้ไม่กระทบกับการใช้จ่ายในอนาคต ข้อสาม ทำถูกต้องตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเนื่องจากสิทธิประโยชน์ตรงนี้มีเรื่องของภาษีมาเกี่ยวข้องดังนั้นการใช้สิทธิต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เพราะถ้าหากทำผิดเงื่อนไขขึ้นมา และถูกตรวจสอบพบ เราจะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม และอาจจะถูกให้เสียเงินเพิ่มได้อีกด้วยครับ สรุปสุดท้ายแล้ว ผมสรุปเงื่อนไขสั้น ๆ ที่ทุกคนต้องรู้เกี่ยวกับ ช้อปดีมีคืน ไว้ทั้งหมดตามนี้ครับ
อย่างไรก็ดี ขอออกตัวไว้นะครับว่า เนื้อหาบางส่วนของบทความนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการบอกว่านโยบายไม่ดี หรือ มาสกัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใดนะครับ แต่อยากให้กลับมาย้อนมองที่เศรษฐกิจของตัวเราเองด้วยว่า ตอนนี้มันเป็นอย่างไร เพราะถ้าหากเรามีปัญหาเรื่องการเงินขึ้นมาจากการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีโดยที่ไม่จำเป็น มันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไร
คือ นามปากกาของพรี่หนอม (ถนอม เกตุเอม) ผู้มีความเชื่อว่าภาษีเป็นเรื่องยาก แต่กลับชื่นชอบในการทำให้ภาษีกลายเป็นเรื่องเรียบง่าย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจในการใช้ชีวิต ซื้อไอโฟน ลดหย่อนภาษีได้ไหมอุปกรณ์ไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน เช่น iPhone, iPad, MacBook ไม่ว่าจะซื้อราคาเต็ม หรือซื้อจาก Outlet ก็สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ สินค้าที่ซื้อจากร้าน Duty Free หากเป็นสินค้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้
ซื้อของลดหย่อนภาษีได้ไหม“ช้อปดีมีคืน” ตัวช่วยลดหย่อนภาษีสำหรับผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ “ยื่นภาษีเงินได้” ทุกๆ ปี โดยผู้เข้าร่วมโครงการไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ เพียงแค่ซื้อสินค้า และบริการตามเงื่อนไขของโครงการ และขอใบกำกับภาษีเต็มรูป ซึ่งสามารถสิทธิลดหย่อนได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
ซื้อทองสามารถลดหย่อนภาษีได้ไหมซื้อทองได้ไหม ? ทองคำแท่ง ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ เพราะทองคำแท่งไม่ต้องเสียภาษี VAT. ทองรูปพรรณ ตัวทองคำก็ไม่เสียภาษีเช่นกัน จึงใช้ลดหย่อนได้เฉพาะค่ากำเหน็จเท่านั้น
สินค้าอะไรที่ลดหย่อนภาษีได้สินค้าและบริการที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้. สินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ... . หนังสือรูปเล่มและหนังสือในรูปแบบอีบุ๊ค ... . สินค้า OTOP.. |