คำว่า "จริยธรรม" นั้นมีผู้ให้ความหมายไว้หลายท่าน ซึ่งสรุปได้ดังนี้ คือ จริยธรรม หมายถึง แนวทางในการประพฤติตนที่ดีงามเหมาะสม เพื่อให้สมาชิกในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข เป็นความหมายที่สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา ดังคำว่า "ธมฺมสฺส จริยา ธมมา วา อนเปตา จริยา ธมฺมจริยา" แปลว่า "ความประพฤติที่เหมาะสม หรือความประพฤติที่ไม่ปราศจากธรรม เรียกว่า ธรรมจริยา" (มังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ฉบับบาลี, ๒๕๓๖: ๔๗) เมื่อกล่าวในแง่ของพุทธศาสนา เรียกว่า พุทธจริยธรรม ตามทรรศนะของพุทธศาสนา พุทธจริยธรรมนั้นนอกจากจะเป็นหลักของการดำเนินชีวิตแล้ว ยังเป็นวิธีการแก้ปัญหาด้วย ซึ่งมีที่มาดังนี้ คือ ในสมัยพุทธกาลนั้น ยังไม่มีการสังคายนาหลักคำสอนของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงใช้ประกาศศาสนาในสมัยนั้น ทรงใช้อยู่ ๓ คำ คือ "พรหมจรรย์" (พรฺหมจริย) "ธรรมวินัย" (ธมฺมวิจย) และคำว่า "นวังคสัตถุสาสน์" ๑. พรหมจรรย์ คำว่า "พรหมจรรย์" นี้ เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นอุดมการณ์ในการประกาศในครั้งที่ส่งสาวกไปประกาศศาสนาครั้งแรกจำนวน ๖๑ รูป จุดประสงค์เพื่อความประโยชน์สุขของคนทั่วไป ดังตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าใช้ คำว่า พรหมจรรย์ คือ
มีความหมายว่า
และนอกจากนี้ยังมีหลักพุทธพจน์ที่แสดงถึงหลักจริยธรรมอีกว่า
มีความหมายว่า ดูก่อนภิกษุ มรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันประเสริฐ นี้แหละ คือ พรหมจรรย์ ฯ (สํ.ม.๑๙/๓๐/๗) ด้วยเหตุนี้ พรหมจรรย์ จึงได้ชื่อว่า เป็นพุทธจริยธรรม เมื่อพิจารณาในแง่นี้จะเห็นได้ว่า พุทธจริยธรรมนั้นกว้างขวางมาก ในการดำเนินตามแนวทางนี้ นอกจากบุคคลจะสามารดำเนินชีวิตจนบรรลุความดีอันสูงสุดแล้ว สังคมก็ดำเนินไปด้วยความสงบสุขอันเนื่องมาจากการปฏิบัติของบุคคลในสังคมนั้น ๒. ธรรมวินัย คำว่า "ธรรมวินัย" นี้ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ทรงใช้คำว่า "ธรรมวินัย" คือ
มีความหมายว่า
๓. นวังคสัตถุสาสน์ หรือ สัตถุสาสน์ ๙ ประการ คือ
*** ลักษณะพุทธจริยธรรม ลักษณะและขอบเขตและเนื้อหาของพระพุทธจริยธรรมนั้นแบ่งได้ออกเป็น ๒ส่วน คือ ส่วนที่เป็นอภิปรัชญาที่กล่าวถึงความจริงของจักรวาล ของโลกและสรรพสิ่งและมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทจิตนิยม (Idealism) ในแง่ที่ว่า มนุษย์มีองค์ประกอบที่สำคัญ ๒ ส่วนคือ กาย กับจิต และถือว่าจิตเป็นเรื่องสำคัญดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้หลายแห่งเป็นต้นว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจ อันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะ ทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น ฯ (ขุ.ธ. ๒๕/๑๑/๑๑) ส่วนที่ ๒ คือเป็นจริยศาสตร์ที่สอนให้มนุษย์เข้าใจถึงความหมายของชีวิต พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแห่งเหตุผล และเป็นศาสนาที่แสดงถึงหลักความจริงในชีวิต ไม่ใช่ศาสนาที่สอนให้บุคคลหลงใหล เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อตามหลักเหตุผลที่ใคร่ครวญด้วยสติปัญญาแล้ว จะเห็นได้จากหลักปฏิบัติในเรื่องความเชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในกาลามสูตร มี ๑๐ ประการ
ในแง่ญาณวิทยา พระพุทธศาสนาแบ่งความรู้ออกเป็นหลายระดับ เช่น วิญญาณ ความรู้ทางประสาทสัมผัส สัญญา ความจำ ปัญญา ความรอบรู้ และได้แสดงบ่อเกิดของความรู้ไว้ ๓ ทางด้วยกัน (อภิ.วิ.๓๕/๘๐๔/๓๙๕) คือ พุทธจริยธรรมจึงเป็นหลักการหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดี
ประเสริฐ อันเป็นวิธีการ หรือเครื่องมือในการสู่จุดมุ่งหมายอันเป็นประโยชน์สูงสุด เป็นอุดมคติของชีวิต ครอบคลุมถึงเกณฑ์ตัดสินว่า การกระทำใดดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร ด้วยเหตุนี้พุทธจริยธรรมจึงมีลักษณะที่แตกต่างจากทรรศนะของปรัชญาในสำนักอื่น ๆ คือ พุทธจริยธรรมไม่ได้เกิดจากโต้แย้งทางความคิด (Argument) การนิยามความหมาย การคาดคะเน หรือการพิจารณาเทียบเคียง เหมือนปรัชญาสำนักอื่น ๆ แต่พุทธจริยธรรมมีธรรมชาติของความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติแล้วสามารถเห็นได้ด้วยตัวของตนเอง (สนฺทิฏฺฐิโก) ไม่จำกัดเวลา
(อกาลิโก) ซึ่งเป็นผลของการตรัสรู้ธรรมอันยอดเยี่ยมของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า "อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ" ซึ่งแยกได้เป็น ๒ ส่วนคือ ส่วนที่เป็นสัจธรรมและส่วนที่เป็นศีลธรรม พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) (๒๕๔๒: ๖) ได้จัดแบ่งพุทธจริยธรรมตามนัยดังกล่าวไว้ดังนี้ คือ เมื่อกล่าวให้ง่ายต่อความเข้าใจในเชิงจริยศาสตร์
พุทธจริยธรรมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ โดยนัยนี้ สัจธรรมในพระพุทธศาสนาหมายถึงคำสอนเกี่ยวกับสภาวะความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นไปโดยสภาวธรรมชาติหรือกฎธรรมชาติ (Natural Law) กล่าวคือเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ ๓ ประการ คือ (๑) อนิจจตา (Impermanence; Transiency) ความไม่เที่ยง เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไป (๒) ทุกขตา (State of Suffering) ความเป็นทุกข์ และ (๓) อนัตตา (Non-Self) ความไม่มีตัวตน ข้อเท็จจริงเหล่านี้ พระพุทธศาสนาเชื่อว่ามีอยู่แล้วอย่างนั้นและมีอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะมีคนรับรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม (สมภาร พรหมทา, ๒๕๔๑: ๕) ส่วนในส่วนจริยธรรม หมายถึงการถือเอาประโยชน์จากความรู้และความเข้าใจในสภาพและความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย หรือการรู้กฎธรรมชาติและนำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ (พระศรีสุทธิโมลี, ๒๕๑๔: ๑๘๗ อ้างถึงใน พระมหาไพฑูรย์ อุทัยคาม, ๒๕๔๒: ๓๓) นอกจากนั้น เนื้อหาของพุทธจริยธรรมยังสามารถแบ่งได้อีก ๒ ระดับคือ (๑) ระดับโลกิยธรรม
ได้แก่ธรรมอันเป็นวิสัยของปุถุชนผู้ครองเรือน เป็นข้อปฏิบัติสำหรับปุถุชนให้ถูกต้องตามหลักศีลธรรม มุ่งสอนเพื่อให้เกิดการลดละกิเลสที่เป็นอกุศล สาเหตุที่ก่อให้เกิดอกุศลต่างๆ ให้กระทำความดี เว้นจากการกระทำความชั่ว ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว หมดจดจากกองกิเลสที่ทำให้เศร้าหมอง เพื่อให้เกิดความความสุขแก่ตนเองและสังคม (๒)โลกุตรธรรม ได้แก่ธรรมอันไม่ใช่วิสัยของชาวโลก แต่เป็นข้อปฏิบัติของพระอริยะ พุทธจริยธรรมในขั้นนี้เป็นขั้นสูงของพระอริยบุคคลผู้พัฒนาจิตใจ
จนเกิดปัญญาสามารถละกิเลสหรือสังสารวัฏได้อย่างเด็ดขาด พ้นจากอำนาจกิเลสโดยสิ้นเชิง อยู่เหนือบุญและบาป เป็นผู้ที่ได้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต การกระทำของพระอรหันต์ไม่เป็นทั้งบุญและบาป ไม่มีชาตินี้และชาติหน้า พระอรหันต์อยู่ในส่วนของวิวัฏ จึงไม่มีภพชาติสังสารวัฏต่อไป ดังพระพุทธพจน์ว่า พระอรหันต์ มีความสุขหนอ เพราะท่านไม่มีตัณหา กำหนดรู้เบญจขันธ์มีสัทธรรม ๗ ประการเป็นโคจร มีร่างกายนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลุดพ้นจากภพใหม่ บรรลุพระอรหัตภูมิแล้ว ชนะขาดแล้วในโลก
ไม่มีความเพลิดเพลินอยู่ในส่วนเบื้องบน ท่ามกลาง และที่สุด เป็นผู้ยอดเยี่ยมในโลก ในทางพระพุทธศาสนา ความสุขในระดับโลกิยะเป็นความสุขในระดับหนึ่ง พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธความจริงอันเป็นสมมติสัจจะและโลกแห่งวัตถุเหล่านี้ เพราะในความเป็นจริง ความสุขในระดับโลกิยะเป็นแนวทางให้บุคคลมีความพยายามเพื่อบรรลุความสุขขั้นสูงสุด อันเป็นบรมสุขกล่าวคือพระนิพพานซึ่งเป็นความสุขในระดับโลกุตตระ จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของชีวิตในระดับโลกิยะและโลกุตตระจะสัมพันธ์กันโดยความเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ความสุขที่เกิดจากโลกแห่งวัตถุ เป็นเป้าหมายในระดับสัมมติสัจจะ อยู่ในระดับโลกิยวิสัย จึงหาความจริงแท้ไม่ได้ เพราะเป็นความสุขที่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสภาวะแห่งสามัญญลักษณะ และการมีสุขเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นเป้าหมายที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่ความสุขในระดับโลกิยะนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการขัดเกลาจิตในระดับเบื้องต้น ถ้าหากบุคคลไม่ได้รับการฝึกฝนและได้รับความสุขระดับเบื้องต้น ความพยายามในที่จะให้ความสุขในระดับโลกุตตระอันเป็นจุดหมายปลายทางเกิดขึ้นก็จะมีไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ความสุขในระดับโลกิยะและความสุขในระดับโลกุตตระจึงเป็นเหตุผลของกันและกันและสัมพันธ์กันดังกล่าวมา พุทธปรัชญาได้สอนหลักจริยธรรมการดำเนินชีวิตไว้ทุกระดับ ตั้งแต่จริยธรรมสำหรับผู้อยู่ครองเรือนจนถึงบรรพชิตผู้ออกแสวงหาความสงบ และความหลุดพ้นจากกองกิเลสทั้งปวงพระพุทธศาสนาได้แสดงอรรถะ คือจุดมุ่งหมายของชีวิตที่ดีงาม ที่มนุษย์พึงประสงค์ไว้ ๓ ระดับ คือ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือประโยชน์ในปัจจุบันประโยชน์ในโลกนี้ อันเป็นจุดหมายเบื้องต้นหรือจุดหมายเฉพาะหน้าที่มองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน อันได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือทรัพย์สิน ฐานะเป็นต้น รวมถึงการแสวงหาสิ่งเหล่านี้โดยชอบธรรม มี ๔ ประการ คือ
๒. สัมปรายิกัตถะ หรือประโยชน์เบื้องหน้าประโยชน์ในภพหน้า เป็นประโยชน์ขั้นสูงที่ลึกล้ำกว่าจะมองเห็นได้เฉพาะหน้า เกี่ยวเนื่องด้วยคุณค่าของชีวิต เป็นหลักประกันว่า เมื่อละชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว จะไม่ตกลงไปสู่ที่ชั่ว อันได้แก่ ความเจริญด้านจิตใจที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมและศีลธรรม ใฝ่ใจในทางในเรื่องบุญกุศล มีความสงบสุขทางจิตใจ มี ๔ประการ คือ
๓. ปรมัตถะ หรือประโยชน์สูงสุดประโยชน์อย่างยิ่งอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด หมายถึงจิตที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง คือวิมุตติและพระนิพพานอันเป็นสาระแท้ของชีวิต ได้แก่การรู้แจ้งและรู้เท่าทันคติธรรมดาของสังขารธรรม ไม่ตกเป็นทาสของโลกและชีวิต (องฺ.อฏฺฐก.๒๓/๑๔๔/๒๒๒) สรุปได้ว่า ขอบเขตของพุทธจริยศาสตร์นั้น อยู่ที่การกระทำทางกาย วาจา และใจ เป็นพื้นฐานให้เกิดคุณธรรมขั้นสูงๆ ขึ้นไปเท่านั้น เพราะจริยศาสตร์เป็นเป็นเรื่องที่ว่าด้วยคุณค่าของการกระทำที่มีค่าในระดับโลกิยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในขั้นปรมัตถ์หรือโลกุตรธรรม ๑) ระดับโลกิยธรรมเป็นเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ในสภาวะที่สืบเนื่องอยู่ในโลกแห่งปรากฏการณ์ สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส เป้าหมายของชีวิตในระดับนี้จึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะเป้าหมายในระดับนี้วัดจากรูปธรรมอันปรากฏให้เห็นเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่า อุดมคติของชีวิตในระดับนี้จะเป็นสิ่งเลวร้าย ในทางตรงกันข้ามหากสร้างและดำเนินชีวิตตามอุดมคติที่วางไว้ได้อย่างถูกต้องตามกฎศีลธรรมแล้ว ชีวิตก็จะสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง ๒) ระดับโลกุตรธรรมเป็นเป้าหมายของมนุษย์อันอยู่ในสภาวะที่พ้นจากโลก เป้าหมายในระดับนี้ไม่ได้สามารถวัดได้ด้วยวัตถุ สิ่งของ หรือประสาทสัมผัสทั้ง ๕ เพราะเป็นขั้นที่หลุดพ้นจากอำนาจกิเลสทั้งปวง เป็นเป้าหมายในระดับปรมัตถะ เป็นความสุขที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอื่นใด อันได้แก่ พระนิพพาน *** การจัดลำดับพุทธจริยธรรม พุทธจริยธรรม มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลมีชีวิตที่ดี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สามารถอยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้เป็นอย่างดี มีความสุข และทำให้มีการดำเนินชีวิต การครองชีพอย่างประเสริฐ เพราะฉะนั้นพุทธจริยธรรมจึงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีของชาวพุทธ การจัดพุทธจริยธรรมสามารถจัดได้ดังนี้ ๑. พุทธจริยธรรมขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นของธรรมจริยา หรืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ (พระเทพเวที, ๒๕๓๒: ๕) และยังเป็นพื้นฐานของคุณธรรมขั้นสูงๆขึ้นไป จริยธรรมในระดับนี้จะเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานที่จำเป็นทั้งต่อตนเองและสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน ได้แก่ เบญจศีล อันได้แก่ ศีล ๕ (five percepts) และเบญจธรรม อันได้แก่ ธรรม ๕ ประการ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติฝ่ายศีลและธรรมที่สนับสนุนกัน เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติควบคู่กัน ๑. เบญจศีล
๒. เบญจธรรม
๒. พุทธจริยธรรมขั้นกลางในระดับนี้เป็นการพัฒนาจริยธรรมให้สูงขึ้นไป คือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ แบ่งประเภทออกเป็น ๓ ทาง คือ (๑) ความดีทางกาย เรียกว่า กายสุจริต (๒) ความดีทางวาจา เรียกว่า วจีสุจริต และ (๓) ความดีทางใจ เรียกว่า มโนสุจริต ได้แก่
๓. พุทธจริยธรรมขั้นสูงคืออริยอัฏฐังคิกมรรค ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ หรือเรียกอีกอย่างว่า อริยมรรค มีความหมายว่า ทางอันประเสริฐหรือทางนำผู้ปฏิบัติให้เป็นผู้ประเสริฐ มี ๘ ข้อ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ มีความเข้าใจถูกต้อง ดังนี้คือ ๑.๑ เห็นว่าทานที่ให้แล้วมีผล ๒. สัมมาสังกัปปะ มีความคิดถูกต้อง ดังนี้คือ
๓. สัมมาวาจา มีวาจาถูกต้อง ดังนี้คือ
๔. สัมมากัมมันตะ มีการงานถูกต้อง ๓ ประการ ดังนี้ คือ
๕. สัมมาวายามะ มีอาชีพถูกต้อง ดังนี้
๖. สัมมาวายามะ มีความเพียรพยายามถูกต้องดังนี้
๗. สัมมาสติ มีความระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมในสติปัฏฐาน ๔ ดังนี้ คือ
๘. สัมมาสติ ความมีใจมั่นคงถูกต้องในฌาน ๔ ดังนี้
อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เรียกว่า ทางสายกลาง คือเป็นข้อปฏิบัติที่อยูระหว่างกามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค เป็นทางสายเอกเพื่อความบริสุทธิ์ เปรียบเหมือนเชือกที่มี ๘ เกลียว แต่รวมกันเข้าเป็นอันเดียว หมายถึงผู้ปฏิบัติในอริยมรรคนี้ต้องกระทำไปพร้อม ๆ กัน จากการจัดลำดับพุทธจริยธรรมที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
สรุปการจัดระดับพุทธจริยธรรมตามแนวมรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวแล้วนั้น สามารถแบ่งออกเป็น ๓ ระดับย่นย่อลงในไตรสิกขา คือ ระดับศีล ระดับสมาธิ และระดับปัญญา หรือแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ ได้ดังนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุป พุทธจริยธรรม ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ หรือที่เรียกว่า มัชฌิมปฏิปทา ย่อเข้าในไตรสิกขา ก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่สามารถนำไปสูประโยชน์และความสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น *** เกณฑ์ตัดสินพุทธจริยธรรม ต่อไปนี้จะเป็นการศึกษาปัญหาเกณฑ์ตัดสินพุทธจริยธรรม คือ ปัญหาที่ว่า การกระทำที่มีคุณค่าทางจริยะที่ว่า การกระทำที่เรียกว่า ดี ถูก ผิด หรือควร ไม่ควร เป็นอย่างไร และมีอะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินในการกระทำนั้นว่า ดี ถูก ผิด หรือควร ไม่ควร หลักจริยธรรมในระบบพุทธจริยศาสตร์นั้น เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่ามี ๒ อย่างคือ สัจธรรม และศีลธรรม สัจธรรมเป็นอันติมสัจจะ กล่าวคือ เป็นความจริงสูงสุดอันเป็นฐานรองรับหลักศีลธรรม และหลักจริยธรรม หรือการกระทำอันมีค่าทางพุทธจริยศาสตร์ที่ดำเนินไปถึงเพื่อเข้าถึงเป้าหมายอันเป็นอันติมสัจจะนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่เอง มีอยู่อย่างเที่ยงแท้ และสามารถดำรงอยู่ได้โดยธรรมดา ถ้ามนุษย์ไม่มีเป้าหมายในการกระทำ ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า การกระทำใดถูก หรือผิด เพราะฉะนั้น เกณฑ์ในการตัดสินค่าจริยะว่า สิ่งนี้ถูก ผิด ควร ไม่ควร จึงต้องอาศัยเป้าหมายเป็นแนว ในขั้นนี้ ผู้วิจัยจะศึกษาวิเคราะห์ปัญหาที่ว่า มาตรการวัดและตัดสินคุณค่าทางจริยะเหล่านี้ ในทางพุทธจริยศาสตร์คืออะไร และมีอะไรบ้าง นี้เป็นปัญหาที่จะต้องศึกษาต่อไป ในพระพุทธศาสนากล่าวการกระทำของมนุษย์ไว้ ๓ ทางคือ ทางกาย เรียกว่า กายกรรม ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม และทางใจ เรียกว่า มโนกรรม การกระทำจะดีหรือชั่วอยู่ที่ ๓ ทางนี้ ถ้าการกระทำนั้นเป็นฝ่ายดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ เรียกว่า กายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต กรรมฝ่ายดีนี้ เรียกว่า กุศลกรรม แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการกระทำในฝ่ายชั่วทางทวารทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กรรมฝ่ายชั่วทั้ง ๓ นี้เรียกว่า อกุศลกรรม ส่วนปัญหาที่ว่า การกระทำของมนุษย์นั้น จะดีหรือชั่ว ใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัด เป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณากันต่อไป ตามแนวพุทธจริยศาสตร์นั้น ให้ถือเจตนาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่า การกระทำใด ดี หรือชั่ว ถูก หรือผิด เพราะการกระทำทั้งหมดของมนุษย์มีเจตนาเป็นตัวคอยบ่งชี้ เพราะฉะนั้นเจตนาจึงเป็นตัวแท้ของกรรม"บุคคลคิดแล้วจึงกระทำ กรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ" (องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๓๔/๓๖๕) เค.เอ็น. ชยติลเลเก (๒๕๓๔: ๓๖) ได้ให้ทัศนะในปัญหานี้ว่า
โดยนัยนี้ กล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนา เชื่อว่า มนุษย์มีเจตจำนงเสรีในการกระทำ ซึ่งเป็นเจตจำนงเสรีที่ความสัมพันธ์กันในเหตุผลเชิงจริยธรรม เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีเจตน์จำนงเสรีในการกระทำ ก็จะไม่มีความชั่ว ถูก ผิด ควร หรือไม่ควร การกระทำก็เป็นแต่สักว่า ทำแล้ว กำลังทำ หรือทำอยู่เท่านั้น แต่มนุษย์มีเจตจำนงเสรีในการกระทำ และการกระทำทุกอย่างย่อมประกอบด้วยความจงใจหรือเจตนาเสมอ เพราะฉะนั้น ด้วยการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาหรือความจงใจนี้เอง พระพุทธศาสนาจึงกล่าวว่า ถ้าประกอบด้วยกุศล ก็จัดเป็นกุศลกรรม ถ้าประกอบด้วยอกุศล จัดว่าเป็นอกุศลกรรม ดังพุทธพจน์ว่า
จึงกล่าวได้ว่า ตามหลักพุทธจริยศาสตร์ เจตนาที่ประกอบด้วยด้วยความพยายามในการกระทำอันเป็นเหตุเบื้องต้น หรือเป็นความพยายามเพื่อให้การกระทำสำเร็จลงเป็นเกณฑ์ตัดสินคุณค่าเชิงพุทธจริยธรรม ดังพุทธพจน์ที่ว่า
*** พุทธจริยธรรมเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ การดำรงตนอยู่ในสังคมนั้น บุคคลหนึ่งจะต้องมีบทบาทหน้าที่หลายๆ อย่าง ถ้าขาดหลักการปฏิบัติในการทำบทบาทหน้าที่เหล่านั้นแล้ว ก็จะเกิดความสับสนในบทบาทหน้าที่เหล่านั้นได้ พระพุทธองค์จึงได้บัญญัติข้อปฏิบัติในการปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ในสังคมไว้ดังต่อไปนี้ (ที.ปา. ๑๑/๑๙๘/๑๙๖) ๑. ฐานะลูก ซึ่งมีบทบาทหน้าที่เมื่อเป็นลูกอย่างนี้ คือ
๒. ฐานะพ่อแม่ มีบทบาทและหน้าที่เมื่อเป็นพ่อแม่ดังนี้
๓. ฐานะศิษย์ มีบทบาทและหน้าที่เมื่อเป็นศิษย์ดังนี้
๔. ฐานะครู มีบทบาทและหน้าที่เมื่อเป็นครูดังนี้
๕. ฐานะคู่ชีวิต คือสามีภรรยา มีบทบาทและหน้าที่ดังนี้คือ
๖. ฐานะเพื่อน มีบทบาทหน้าที่ ดังนี้คือ
๗. ฐานะนายและทาสกรรมกร
๘. บทบาทหน้าที่สำหรับผู้ปกครอง หมายถึง บุคคลที่สังคมยกย่องให้เป็นผู้นำนั้นต้องประกอบด้วยคุณธรรมอันนำมาซึ่งความสงบสุข และนำสมาชิกของสังคมไปสู่ความเจริญ รุ่งเรือง พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักธรรมสำหรับนักปกครองไว้ว่า ทศพิพิธราชธรรม หมายถึง ธรรมของพระราชา หรือกิจวัตรที่นักปกครองต้องประพฤติปฏิบัติ มี ๑๐ ประการ คือ (ขุ.ชา.๒๘/๒๔๐/๖๒)
*** พุทธจริยธรรมเกี่ยวกับการแก้ปัญหา ปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์โดยทั่วไป มักเกิดขึ้นมาจากความทะยานอยาก หรือความพอใจอยากได้จนเกินประมาณ คือ อยากได้ในกามคุณเพื่อนสนองความความต้องการทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ความอยากที่จะมีอยู่คงอยู่ตลอดไป และความอยากที่จะพ้นจากสภาพที่ไม่พึงปรารถนา อยากทำลายหรือดับสูญ รวมความแล้วได้แก่ตัณหา ๓ คือ กามตัณหาภวตัณหา วิภวตัณหา (องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๓๗๗/๓๙๘) วิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ นั้น ต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหาและแก้ไขตามสาเหตุอย่างถูกต้อง และวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ อันเป็นพื้นฐานเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อยากถูกต้อง เพราะในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรานั้นต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา นั่นคือต้องมีการเผชิญกับปัญหาต่างๆ และต้องตัดสินใจเสมอ และอริยสัจ นี้ก็เป็นหลักธรรมที่ทำให้ผู้เข้าถึงสามารถเป็นผู้ประเสริฐได้ ๑. อริยสัจจ์ ๔คือ ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงของพระอริยเจ้า
๒. สัปปุริสธรรมคือ ธรรมของสัตบุรุษ ๗ ประการ คือ
๓. สันโดษคือ ความยินดี ความพอใจ ความรู้จักเพียงพอด้วยปัจจัย ๔ ที่ตนหามาได้ด้วยเรี่ยวแรงความเพียรโดยชอบธรรม เพราะมนุษย์โดยทั่วไปจะเกิดความพึงพอใจในแสวงหา ในการบริโภคอย่างมาก เพราะฉะนั้น ความพอใจดังกล่าวนี้ ไม่ใช่หลักการตัดสินอรรถประโยชน์ ถ้าความพอใจไม่ได้มากับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ก็อาจจะเป็นตัวการในการทำลายอรรถประโยชน์ได้ เช่น ทำให้หลงมัวเมา เสียคุณภาพชีวิต เป็นต้น ๔ ประการ คือ
*** พุทธจริยธรรมเกี่ยวกับการสร้างศรัทธาต่อความดี ๑. ศรัทธาคือความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล ๔ประการ คือ
๒. กรรมหมายถึงกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาดีหรือชั่ว ในที่นี้หมายถึงกรรมประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรม ดังนี้คือ ก. กรรมที่จำแนกตามเวลาที่ให้ผล *** พุทธจริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อการดำรงชีวิตที่ดี มนุษย์จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น จะต้องมีหลักจริยธรรมในการครองชีวิตในปัจจุบัน ในพุทธจริยธรรม ได้สอนหลักเพื่อการดำรงชีวิตที่ดี ประเสริฐ ดี งาม และสงบไว้มาก ดังนั้น ผู้วิจัยจะกล่าวเฉพาะที่มีปรากฏอยู่ในบทเพลงเท่านั้น ๑. มงคล ๓๘ ประการหมายถึงหลักการดำเนินชีวิต หลักความประพฤติ ๓๘ ประการ เพื่อก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้วางหลักไว้ เริ่มตั้งแต่การดำเนินชีวิตขั้นต้น จนถึงขั้นสูงสุด คือ ตั้งแต่โลกิยธรรม จนถึงโลกุตรธรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เริ่มจากการดำเนินชีวิตจากสิ่งง่ายๆ ไปสู่สิ่งที่ยากที่สุด ครอบคลุมหลักจริยธรรม ในการดำเนินชีวิตด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานให้เกิดคุณธรรมตั้งแต่เบื้องตนจนถึงขั้นสูงสุด คือ จิตที่ปราศจากกิเลส มีดังนี้
มงคลชีวิต ๓๘ ประการ เป็นหลักจริยธรรมสำหรับการดำรงชีวิตเพื่อการดำเนินชีวิตให้ประสบความเจริญก้าวหน้า ซึ่งค่านิยมด้านต่าง ๆ ในมงคล ๓๘ ประการ ได้แก่ เรื่อง ทาน ศีล ความกตัญญู ความมีวินัย เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างบุคคลต่างๆ ที่ดำเนินไปด้วยความถูกต้อง จัดว่าเป็นหลักจริยธรรมที่จำเป็นและสำคัญมากที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติจะได้มีกำลังในการปฏิบัติตามมงคลชีวิตจากระดับต้น จนถึงระดับสูง ๒. การทำบุญถวายทานเป็นหลักการดำเนินชีวิตของคนไทยอีกประการหนึ่ง เป็นการสละออกซึ่งความตระหนี่ และเป็นหลักจริยธรรมเบื้องต้นของการดำเนินชีวิต เช่น การตักบาตร เลี้ยงพระ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในการทำบุญให้ทานนั้น เจตนาถือว่า เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ให้จะต้องมีเจตนาทั้ง ๓ กาล
คือ ก่อนให้ทาน ขณะให้ทาน และหลังให้ทาน ดังพุทธพจน์ว่า ส่วนวัตถุที่ควรให้ทานนั้น มี ๑๐ ประการ คือ ทานวัตถุเหล่านี้คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม ของลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่องตามประทีป (องฺ.สฺตฺตก. ๒๓/๔๙/๕๔) ชาวไทยนิยมทำบุญไม่ว่าจะปรารภเหตุใด ๆ ก็ให้เข้ากับหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ คือ (๑) ทานมัย ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ (๒) สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล และ (๓) ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝึกอบรมจิตใจ โดยหลักการทั้ง ๓ ประการนี้ การทำบุญซึ่งเป็นหลักบำเพ็ญความดีและทำในกรณีต่างๆ กันตามเหตุผลที่ปรารภจึงเกิดพิธีกรรมขึ้นหลายประการ กล่าวโดยสรุป คือ การพัฒนาชีวิตและการแก้ปัญหาชีวิตตามหลักของพุทธจริยธรรม เป็นหลักการปฏิบัติตนเพื่อการดำรงที่ดี และการอยู่ร่วมกันด้วยดีของสังคม พุทธจริยธรรมที่ควรนำมาใช้ ได้แก่การปฏิบัติตนตามพุทธโอวาท ๓ คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การทำแต่ความดี
และการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งมีพื้นฐานมาจากพุทธจริยธรรม ๓ ระดับ คือ *** พุทธจริยธรรมกลุ่มสัจการแห่งตน พุทธจริยธรรมในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ช่วยให้มนุษย์ได้มองเห็นตนเองอย่างมีหลักเกณฑ์ และทำให้มีความเคารพต่อตนเองและผู้อื่น สามารถปฏิบัติตนต่อเหตุการณ์ที่ได้พบและต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ตามความเหมาะสม เช่น มีความซื่อสัตย์ ความเสียสละ เป็นต้น พุทธจริยธรรมในกลุ่มนี้ ได้แก่ ๑. คารวธรรม หมายถึง ความเคารพการถือเป็นสิ่งสำคัญใส่ใจและปฏิบัติตนด้วยความเอื้อเฟื้อ หรือโดยหนักแน่นจริงจัง การมองเห็นคุณค่าและความสำคัญแล้วปฏิบัติตนต่อบุคคล หรือสิ่งนั้นโดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ ลักษณะของความเคารพมีดังนี้ ๑) ความสุภาพอ่อนโยน หมายถึงการแสดงออกซึ่งกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนต่อบุคคลทั่วไป ๒) ความอ่อนน้อม หมายถึงการไม่ทำตัวให้แข็งกระด้าง ไม่ประพฤติผิดในสิ่งที่หยาบคายต่อบุคคลอื่น ๆ ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ ๓) ความเชื่อฟัง หมายถึงการไม่ดื้อรั้น รับฟังด้วยเหตุผล ยอมรับปฏิบัติตามด้วยความจริงใจและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ๔) ความรู้จักสถานที่ หมายถึงรู้จักวางตัวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเวลา คือเลือกประพฤติตัวได้อย่างพอเหมาะพอควรทั้งต่อบุคคลและสถานที่ มี ๖ ประการ คือ (องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๐๓/๓๐๐)
๒. ฆราวาสธรรม คือ ธรรมสำหรับผู้ครองเรือน หรือคฤหัสถ์เป็นธรรมที่จะนำความสุข และเป็นสามัคคีธรรม ช่วยให้บุคคลในตระกูลมีความสมานสามัคคี ทำให้ชีวิตในการมีความสุข ความสงบ อันสมควรแก่ฆราวาสวิสัย มี ๔ ประการ คือ (สํ.ส. ๑๕/๘๔๕/๒๕๘)
*** ที่มา : สาคร ศรีดีุ์. (๒๕๔๕). วิเคราะห์หลักพุทธจริยธรรมที่ปรากฏในเพลงพื้นบ้านจังหวัดสุพรรณบุรี: ศึกษาเฉพาะกรณีเพลงอีแซว. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล. |