เฉลยแบบฝ กห ด7.2 ข อ4 เคม ม.5เล ม3 หน า38

ชอื่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

ใบงานเรือ่ ง ความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์

คาชแี้ จง จงยกตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชนจ์ ากความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละผลกระทบ

ความกา้ วหนา้ ความกา้ วหนา้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ผลกระทบ 1.ดา้ นการเกษตร -สามารถตดั แตง่ พนั ธกุ รรมพชื เพ่ิมสารอาหาร เพ่มิ -สง่ ผลในระยะยาวตอ่ ผู้บริโภค 2.ด้านการแพทย์ ความทนต่อแมลง และสภาพแวดลอ้ ม -อปุ กรณม์ ีค่าใชจ้ ่ายและคา่ ดแู ลสงู -ลดการใชแ้ รงงานคน -คนตกงาน 3.ดา้ นการ -การใชอ้ าหารสงั เคราะห์ทเี่ หมาะสมต่อพชื น้นั ๆเพอื่ - เกดิ สารตกค้างในธรรมชาติ รวมถึงต่อ การศกึ ษา เพ่ิมผลผลิต ผู้บริโภค 4.ดา้ นการสอ่ื สาร -การปลูกถ่ายเน้อื เยอื่ ปลูกถา่ ยอวยั วะ -เกิดปญั หาการคา้ มนุษย์ 5.ด้าน -การโคลนน่ิงมนุษย์และสัตว์ -มคี า่ ใช้จ่ายสงู ไม่ใชท่ ุกคนทีเ่ ข้าถึงการ ศลิ ปะวฒั นธรรม -การทาเดก็ หลอดแก้ว รกั ษา -ปญั หาด้านจริยธรรม

-การเรยี นออนไลน์ -อปุ กรณม์ คี า่ ใชจ้ า่ ยและค่าดแู ลสงู -การเข้าถึงแหลง่ ขอ้ มูลทางอนิ เตอรเ์ นต็ ไดง้ ายและ --ขาดทกั ษะดา้ นปฏิสมั พันธท์ ้งั จากผู้เรยี น รวดเร็ว ผู้สอน รวมถงึ ทกั ษะการเขา้ สังคม -อาจเขา้ ถงึ ข้อมูลท่ีเปน็ เทจ็

-สามารถติอต่อสอ่ื สารข้ามโลกแบบไรพ้ รมแดน -ปญั หาการลอ่ ลวง -สามารถสรา้ งกล่มุ และเครือข่ายแลกเปล่ียนข้อมูล -ปฏิสมั พนั ธ์ตอ่ คนใกล้ตัวนอ้ ยลง กจิ กรรม ส่งิ ท่ีสนใจรว่ มกัน -เขา้ ถงึ กลุ่มและขอ้ มลู ไดง้ ่ายเกนิ ไป -การเรยี นรู้ค่านิยมและวฒั นธรรมใหม่ๆ เพราะกลุ่มคนมีทง้ั ดแี ละไมด่ ี -การรับวฒั นธรรมของคนในสังคมโลก อาจเกดิ พฤติกรรมทไี่ มเ่ หมาะสม

-ช่วยอนรุ กั ษ์และฟืน้ ฟสู ถานทีโ่ บราณต่าง ๆ -ทาให้ปฏสิ มั พนั ธ์ของคนในชมุ ชนลด -สอื่ บนั เทิง ระบบมลั ติมีเดยี ชว่ ยในการพักผอ่ น น้อยลง -ระบบการสื่อสารไร้พรมแดนช่วยใหเ้ ข้าถึง -การรับวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก ขนบธรรมเนียมประเพณขี องแต่ละท่ไี ด้ง่ายขน้ึ อาจเกดิ พฤติกรรมที่ไมเ่ หมาะสม -เยาวชนรนุ่ ใหมส่ บั สนตอ่ คา่ นิยมทด่ี ีงาม ดังเดิม มกี ารรบั ค่านยิ มใหม่ ๆ และอาจ ส่งผลให้เกดิ พฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม

ชอื่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน

ใบงานเรอ่ื ง การใช้ประโยชนจ์ ากความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเขยี นยกตวั อยา่ งพรอ้ มแนบภาพประกอบเทคโนโลยที ช่ี ว่ ยอานวยความสะดวกใน

ชีวติ ประจาวนั

อยู่ทีด่ ลุ ยพินิจของอ.ผ้สู อน

อยู่ทีด่ ลุ ยพินิจของอ.ผู้สอน อยทู่ ดี่ ลุ ยพนิ ิจของอ.ผูส้ อน ยูท่ ดี่ ุลยพนิ ิจของอ.ผู้สอน อยูท่ ีด่ ลุ ยพินิจของอ.ผสู้ อน

ชอ่ื ..........................................................................ชัน้ ..........เลขท่ี................ คะแนน ใบงานเร่ือง การแกป้ ญั หาโดยประยุกตใ์ ชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์

คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนแกป้ ญั หาจากสถานการณต์ อ่ ไปนีแ้ ละใหเ้ หตผลประกอบ คณุ อามาเย่ืยมนิดหน่อยท่ีบ้าน พรอ้ มกบั กงุ้ สดๆจากแมนา้ นดิ หน่อยอยากกินยา คุณอาจงึ แบง่ กุง้ ส่วนหนึ่งทาพล่ากุ้ง แกะเปลือกก้งุ และทาให้กุ้งสกุ โดยการบบี มะนาว อีกส่วนหน่งึ นาไปทาก้งุ เผา ทุกคนทานอาหารรว่ มกันอย่างมคี วามสขุ มคี ุณพ่อคนเดยี วเท่านน้ั ที่ทานแค่ กุ้งเผา เวลาผา่ นไปคณุ อา คณุ แม่ และนดิ หนอ่ ยเกิดอาการอาหารเปน็ พษิ จงึ ตอ้ งใหน้ ้าเกลือ ที่โรงพยาบาล ทกุ คนจงึ ลงความเหน็ วา่ กงุ้ ทน่ี ามาปรงุ น้นั ไม่สะอาด

ปญั หา

คุณอา คุณแม่ นิดหน่อยอาหารเปน็ พษิ

สาเหตุ

กงุ้ ไม่สกุ ทกุ คนเข้าใจวา่ ก้งุ สกุ จากการ เปลีย่ นเป็นสีสม้ แดงจากปฏิกรยิ าเคมี ที่ ทาให้โปรตีนในกุ้งเสียสภาพจากกรด ซิตรกิ ในมะนาว

แกป้ ญั หา 1 แกป้ ญั หา 2

ทาใหก้ งุ้ สุกโดยการผา่ นความรอ้ น ใหค้ วามรแู้ ละสรา้ งความเข้าใจว่า ต้ม เผา หรอื น่งึ จะเหน็ ได้จากการที่คณุ มะนาว ไม่ใชก้ ารปรุงอาหาร ทัง้ กุ้ง พอ่ ทีท่ านกุ้งเผา ไม่เกิดอาการอาหาร รวมถงึ เน้ือสตั ว์อนื่ ๆ แค่เปล่ยี นสี และ เปน็ พษิ บอกถงึ โรคอื่นๆทม่ี าจากการทาน อาหารสุกๆดบิ ๆ

ชอ่ื ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน ใบงานเรอ่ื ง การแก้ปญั หาโดยประยุกต์ใช้ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์

คาชแี้ จง จงเลือกคาตอบท่ีถกู ทส่ี ดุ 6.ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของเทคโนโลยีดา้ นความ ปลอดภัย 1.ใครคือผไู้ ด้ประโยชนจ์ ากการพยากรณอ์ ากาศ ก.GPS ตดิ ตามรถสง่ ของ ก.ชาวประมง ข.กลอ้ งหน้า กลอ้ งหลังรถยนต์ ข.เกษตรกร ค.กล้องปากกาแอบถา่ ย ค.นกั บนิ ง.กลอ้ งวงจรปิดแบบเซน๊ เซอร์จับความเคลื่อนไหว ง.ทกุ คน ตอนกลางคืน 2.ข้อใดคอื ประโยชนโ์ ดยตรงของวิทยาศาสตรด์ ้าน 7.ระบบการส่ือสารท่สี ามารถสง่ ออกภาพและเสียงได้ การเกษตร

ก.วางแผนการเพาะปลกู ทันที ใชใ้ นการโต้ตอบ ของคณุ หมอ และเจา้ หน้าท่ี

ข.การว่ิงออกกาลงั กายรอบๆสวน รพสต. เป็นประโยชนข์ องวทิ ยาศาสตรใ์ นด้านใด

ค.การเก็บผลผลติ มาทาขนมขาย ก.ดา้ นเศรษฐกิจ ข.ด้านการศกึ ษา

ง.การแปรรูปผลผลติ ค.ดา้ นการเมอื ง ง.ดา้ นการแพทย์

3.ใครใชห้ ลักการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการแกป้ ญั หา 8.ใครคอื ผูใ้ ช้เทคโนโลยอี ยา่ งมีสติ ก.หมิวสมัครเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ก.เอไมพ่ กรม่ เพราะแอพพยากรณอ์ ากาศในฤดูฝน ข.หมวยชอบเขา้ วดั ทาบญุ และขอพร ข.บบี อกข้อมลู ส่วนตัวให้เจ้าหนา้ ทที่ ี่โทรมาหา ค.หมเู กบ็ น้าพดุ หลังบา้ นมาดื่มกนิ กลางดึก

ง.หมีขอเลขเด็ดจากพระเกจิ ค.ซแี ชร์โลเคชน่ั ใหพ้ ่อมารบั

4. ข้อใดเป็นผลเสยี ทีเ่ กดิ จากความก้าวหน้าทาง ง.ดLี iveสดตอนเดินกลับบา้ น 9.ข้อใดไมใ่ ชป่ ระโยชนข์ องวทิ ยาศาสตรใ์ นด้าน วทิ ยาศาสตร์ ก.คุณยายชงน้ามะนาวโซดาให้ทกุ คนกนิ ป้องกัน การศึกษา ก.ใช้ DLTV ในการเรยี นออนไลน์ มะเรง็ ตามที่เจอในอนิ เตอร์เนต็ ข.คณุ ตาออกกาลังตามคุณหมอในYOUTUBE ข.ใชโ้ ทรศพั ทใ์ นหาขอ้ มูลจากสสวท.เพ่อื ทา SCI SHOW ค.คณุ ป่โู ทรหาคุณย่าทไ่ี ปเท่ียวญป่ี นุ่ ค.ใชข้ อ้ มูลในวกี พิ เี ดียทารายงาน ง.คณุ ปา้ สอนทาอาหารในTIKTOK 5. เมอื่ สถาณการณ์ฉุกเฉิน สิง่ แรกที่ควรทาคือข้อใด ง.ส่งเอกสารสมัครเรยี นทางเวบ็ ไซต์ 10.ขอ้ ใดถกู ก.โทรFACEBOOKไปหาเพือ่ น ก.ปทู ี่เปลียนสจี ากสดี าน้าเงนิ เป็นสสี ม้ จากมะนาวสุก ข.ตง้ั สติ และดูสถาณการณ์โดยรอบ แล้ว ค.Live สดเหตุการณท์ เี่ กดิ ข้นึ ข.ปทู ล่ี อกคราบเกดิ จากการเจริญเตบิ โตตามชว่ งวยั ง.ใชก้ ล้องบนั ทึกภาพเหตกุ ารณน์ น้ั ไว้ ค.ปทู ด่ี องน้าปลาจะไมม่ ีพยาธิ

ง.ปูเผือกคือวัตถุมงคล

วิทยาศาสตร์

ม.3

พนั ธศุ าสตร์

ช่ือ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/1-3

ใบงานเร่ือง พนั ธศุ าสตรข์ องเมลเดล

คาช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี โดยให้ทาเคร่ืองหมาย √ หน้าข้อทเ่ี ห็นวา่ ถูก และเคร่ืองหมาย X หน้าข้อทเี่ หน็ วา่ ผิด

......... 1. พันธุศาสตร์ (Heredity) คือ ส่งิ ทไ่ี ดร้ บั ถา่ ยทอดมาจากบรรพบุรุษ จากร่นุ สู่รนุ่ ......... 2. ชาลส์ ดารว์ ิน ได้รบั การยกยอ่ งเป็นบิดาแห่งพนั ธศุ าสตร์ ......... 3.บิดาแห่งพนั ธุศาสตรเ์ ลอื กถ่วั ลนั เตา มาศึกษาจากลักษณะเด่น ทงั้ 7 อย่าง

- ลักษณะของเมล็ด - เมล็ดกลม และ เมลด็ ย่น (round & wrinkled) - สีของเปลือกหุม้ เมลด็ - สีเหลือง และ สเี ขยี ว (yellow & green) - สีของดอก - สีมว่ งและ สีขาว (purple & white) - ลกั ษณะของฝกั - ฝกั อวบ และ ฝกั แฟบ (full & constricted) - ลกั ษณะสขี องฝัก - สีเขียว และ สีเหลอื ง (green & yellow ) - ลกั ษณะตาแหน่งของดอก-ดอกติดอย่ทู กี่ ิง่ และเป็นกระจุกท่ปี ลายยอด (axial & terminal) - ลกั ษณะความสงู ของตน้ - ตน้ สงู และ ต้นเต้ีย (long & short) ......... 4. อตั ราสว่ นของ จีโนไทป์ (Genotype) และฟโี นไทป์ (Phenotype) จะเท่ากันเสมอ ......... 5.จีโนไทป์ (Genotype) คอื คือลกั ษณะของอลั ลลี ในยีน แบง่ เปน็ (ขอ้ 6 และ ข้อ7) ......... 6.Homozygous dominance หรือพันธุท์ างเดน่ เขยี นแทนดว้ ยตัวพมิ พใ์ หญ่ เช่น AA , BB ......... 7.Homozygous recessive หรอื พันธแ์ุ ท้ด้อย เขียนแทนดว้ ยตัวพมิ พ์เลก็ เชน่ aa ,bb Heterozygous หรือพันธ์ทุ าง เชน่ Aa , Bb ......... 8.ฟโี นไทป์( Phenotype) คือลักษณะของยีนทีแ่ สดงออกมา เชน่ ดอกสีขาว ตน้ สงู ......... 9. อัตราส่วนของ ร่นุ ท่ี 1 พันธุแ์ ท้จะเป็น 3 : 1 เสมอ .........10. ลกั ษณะเดน่ จะถา่ ยทอดในทกุ รนุ่ แตล่ ักษณะดอ้ ยจะถ่ายทอดในรนุ่ ใดรุ่นหนง่ึ เท่าน้นั

ชือ่ ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/1

ใบงานเร่ือง โครโมโซม

คาชีแ้ จง : ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้

1. โครมาทนิ (Chromatin) คือ เส้นใยเล็กๆทขี่ ดตัวอยใู่ นนวิ เคลียส 2. โครโมโซม (Chromosome) คอื .เส้นใยโครมาทินทข่ี ดแน่นและหดส้ันลงเมอื่ มีการแบง่ ตัว 3. โครโมโซมมี 2 ชนิดคือ โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) และ ออโตโซม (Autosome) 4. ออโตโซม (Autosome) คือ โครโมโซมรา่ งกาย 5. มนษุ ย์มโี ครโมโซม 46 แทง่ 22 คู่แรก คือโครโมโซมร่างกาย สว่ นคทู่ ่ี 23 คอื โครโมโซมเพศ 6. โครโมโซมของเพศชายเขยี นแทนด้วยสัญลกั ษณ์ XY และโครโมโศมเพศหญงิ เขียนแทนด้วย XX

ภาพน้ีคือโครโมโซมของเพศชาย ภาพนค้ี ือโครโมโซมของเพศหญงิ 7. DNA (Deoxyribonucleic Acid) ประกอบดว้ ยโมเลกลุ ของน้าตาล (Deoxyribose)

หมู่ฟอสเฟต(Phosphate) และโมเลกลุ เบส (Nitrogenous Base) 4 ชนิด ไดแ้ ก่ อะดนี ีน (Adenine : A) ไซโตซนี (Cytosine : C) กวานนี (Guanine : G) และไทมนี (Thymine : T) 8. โครโมโซมทมี่ ีรูปร่างเหมอื นกันและขนาดใกล้เคียงกนั เรยี กว่า โฮโมโลกัสโครโมโซม 9. จงบอกส่วนประกอบของโครโมโซม จากภาพต่อไปน้ี

ชื่อ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/4

ใบงานเรื่อง การแบ่งเซลล์ของสิ่งมชี ีวิต

คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนบอกระยะการแบง่ เซลลแ์ ละสงิ่ ทเ่ี กดิ ขึน้ ในระยะนัน้ ๆ

เปน็ ระยะทเ่ี ซลลเ์ ตรยี มความพร้อมกอ่ นเริ่มแบง่ เซลล์ มีการสงั เคราะหส์ ารและมกี ารจาลองตวั ของ DNA โดยเซลลใ์ นระยะน้ีจะมนี วิ เคลยี สขนาดใหญ่ จะเห็น นวิ คลโี อลัส (NUCLEOLUS) และเย่อื หุ้มนวิ เคลยี ส

เปน็ ระยะท่ีโครโมโซมปรากฏให้เหน็ เปน็ แท่ง แตล่ ะ แทง่ ประกอบดว้ ย 2 โครมาทดิ ซ่ึงยึดตดิ กันอยบู่ รเิ วณ เซนโทรเมียร์ เซนโทรโซมท่ีอยู่ในไซโทพลาสซึมเริ่มมี การสรา้ งเส้นใยสปนิ เดิล

เปน็ ระยะที่โครโมโซมประกอบดว้ ย 2 โครมาทิด จะถูกเสน้ ใยสปนิ เดลิ ดงึ ให้เคล่อื นทม่ี าอยูต่ รงกงึ่ กลาง ของเซลล์

เปน็ ระยะทโ่ี ครมาทิดของโครโมโซมแต่ละแท่ง จะถกู ดึงให้แยกออกจากกันไปยงั ขั้วของเซลล์ โครมาทดิ ที่ แยกจากกันน้ี เรียกชอ่ื ใหม่วา่ โครโมโซมลูก (DAUGHTER CHROMOSOME)

เป็นระยะทโ่ี ครโมโซมหยุดเคลื่อนที่ เสน้ ใยสปนิ เดลิ สลายตวั มกี ารสังเคราะหเ์ ยื่อหุม้ นิวเคลียสและ นวิ คลโี อลัส โครมาทดิ จะคลายตวั เป็นเส้นใยโครมาทนิ

เป็นข้นั ตอนการแบง่ ไซโทรพลาซมึ และเซลลล์ กู ทง้ั สอง จะแยกออกจากกนั

ช่อื ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ใบงานเร่อื ง ความผดิ ปกติทางพันธกุ รรม

คาช้ีแจง จงตอบคาถามต่อไปนใี้ ห้ถูกต้อง

พิจารณาภาพเพื่อตอบคาถามขอ้ 1-3 1.โครโมโซมในภาพ เป็นโครโมโซมของเพศ ชาย 2.จากภาพนา่ จะเป็นโครโมโซมของผปู้ ว่ ย ดาวน์ซนิ โดรม 3.ซ่งึ มีความผิดปกตทิ โี่ ครโมโซมคู่ท่ี 21 มี 3 แท่ง 4.ยนี ทคี่ วบคมุ ลกั ษณะตาบอดสเี ปน็ ยนี ดอ้ ย 5.ซึ่งอยบู่ นโครโมโซม X 6.ทาให้พบในเพศ ชาย มากกว่าเพศ หญิง

7.กาหนดให้ O แทนยีนท่คี วบคุมลกั ษณะปกติ o แทนยนี ท่ีควบคมุ ลักษณะ ของโรคฮีโมฟเี ลย (โรค

เลอื ดออกไหลไมห่ ยุด) สามารถเขยี นจโี นไทป์ ไดด้ ังน้ี XOXO 7.1หญงิ ปกติ คือ 7.2หญิงปกติ แตเ่ ปน็ พาหะโรค คือ XOXo 7.3หญิงทเ่ี ป็นโรคฮโี มฟีเลย คือ XoXo XOY 7.4ชายปกติ คือ

7.5ชายปกติ แตเ่ ป็นพาหะโรค คือ XoY ไม่มี

7.6ชายท่ีเปน็ โรคฮโี มฟเี ลย คือ

8.ยีนที่เกีย่ วเนอ่ื งกบั เพศ หมายถงึ ยนี ทอ่ี ยใู่ นโครโมโซมเพศ ซึ่งได้แก่ โครโมโซม X โครโมโซม Y

9.โรคตาบอดสีควบคุมโดยยนี ด้อยบนโครโมโซม X ชายปกตแิ ตง่ งานกบั หญิงปกติแตเ่ ปน็ พาหะของโรค (กาหนดให้ XO ไมเ่ ป็นโรค Xo เปน็ โรคตาบอดสี ชายปกติ หญงิ ปกติแต่เป็นพาหะ

รนุ่ พ่อแม่ (P) XOY XOXo

XO Y XO Xo

ลกู รุน่ ที่ 1 (F1) XOXO XOXo XOY XoY

ลักษณะในรนุ่ F1 หญงิ ปกติ หญงิ ปกติแต่เป็นพาหะ ชายปกติ ชายเปน็ ตาบอดสี ลกู ที่เป็นโรคตาบอดสคี อื เพศ ชาย คิดเป็นร้อยละ 25 ลูกทไ่ี ม่เป็นโรคตาบอดสคี ือเพศ หญงิ คิดเปน็ รอ้ ยละ 75

ช่ือ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ใบงานเรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม

คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง

1.โรคทเ่ี กิดจากความผิดปกติบนออโตโซม แบ่งเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ 1.1 ความผดิ ปกตขิ องจานวนออโตโซม เช่น โรคในกลมุ่ อาการดาวน์ซนิ โดรม 1.2 ความผิดปกตขิ องจานวนออโตโซม เชน่ กลุม่ อาการคริดชู ารต์ กลมุ่ อาการพาเดอรว์ ิลลี 2.การถา่ ยทอดลักษณะพันธุกรรมท่คี วบคุมโดยยนี ด้อยบนออโตโซม เชน่ ลักษณะผิวเผือก โรคธาลัสซเี มยี โรคซกิ เคลิ เซลล์หรือเมด็ เลอื ดแดงเป็นรูปเคยี ว 3.การถา่ ยทอดลักษณะพนั ธกุ รรมท่คี วบคุมโดยยนี เดน่ บนออโตโซม เชน่ การมนี วิ้ เกิน การมลี ักยิ้ม คนแคระ โรคทา้ วแสนปม กลุ่มอาการมาร์แฟน (ผอมสูง แขนขายาว หวั ใจผิดปกติ เลนส์ตาหลุด) และ

พิจารณาภาพเพื่อตอบคาถามขอ้ 4 - 7 4.มนษุ ยป์ กติ มีโครโมโซม 23 คู่ หรอื 46 แท่ง 5.โครโมโซมในภาพ เปน็ โครโมโซมของเพศ ชาย 6.จากภาพน่าจะเป็นโครโมโซมของผ้ปู ่วย ไคลนเฟลเตอร์ 7.ซ่งึ มคี วามผดิ ปกตทิ ี่ โครโมโซมเพศ มี 3 แทง่ ได้แก่ XX Y 8. หมูเ่ ลือด ABO และการถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม 8.1 หมเู่ ลอื ดโอมี จีโนไทป์ คือ ii 8.2 หมเู่ ลือดเอมี จโี นไทป์ คือ IAIA และ IAi 8.3 หมูเลอื ดบีมี จโี นไทป์ คอื IBIB และ IBi 8.4 หม่เู ลือดเอบมี ี จโี นไทป์ คือ IAIB

9. พ่อมีหมเู่ ลือดโอ แมม่ หี มู่เลือดเอบี ลูกที่เกิดมาจะมีหมูเ่ ลือดใดบ้าง

รุ่นพ่อแม่ (P) พ่อ แม่

ii IAIB

ii IA IB

ลกู ร่นุ ที่ 1 (F1) IAi IBi IAi IBi

ลกั ษณะในรนุ่ F1 หม่เู ลือดเอ หมูเ่ ลอื ดบี หมู่เลือดเอ หมเู่ ลอื ดบี ลูกทมี่ หี มเู่ ลอื ดเอคิดเป็นร้อยละ 50 ลกู ท่มี ีหมู่เลอื ดบคี ิดเปน็ รอ้ ยละ 50 หมู่เลอื ดทีไ่ มม่ ีโอกาสเกดิ คือ หม่เู ลือดโอ ( ii ) และ หมู่เลือดเอบี ( IAIB )

ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ใบงานเร่ือง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม

คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง

1.ในการถ่ายทอดลกั ษณะตาบอดสี โดยมพี ่อตาบอดสแี ละแมเ่ ปน็ พาหะของลักษณะตาบอดสจี ะได้ลูกมี ลักษณะเป็นอย่างไรบา้ งคดิ เปน็ อตั ราสว่ นเทา่ ใด (กาหนดให้ C แทนยนี ทค่ี วบคมุ ลักษณะตาปกติ c แทนยนี ท่ีควบคมุ ลกั ษณะตาบอดสี) ***ตาบอดสลี กั ษณะบนโครโมโซมเพศ***

พอ่ ตาบอดสี แมเ่ ปน็ พาหะตาบอดสี

รุ่นพอ่ แม่ (P) XcY XCXc XC Xc เซลลส์ ืบพันธ์เุ พศผู้ Xc Y เซลล์สืบพันธ์ุเพศ เมีย

ลูกรุ่นที่ 1 (F1) XCXc XcXc XCY XcY

ลักษณะในร่นุ F1 หญงิ ตาปกติ(พาหะ) หญงิ ตาบอดสี ชายตาปกติ ชายตาบอดสี ดังนนั้ รนุ่ F1 จะมลี ูกทเ่ี กิดเป็นตาบอดสีร้อยละ 50 ลกู ที่เปน็ ตาปกติรอ้ ยละ 25 ลกู ทีเ่ กิดเปน็ พาหะร้อยละ 25 xx 2.ชายปกตแิ ต่เปน็ พาหะโรคธาลสั ซิเมยี แต่งงานกบั หญิงปกตแิ ละไม่เปน็ พาหะ (กาหนดให้ A แทนยีนปกติ และ a แทนยีนโรคธาลัสซีเมยี ) ***ลักษณะดอ้ ยบนออโตโซม***

พอ่ พาหะ แมป่ กติ

ร่นุ พ่อแม่ (P) Aa AA

เซลลส์ ืบพันธเุ์ พศผู้ A a A A เซลลส์ บื พนั ธุเ์ พศ เมยี

ลูกรุน่ ที่ 1 (F1) AA AA Aa Aa

ลักษณะในร่นุ F1 ปกติ ปกติ พาหะ พาหะ ดังน้ันรนุ่ F1 จะมีลูกทเี่ กดิ มาปกติร้อยละ 50 ลกู ท่เี ปน็ พาหะรอ้ ยละ 25

ลกู ทเี่ กดิ เป็นพาหะรอ้ ยละ 25

ช่ือ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ใบงานเรื่อง โรคทางพนั ธกุ รรม

คาชแ้ี จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี โดยให้ทาเคร่ืองหมาย √ หนา้ ขอ้ ท่เี หน็ วา่ ถกู และเครอื่ งหมาย X หนา้ ข้อทเ่ี ห็นว่าผดิ

....X..... 1.Mutation หรือ การกลายพันธ์ุมักใหผ้ ลเสยี กบั สง่ิ มีชวี ิตเสมอ ....√..... 2.Mutation เกิดจาก สิง่ ก่อกวน หรือMutagen เกดิ ไดท้ ง้ั ทางกายภาพ และสารเคมี ....X..... 3.การกลายของเซลลร์ า่ งกายทเ่ี กิดขน้ึ บนร่างกายทแี่ สดงออกใหเ้ หน็ ทันทเี ป็นการกลายพันธ์ทุ เี่ กดิ ข้ึน

กบั ยีนด้อย ....√..... 4.การกลายท่เี กิดขน้ึ กบั ยนี ด้อยบนโครโมโซม X เกิดในเซลลส์ บื พนั ธแ์ุ ม่ ลูกชายจะแสดงลักษณะ

กลายนัน้ ทันที ....X..... 5.กลุ่มอาการดาวน์ และอาการเทอรเ์ นอร์ เปน็ โรคที่เกดิ จากความผดิ พลาดบนโครโมโซมเพศ ....√..... 6.โรคไหลไมห่ ยุด และโรคเบาหวาน คือโรคท่ีถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม ....X..... 7.อาการดาวน์เปน็ โรคทางพันธุกรรมท่ีผดิ พลาดทางโครโมโซมคู่ท่ี 23 ....√..... 8.การอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมสามารถลดโอกาสการเกดิ ความผดิ ปกติทางพนั ธกุ รรม ....X..... 9.ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทมี่ ีความแปรผนั แบบตอ่ เน่อื ง เป็นลักษณะทไ่ี ดร้ บั อทิ ธิพลจากพนั ธกุ รรม

เพยี งอย่างเดยี ว

.........10. ความสูง สตปิ ัญญา เปน็ ลักษณะทางพนั .ธ.ุก..ร.ร..ม.ท.มี่ ีความแปรผันต่อเนอื่ ง คาชแ้ี จง จงจบั คคู่ วามสัมพันธุ์ของข้อความและตวั อกั ษร ก. กลมุ่ อาการเพรเดอร์-วลิ ลี ....ช.....11.ภาวะพรอ่ งเอน็ ไซมจ์ ี -6 พีดี ข. กลุ่มอาการทรปิ เปลิ้ เอก็ ซ์ ....ก.....12.โครโมโซมคทู่ ี่ 15 เกินมา 1 แท่ง ....ค.....13.เกิดเฉพาะเพศหญิงเหตจุ ากโครโมโซมเพศ X หายไป ค. กล่มุ อาการเทอรเ์ นอร์ ....จ.....14.การสรา้ งฮีโมโกลบนิ ผิดปกติ เปน็ ลกั ษณะท่ถี กู ควบคุม ง. กลุม่ อาการแคทครายซนิ โดรม จ. ธาลสั ซีเมยี ดว้ ยยีนด้อยบนออโตโซม ฉ. กล่มุ อาการดาวน์ ....ฉ.....15.โครโมโซมคูท่ ี่ 21 เกนิ มา 1 แทง่ ช. โรคทเี่ กดิ จากความผิดปกติบน ....ง.....16.เกดิ จากโครโมโซมคทู่ ี่ 5 ขาดหายไปบางสว่ น โครโมโซมเพศ ผู้ปว่ ยจะมเี สียงรอ้ งแหลมเลก็ คลา้ ยเสยี งแมวรอ้ ง ....ข.....17.เกิดเฉพาะในเพศหญงิ เหตจุ ากโครโมโซมเพศ X เกนิ มา ซ. กลมุ่ อาการเอด็ เวิรด์ ฌ. กลุ่มอาการพาเทา ....ซ.....18.โครโมโซมค่ทู ่ี 18 เกินมา 1 แทง่ ญ. เอ็กซว์ ายวายซินโดรม ....ฌ.....19.โครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 แทง่

....ญ.....20.โครโมโซม 44+XYY

ช่อื ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/7-8 ใบงานเรื่อง ส่ิงมชี วี ิตดดั แปรพันธกุ รรม

คาชแี้ จง จงตอบคาถามต่อไปนี้

1.เทคโนโลยชี วี ภาพ (Biotechnology) คอื

กระบวนการกระบวนการนาความรู้ดา้ นชวี วิทยาระดับเซลล์โดยเฉพาะการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม มาประยุกต์ใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนเ์ พื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การอุตสาหกรรม และปรบั ปรงุ คณุ ภาพ ชีวิตของมนษุ ย์

2. GMOs ( genetically modified organisms ) หมายถงึ ส่ิงมีชีวติ ท่ีไดจ้ ากการดดั แปลงหรอื ตดั แต่งสารพนั ธกุ รรม

3. พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering)หมายถึง

คอื การใช้เทคนคิ ต่าง ๆ เพือ่ นายนี จากส่ิงมชี วี ติ หนึ่งไปถา่ ยฝากใหก้ บั ส่งิ มชี ีวิตอืน่ ทาใหเ้ กิดการ เปลีย่ นแปลงตา่ งไปจากพนั ธุท์ ม่ี ีในธรรมชาติ

4.ประโยชนข์ องการใชพ้ นั ธวุ ิศวกรรมด้านการเกษตรมีดงั นี้

ไดส้ ตั วท์ ีม่ ีขนาดใหญ่ เลีย้ งงา่ ยโตไว ทนต่อสงิ่ แวดล้อมและโรคตา่ งๆไดด้ ีขึน้ ได้พืชใหม่ทีม่ คี ุณสมบัตติ าม ต้องการ ให้ผลผลิตสูง

5.สตั ว์โคลนนงิ่ ตวั แรกคอื สตั ว์ชนิดใด และรูไ้ ด้อย่างไรว่าการโคลนสาเรจ็

สัตวโ์ คลนน่งิ ตัวแรก คอื แกะหน้าขาวที่ช่ือวา่ ดอลล่ี เพราะแกะตัวท่นี าไปฝากอ้มุ บญุ เปน็ แกะหนา้ ดา แต่ผล ทไี่ ด้ออกมาเปน็ แกะหน้าขาวตามเซลล์ตน้ แบบ

6.เหตุใดจงึ มีการนาการคัดลอกพนั ธุห์ รือการโคลนมาใช้

เนอ่ื งจาก การผสมโดยการคัดเลือกพนั ธ์ุไมส่ ามารถจะควบคมุ ให้พันธ์พุ อ่ และพันธุแ์ ม่ถ่ายทอดลักษณะไปยงั รุน่ ลูกได้ตามทีต่ อ้ งการ แตก่ ารใชก้ ารโคลนสามารถผลติ รุน่ ลกู ให้มลี กั ษณะทตี่ อ้ งการไดต้ ามความประสงค์ ซ่งึ สง่ิ มีชีวติ ที่เกิดใหมจ่ ะมีองคป์ ระกอบทางพนั ธกุ รรมเชน่ เดยี วกบั สงิ่ มีชีวิตท่ีเปน็ ต้นกาเนดิ ทกุ ประการ

ช่อื ..........................................................................ชนั้ ..........เลขท่ี................ คะแนน

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหนว่ ย เรอ่ื ง พันธุศาสตร์

ใหน้ ักเรยี นเลือกข้อทถ่ี กู ต้องท่ีสุด

1.ขอ้ ใดกล่าวผิดเก่ียวกบั ลักษณะทางพนั ธกุ รรม 7.ข้อใดไม่ถูกตอ้ ง

ก. ทุกลกั ษณะจากถกู สง่ ต่อและแสดงออกทง้ั หมดในรนุ่ ก. ยีนดอ้ ยพันทาง กบั ยนี ดอ้ ยพันธุแ์ ท้

ถดั ไป มจี ีโนไทป์เหมือนกนั

ข. อาจไมป่ รากฏในร่นุ ลกู แต่ปรากฏในรุน่ ถัดๆไป ข. ฟโี นไทปข์ องยนี เด่นจะมลี ักษณะ จีโนไทป์ไดส้ องแบบ

ค. จะตอ้ งมีการพิจารณาหลายๆรนุ่ หรือหลายชว่ั อายคุ น ค. จโี นไทปแ์ ละฟโี นไทป์ไม่จาเป็นต้องแสดงลกั ษณะ

ง. ถา่ ยทอดไปรุน่ ถัดๆไปผ่านเซลลส์ ืบพันธ์ุ เดียวกันเสมอ

2.ข้อใดกลา่ วผดิ เกย่ี วกบั ลักษณะทางพนั ธุกรรมที่มคี วาม ง. จีโนไทป์ของยีนดอ้ ยมไี ด้ 1 แบบ

แปรผนั เนื่อง 8.ความผดิ ปกติของทารกในข้อใดไม่ได้มสี าเหตมุ าจาก

ก.ได้รับอทิ ธิพลจากพนั ธุกรรม และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม

ข. สตปิ ัญญาของคนเปน็ ความแปรผนั ต่อเน่อื ง ก. โรคเลือดไหลไมห่ ยดุ

ค. ถูกควบคมุ ด้วยยีนน้อยคู่ ข. โรคธาลัสซิเมยี

ง. ไมส่ ามารถแยกความแตกตา่ งไดอ้ ย่างชดั เจน ค. โรคเบาหวาน

3.การตรวจดว้ ยวิธใี ดใช้พิสจู น์ความเป็นพอ่ แมล่ กู ได้ผล ง. อีสกุ อีใส

แมน่ ยาท่ีสุด 9.การปอ้ งกันการเกดิ ความผิดปกติเก่ียวกบั โรคทาง

ก. จโี นไทป์ ข. โครโมโซม พันธกุ รรมควรปฏิบัตอิ ยา่ งไร

ค. กรปุ๊ เลือด ABO ง. ลายพิมพ์ DNA 1. ฝากครรภ์กับแพทยข์ ณะต้ังครรภ์

4.ข้อใดไม่มีทางเกิดขน้ึ 2. อยใู่ นสิง่ แวดลอ้ มท่ีสะอาดปลอดภยั

ก. พ่อและแม่มีเลือดกรบุ๊ เอ มลี ูกเลือดกรุ๊บโอ 3. หลีกเลี่ยงการแตง่ งานในหมเู่ ครือญาติ

ข. พ่อและแม่มีเลือดกรุ๊บเอบี มีลกู เลอื ดกรบุ๊ โอ 4. ถูกทุกขอ้

ค. พ่อและแม่มเี ลือดกรบุ๊ บี มีลกู เลอื ดกรุบ๊ โอ 10.แอลลีลของยีนพอ่ แมค่ หู่ น่ึง ซงึ่ พ่อมีผวิ ปกติพันธแ์ุ ท้

ง. พอ่ และแม่มีเลอื ดกรุ๊บโอ มีลกู เลือดกรุ๊บโอ กับแม่มผี ิวปกติพนั ทางเป็นไปตามข้อใด

5. โครโมโซมของคนมกี ่ีแทง และมกี ่ีคู ลกั ษณะพ่อ/แม่ ฟโี นไทป์ จีโนไทป์

ก. 46 คู 23 แทง ข. 46 แทง 23 คู 1. พอ่ ผิวปกติ พันธุแ์ ท้ ผวิ ปกติ AA

ค. 44 คู 22 แทง ง. 44 แทง 23 คู 2. แม่ผวิ ปกติ พนั ทาง ผิวปกติ aa

6.รุ่นลูก(F1)มีโอกาสท่ีจะเปน็ ฟโี นไทปแ์ ละจโี นไทปไ์ ม่ 3. พ่อผวิ ปกติ พนั ธ์แุ ท้ ผิวปกติ aa เหมือนกนั ในกรณีใด 4. แมผ่ ิวปกติ พันทาง ผวิ เผือก Aa ก. พอ่ และแม่เปน็ โฮโมไซกสั

ข.พอ่ และแม่เป็นเฮเทอโรไซกสั

ค.พอ่ เป็นโฮโมไซกัส แม่เป็นเฮเทอโรไซกสั

ง.พ่อเป็นเฮเทอโรไซกสั แม่เป็นโฮโมไซกสั

หน่วยที่ 3

ม.3

คล่ืนและแสง

ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/10 ใบงานเรอ่ื ง คล่นื

คาชแ้ี จง จงเติมข้อความต่อไปน้ีให้สมบรู ณ์ หากจาแนกคลน่ื ตามความจาเปน็ ของการใชต้ วั กลาง จะไดแ้ ก่ 1.1 คลนื่ กล (Mechanical Wave) เป็นคลนื่ ที่จาเปน็ ตอ้ งอาศยั ตวั กลางในการเคล่ือนท่ี

1.2 คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ (Electromagnetic Wave) เป็นคลน่ื ที่ไม่จาเป็นต้องอาศยั ตัวกลางในการเคลือ่ นท่ี สามารถเดนิ ทางในสญู ญากาศได้ หากจาแนกคลนื่ ตามลกั ษณะการสนั่ ของตวั กลาง จะไดแ้ ก่ 2.1 คลื่นตามขวาง (Transverse Wave) เปน็ คลื่นทม่ี ที ศิ ทางการส่ันของตวั กลางตัง้ ฉากกับทิศทางการแผ่ ของคลน่ื 2.2 คลน่ื ตามยาว (Longitudinal Wave) เป็นคลนื่ ทม่ี ีทิศทางการสนั่ ของตวั กลางขนานกบั ทศิ ทางการแผ่ ของคลืน่ หากจาแนกคลนื่ ตามความต่อเน่อื งของแหลง่ กาเนดิ จะไดแ้ ก่ 3.1 คลื่นดล (Pulse Wave) เป็นคลืน่ ที่เกิดจากแหล่งกาเนดิ สน่ั หรือรบกวนตัวกลางเปน็ เวลาสน้ั ๆ ทาให้ คล่นื แผอ่ อกไปเป็นจานวนน้อยๆ 3.2 คลื่นตอ่ เนอื่ ง (Continuous Wave) เป็นคลืน่ ทเี่ กดิ จากแหลง่ กาเนดิ สัน่ หรอื รบกวนตัวกลางอย่าง ต่อเนือ่ ง

คลื่นกล คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ คล่นื แสง รังสีเอก็ ซ์ คล่ืนทีผ่ วิ นา้ คล่นื วทิ ยุ เรดาร์ คล่นื ในสปริง คลืน่ เสยี ง

คลนื่ แสง

แม่เหลก็ ไฟฟ้า รงั สีเอก็ ซ์

คลื่นวิทยุ

คลื่นท่ผี ิวนา้ เรดาร์

คลน่ื ในสปรงิ คลื่นกล คลื่นเสยี ง

ช่อื ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/10 4 ใบงานเรื่อง สว่ นประกอบและสมบตั ิของคล่นื

คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนพิจารณาภาพตอ่ ไปนแ้ี ล้วตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง

1

23

1.ตาแหนง่ ท่ี 1 เรียกวา่ แอมพลิจูด (Amplitude ) แทนสัญลักษณด์ ้วย A

เปน็ จดุ ท่ีระยะการกระจดั มากท่สี ุด ท้ังค่าบวกและลบ

2 ตาแหนง่ ที่ 2 เรียกว่า ความยาวคลน่ื (wavelength) แทนสัญลกั ษณด์ ว้ ย

คือ ความยาวของคลนื่ นบั ระยะห่างจากสนั คลื่นถึงสนั คลนื่ ทต่ี ดิ กันหรอื ระยะห่างจากทอ้ งคล่นื ถงึ ทอ้ งคลืน่ ทีต่ ดิ กัน

3. ตาแหน่งท่ี 3 เรยี กว่า สันคลื่น (Crest) คือ ตาแหน่งสงู สุดของคลื่น

4. ตาแหนง่ ท่ี 4 เรยี กวา่ ทอ้ งคลืน่ (Trough) คอื ตาแหน่งตา่ สุดของคลน่ื

เป็นระยะห่างจากสันคลื่นถงึ สนั คลื่นท่ีติดกันหรือระยะหา่ งจากท้องคลืน่ ถึงท้องคลื่นท่ตี ดิ กนั

5.คาบ ( Period ) แทนสญั ลักษณ์ดว้ ย T คือ ชว่ งเวลาท่ีคล่ืนหนงึ่ ลูก เคลื่อนท่ีผา่ น

ตาแหนง่ ใด ๆ มีหนว่ ยเป็น วินาที ( s )

6.ความถ่ี ( frequency )แทนสญั ลกั ษณด์ ว้ ย f คือ จานวนลกู คลนื่ ทเ่ี คล่อื นทีผ่ ่านจดุ ๆ หนึ่งใน

หน่ึงหน่วยเวลา หนว่ ยเปน็ รอบต่อวนิ าที หรอื เฮิร์ตซ์ ( Hz )

7.จงระบคุ วามสมั พนั ธ์ของภาพ และ สมบัติของคล่นื ตอ่ ไปน้ี

ก. การแทรกสอด (interference) ข. การเล้ียวเบน (diffraction) ค. การสะท้อน (reflection) ง. การหกั เห (refraction)

ชอื่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/11

ใบงานเรอื่ ง คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นจบั คคู่ วามสัมพันธข์ องขอ้ ความต่อไปนี้

  1. คลน่ื วิทยุ (Radio wave) F. รงั สีเอก็ ซ์ (X-ray)
  1. รงั สแี กมมา (Gamma ray) G. แสงที่ตามองเห็น (Visible light)
  1. คลืน่ ไมโครเวฟ (Microwave) H. รังสีอนิ ฟราเรด (Infrared radiation)
  1. รงั สอี ลุ ตราไวโอเลต็ (Ultraviolet radiation) I. คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance)
  2. สเปกตรัม (Spectrum)

B 1 เป็นคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทีม่ คี วามยาวคล่นื นอ้ ยกว่า 0.01 nm รงั สีมีพลงั งานสงู มาก กาเนิดจาก

แหลง่ พลังงานนิวเคลียร์

F 2 มคี วามยาวคลน่ื 0.01 - 1 nm สามารถใช้ตรวจสอบวัตถุ โบราณวา่ มอี ายุยาวนานเทา่ ไร D 3 มคี วามยาวคลื่น 1 - 400 nm มอี ยใู่ นแสงอาทติ ย์ เป็นประโยชนต์ อ่ ร่างกาย แตห่ ากได้รับมาก

เกินไปกเ็ ปน็

อนั ตราย

H 4 มคี วามยาวคลนื่ 700 nm - 1 mm สิง่ ชีวิตแผร่ งั สี ชนิดน้ีออกมา

ในชนั้ บรรยากาศดูดซบั รงั สีนไี้ ว้ ทาให้โลกมีความ อบอนุ่ เหมาะกบั การดารงชีวติ

C 5 มคี วามยาวคลืน่ 1 mm - 10 cm ใชป้ ระโยชน์ในดา้ น โทรคมนาคมระยะไกล นอกจากนีย้ งั

นามาประยกุ ตใ์ ชท้ าเรดาร์ (RADAR ยอ่ มาจาก Radio Detection And Ranging) A 6 เปน็ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าทม่ี คี วามยาวคล่นื มากทสี่ ดุ สามารถ เดนิ ทางผา่ นชนั้ บรรยากาศได้ จึง

ถูกนามาใชป้ ระโยชนใ์ นด้าน การสอื่ สาร โทรคมนาคม

G 7 เปน็ ส่วนหนง่ึ ของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชว่ งคลืน่ 400 - 700 นาโนเมตร (1 nm = 10-9m หรือ 1/พนั ล้านเมตร) E 8 การหักเหของแสงสขี าวเปน็ สตี า่ งๆ ได้แก่ สีม่วง คราม น้าเงิน เขยี ว เหลอื ง แสด แดง

I 9 เกิดจากการรบกวนทางแม่เหลก็ ไฟฟ้า เมอ่ื สนามไฟฟ้ามกี ารเปลยี่ นแปลงจะเหน่ียวนาใหเ้ กดิ สนามแม่เหลก็ แผนภาพเปรยี บเทียบความยาวคล่นื กับสิง่ ตา่ งๆ

ชอื่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/12

ใบงานเรือ่ ง คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้

คาชแี้ จง จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1.จงบอกประโยชน์และอันตรายที่เกดิ จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้

ชนิดของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ประโยชน์ อันตราย/ขอ้ จากดั

1.รังสแี กมมา ใช้รักษาโรคมะเรง็ ศึกษาโรคพชื ต่างๆ ทาลายเซลลร์ ่างกายเนื้อเยอื่ ต่างๆ (Gamma ray) การดดู ซมึ แรธ่ าตุของรากพชื อาจทาใหเ้ กิดมะเรง็ ได้ การเปลี่ยนแปลงพันธุ์พชื 2.รังสีเอ็กซ์ (X-ray) เมอื่ รา่ งกายรบั เข้าไปมากเซลลจ์ ะตาย ตรวจวินจิ ฉยั โรค รกั ษาโรคมะเรง็ หรือเสอ่ื มคณุ ภาพ อาจทาใหเ้ กดิ 3.รังสีอัลตราไวโอเลต ตรวจสอบสง่ิ แปลกปลอม หรอื อาวธุ ในกระเป๋า โรคมะเรง็ ได้ (Ultraviolet radiation) หรอื หีบห่อตา่ ง ๆ อาจทาใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงในยีน ใชต้ รวจสอบวตั ถโุ บราณ มผี ลต่อกรรมพนั ธ์ุ 4.แสงทต่ี ามองเห็น (Visible light) ชว่ ยกระตุ้นใหร้ า่ งกายผลติ วิตามินดี หากได้รบั ในปริมาณมากอาจทาใหส้ ง่ ผล ใชร้ กั ษาโรคหลายชนิด เชน่ ด่างขาว สะเก็ดเงนิ กระทบต่อดวงตา เชน่ กระจกตาอักเสบ 5.รงั สอี ินฟราเรด โรคกระดกู ออ่ นในเดก็ ผวิ ไหม้ ผิวคล้า รวิ้ รอย มะเร็งผิวหนงั (Infrared radiation) เปน็ แหล่งพลังงานท่สี าคญั ของโลก อนั ตรายตอ่ ผิวหนงั และตาคน เมอื่ 6.คลืน่ ไมโครเวฟ ช่วยในการสังเคราะหแ์ สงของพืช รบั มาจานวนมากๆ อาจเป็นมะเร็งที่ (Microwave) ผวิ หนงั ได้ ถ่ายภาพพน้ื โลกจากดาวเทยี ม 7.คลื่นวิทยุ เปน็ ตวั นาคาสง่ั จากอุปกรณค์ วบคมุ ไปยัง การสร้างเม็ดสีของผิวผดิ ปกติ (Radio wave) เครื่องรบั ที่เรยี กว่า รโี มทคอนโทรล ทาใหเ้ กิดร้ิวรอย เหยี่ วย่นแก่กอ่ นวัย การฆา่ เชือ้ โรค การตรวจวนิ ิจฉยั โรค ผวิ หนงั สูญเสียความยดื หยนุ่ มะเร็งผวิ หนงั ใชใ้ นการสอื่ สาร เชน่ ดาวเทียม โทรศัพท์มอื ถอื ทาให้เซลล์หรืออวัยวะเกดิ ความเสียหาย ใชส้ ่อื สารทางทะเล ใชส้ ง่ วทิ ยคุ ลืน่ สั้นสื่อสาร และหากเกิดในระดบั รนุ แรงอาจทาให้ ระหว่างประเทศ ใชส้ ่งไมโครเวฟและเรดาร์ ใช้ เซลล์ตายได้ สง่ คลน่ื วทิ ยรุ ะบบเอเอ็ม เอฟเอ็ม และคลืน่ โทรทัศน์ เกิดความรอ้ นบริเวณใตผ้ ิวหนงั และ อวยั วะภายใน เป็นอันตรายต่อเลนส์ตาทาให้อณุ หภมู ิ สูงขึน้

ช่อื ..........................................................................ช้นั ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/13-14

ใบงานเร่อื ง การเคล่อื นทีแ่ ละการสะท้อนของแสง

คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามต่อไปนี้

1. อแนัตวรกาเารร็วเขคอลง่ือแนสทงขี่ในองสแุญสญงจาะกมาลศี กั มษีคณา่ ะปอรยะม่างาไณรเ..ท..า่..ใ..ด.............ม..ีแ..น...ว.3กาxร1เค08ลเมื่อนตทร/่ีเวปินน็ าเทสี้น..ต...ร..ง........................ 2.

3. รังสีของแสง ถกู แบง่ เป็น 2 แบบ คือ ............... 1.รงั สีตกกระทบ ............... 2.รงั สสี ะท้อน ...............

4. ระยะภาพ และ ระยะวตั ถุ จะสมั พันธก์ นั อยา่ งไร สาหรบั กระจกเงาระนาบ

............................................. ระยะภาพจะมคี า่ เทา่ กบั ระยะวัตถุ .............................................

5. สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของกระจกโคง้ ท่ีทาหน้าท่ี รวมแสง เรยี กวา่ ............... จดุ โฟกสั ...............

6. แนวรงั สขี องแสงทีล่ ากผ่าน จุดศนู ย์กลางความโค้ง จะเป็นอยา่ งไร ระหว่าง รงั สตี กกระทบ และ รังสสี ะท้อน คอื

..............................รังสีตกกระทบและรังสสี ะทอ้ นจะไปตัดกนั จดุ ท่ที าให้เกิดภาพ ..............................

7. กระจกโค้งทรงกลม มี 2 แบบ คอื ............... 1.กระจกโคง้ เว้า ............... 2.กระจกโค้งนูน ...............

8. กระจกโค้งแบบใดที่ทาหน้าท่ี รวมแสง ...............1.กระจกโค้งเวา้ ...............

9. กระจกโคง้ แบบใดทีท่ าหนา้ ท่ี กระจายแสง ............... 2.กระจกโคง้ นนู ...............

10.กระจกโคง้ แบบใด ที่ค่าของจุดโฟกสั เปน็ ลบ เสมอ ............... กระจกโคง้ นนู ...............

เสน้ แนวฉาก

มุมตกกระทบ มมุ สะท้อน

รงั สตี กกระทบ รังสีสะท้อน

วัตถุผิวเรียบ 30

11.ขนาดของมมุ ตกกระทบ 60 องศา ตามกฏของการสะทอ้ นทว่ี ่า 12.ถา้ มุมตกกระทบ 45 องศา ขนาดของมมุ สะทอ้ นจะเทา่ กบั 45 องศา 12.1 รังสีตกกระทบ รงั สสี ะท้อน และเส้นปกติจะอยใู่ นระนาบเดียวกัน 12.2 มุมตกกระทบเทา่ กับมมุ สะทอ้ น 13.รงั สีสะทอ้ นทามุมกบั แนวกระจก มีคา่ 30 องศา 14.มมุ ตกกระทบ+มุมสะทอ้ น มคี ่า 120 องศา

ชือ่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/13-14 ใบงานเรือ่ ง กฎการสะทอ้ นของแสง

คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างให้ถกู ต้อง

37

วตั ถผุ ิวเรยี บ AB

1. ขนาดของมมุ A มคี า่ 37 องศา 2. ขนาดของมุม B มีคา่ 53 องศา 3. ถ้าขนาดของมมุ A มีค่า 48 องศา มุม B มีคา่ 42 องศา

จากภาพจงตอบคาถามข้อ 4 - 11

4.รังสีตกกระทบบนระนาบ AC คอื FB

5.มมุ ตกกระทบบนระนาบ AC มคี า่ 65 องศา

6.รังสสี ะท้อนบนระนาบ AC คือ BD

7.เส้นประ B และ D คือ เสน้ ปกติ

8.รังสตี กกระทบบนระนาบ CE คอื BD

9.มมุ ตกกระทบบนระนาบ CE มีคา่ 65 องศา

10.รังสีสะท้อนบนระนาบ CE คอื DG

11.ถ้ามมุ สะทอ้ นบนระนาบ CE มีคา่ 45 องศา

มุมตกกระทบบนระนาบ AC มีค่า 45 องศา

ชอ่ื ..........................................................................ชัน้ ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/13-14 ใบงานเรอ่ื ง กฎการสะท้อนของแสง

คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นขียนรงั สสี ะทอ้ นจากผวิ สะทอ้ นทกี่ าหนดให้

กฎการสะท้อน มี 2 ขอ้ คอื 1. รงั สีตกกระทบ รงั สสี ะทอ้ น และเส้นปกติจะอยใู่ นระนาบเดยี วกนั 2. มุมตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะทอ้ น

ช่ือ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/14 ใบงานเรื่อง ภาพที่เกดิ จากการวางวตั ถไุ วห้ นา้ กระจกเว้า

คาชแี้ จง ให้นักเรยี นเขยี นแผนภาพรงั สแี สดงการเกดิ ภาพ พร้อมทงั้ อธบิ ายลกั ษณะของภาพ

ก. เม่ือ s > 2f

ลักษณะภาพ ภาพจรงิ หัวกลับ ขนาดภาพ เล็กกว่าวัตถุ

ข. เมื่อ s = 2f

ลักษณะภาพ ภาพจรงิ หัวกลบั ขนาดภาพ เทา่ วตั ถุ

ค. เมอื่ f < s < 2f

ลักษณะภาพ ภาพจริง หัวกลับ ขนาดภาพ โตกว่าวตั ถุ

ชอื่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/14

ใบงานเรอ่ื ง ภาพท่ีเกดิ จากการวางวัตถุไวห้ น้ากระจกนนู

คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเขยี นรังสีของแสงเพื่อหาภาพของวตั ถุ ซ่ึงอยหู่ า่ งกระจกนนู เป็นระยะตา่ งๆ กนั พร้อมทั้งอธิบาย ลกั ษณะของภาพ

ก. เมอื่ s > 2f

ลักษณะภาพ ภาพเสมือนหวั ต้ัง ขนาดภาพ เล็กกวา่ วัตถุ

ข. เมือ่ f < s < 2f

ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื นหวั ตัง้ ขนาดภาพ เลก็ กว่าวัตถุ

ค. เมือ่ f > s

ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื นหวั ตง้ั ขนาดภาพ เล็กกวา่ วตั ถุ

ชือ่ ..........................................................................ชัน้ ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/15

ใบงานเรอื่ ง การหักเหของแสง

คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ต้อง

1. การหักเหของแสงเกดิ ข้นึ เม่อื ใด แสงเดินทางผา่ นตัวกลางอยา่ งนอ้ ย 2 ชนดิ ทมี่ ี ความหนาแนน่ ไมเ่ ทา่ กัน การหักเหจะเกิดข้ึนตรงผิวรอยต่อของ ตวั กลาง

2. เม่อื แสงเคล่ือนท่ีจากตวั กลางทมี่ คี วามหนาแน่น นอ้ ย ไปส่ตู วั กลางทมี่ ีความหนาแน่น มาก ลาแสงหักเห เบนเข้าหา เสน้ ปกติ ทาให้มุมตกกระทบ โตกว่า มมุ หักเห

3. เมอ่ื แสงเคล่อื นทจ่ี ากตัวกลางท่ีมคี วามหนาแน่น มาก ไปสู่ตวั กลางท่ีมคี วามหนาแน่น นอ้ ย

ลาแสงหักเห เบนออกจาก เส้นปกติ ทาให้มุมตกกระทบ เล็กกวา่ มุมหกั เห

กฎการหกั เหของแสง คือ 1. รังสตี กกระทบ เสน้ แนวฉาก และรงั สีหกั เหอยใู่ นระนาบเดยี วกัน 2. สาหรบั ตวั กลางค่หู นงึ่ อัตราสว่ นระหวา่ งไซน์ของมมุ ตกกระทบในตวั กลางหนง่ึ กับไซนข์ อง มมุ หักเหในอกี ตัวกลางหนง่ึ มีค่าคงตัวเสมอ นนั่ คือ กฎของสเนลล์

ชอื่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/15 ,17 ใบงานเรื่อง การหักเหของแสง

คาชีแ้ จง ให้นักเรียนนาข้อความทีก่ าหนดใหเ้ ตมิ ลงในชอ่ งวา่ ง จงอธบิ ายการเกิดปรากฏการณ์ต่อไปนี้

1. การเกดิ รงุ้ เปน็ ปรากฏการณีเ่ กดิ จากการหกั เหของแสง โดยแสงจะตกกระทบผวิ ของละอองนา้ ฝน หลัง ฝนตกใหม่ ๆ ทาใหเ้ กิดการหักเหและสะท้อนกลับหมดภายในละอองน้า ทาให้แสงขาวแยกออกเป็นแถบ สตี า่ ง ๆ และปรากฏเปน็ ร้งุ กินน้าใหเ้ รามองเหน็ ได้

2. มริ าจ เกดิ ขน้ึ เม่ืออากาศร้อนจัดจนทาใหผ้ วิ ถนนร้อนและส่งผลใหช้ ัน้ อากาศทอี่ ยู่เหนอื ผวิ ถนนร้อนตาม จนเกิดเป็นชัน้ อากาศร้อนและชั้นอากาศเยน็ ที่แบ่งตวั กันอย่างชดั เจน ซึ่งชนั้ อากาศเย็นจะมคี วามหนาแน่น กว่าชั้นอากาศรอ้ น เม่ือแสงเดนิ ทางผ่านอาการเยน็ มาเจอช้นั อากาศรอ้ นจึงเกดิ การหักเห ส่วนหนงึ่ สะทอ้ นภาพวตั ถุข้างหน้าตามปกติ อกี สว่ นหนง่ึ เกดิ การโคง้ และสะทอ้ นภาพเดมิ ซา้ จนเห็นเปน็ ภาพสะท้อน คลา้ ยบอ่ นา้

3. พระอาทติ ยท์ รงกลด เกดิ ขนึ้ จากกอ้ นเมฆทีอ่ ย่รู อบ ๆ ดวงอาทิตยม์ ีผลึกนา้ แข็งทจี่ ัดเรยี งตัวกนั ในตาแหนง่ ที่เหมาะสมในรปู โคง้ วงกลมรอบดวงอาทติ ย์ เมอื่ แสงตกกระทบผลกึ นา้ แข็งเหลา่ นก้ี ็จะเกดิ การหกั เหและ สะท้อนกลับหมดภายในผลกึ แลว้ หกั เหออกสอู่ ากาศภายนอก เรากจ็ ะเหน็ พระอาทติ ย์ทรงกลด

ชือ่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/15

ใบงานเร่ือง การหักเหของแสง

คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ต้อง

1. ปรซิ ึม คอื วตั ถุทท่ี าใหแ้ สงขาวกระจายออกเป็นสตี ่างๆ

2. การหกั เหของแสงสขี าว แยกออกเปน็ สเปกตมั 7 สี เรม่ิ จากแสงทม่ี คี วามยาวคลื่นส้นั ไปหาแสงสที มี่ คี วามยาวคลน่ื ยาวไดด้ ังนี้ คือ มว่ ง คราม น้างิน เขียว เหลอื ง แสด และแดง

วตั ถใุ ดในธรรมชาตทิ ท่ี าให้เกดิ การหกั เหของแสง หยดน้า น้าแข็ง 3. ตวั กลางของแสง มี 3 ชนิด 3.1 วัตถุทบึ แสง เป็นตัวกลางท่ี ไมย่ อมให้แสงทะลุผา่ น แต่สะทอ้ นได้หรือบางชนดิ ดูดกลนื แสงได้ 3.2 วตั ถุโปร่งแสง เปน็ ตัวกลางท่ียอมให้แสงผา่ นได้บ้างและไมเ่ ปน็ ระเบยี บ ทาใหก้ ารมองเห็น วัตถุดา้ นตรงข้ามไมช่ ดั เจน 3.3 วตั ถโุ ปรง่ ใส เป็นตัวกลางทยี่ อมให้แสงผ่านได้หมดหรือเกอื บทั้งหมดอย่างเปน็ ระเบยี บ สามารถมองเห็นวตั ถอุ กี ชนดิ ไดช้ ดั เจน

ชือ่ ..........................................................................ชัน้ ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16

ใบงานเรือ่ ง ภาพทเ่ี กดิ จากการวางวัตถุไว้หนา้ เลนสน์ ูน

คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนวาดภาพท่เี กิดจากการวางวัตถไุ วห้ น้าเลนส์นนู ณ ตาแหน่งต่าง ๆ พรอ้ มทั้งอธบิ ายลกั ษณะของภาพ วางวตั ถไุ วท้ จ่ี ดุ 2F

ลกั ษณะภาพ ภาพจริงหัวกลับ ตาแหน่ง จุด C หลงั เลนส์ ขนาดภาพ เทา่ กบั วตั ถุ วางวตั ถไุ วร้ ะหวา่ ง F กบั 2F

ลกั ษณะภาพ ภาพจรงิ หัวกลับ ตาแหน่ง หลังเลนส์ เลยจุด C อออกไป ขนาดภาพ ขนาดใหญก่ วา่ วัตถุ วางวตั ถไุ วท้ จ่ี ดุ F

ลักษณะภาพ ระบุไมไ่ ด้ ตาแหนง่ ระยะอนนั ต์ ขนาดภาพ ขนาดใหญก่ วา่ วัตถุ

วางวัตถไุ วร้ ะหว่างจดุ F กบั กระจก

ลกั ษณะภาพ เสมือนหัวตั้ง ตาแหน่ง หน้าเลนส์ เกนิ ระยะวัตถุ ขนาดภาพ ขนาดใหญก่ วา่ วัตถุ

ชอื่ ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16

ใบงานเร่ือง ภาพท่ีเกิดจากการวางวัตถุไวห้ นา้ เลนส์เว้า

คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นวาดภาพที่เกิดจากการวางวัตถไุ ว้หน้าเลนส์เว้า ณ ตาแหน่งตา่ ง ๆ พรอ้ มทั้งอธบิ ายลักษณะของภาพ วางวตั ถไุ วท้ จ่ี ดุ 2F

ลักษณะภาพ ภาพเสมอื นหวั ตง้ั ตาแหน่ง หน้าเลนส์ ระหว่าง F กบั O ขนาดภาพ ขนาดเลก็ กว่าวตั ถุ วางวัตถไุ วร้ ะหวา่ ง F กบั 2F

ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื นหัวตงั้ ตาแหน่ง หน้าเลนส์ ระหว่าง F กับ O ขนาดภาพ ขนาดเล็กกว่าวตั ถุ วางวตั ถไุ วท้ จ่ี ดุ F

ลกั ษณะภาพ ภาพเสมือนหวั ตง้ั ตาแหนง่ หน้าเลนส์ ระหวา่ ง F กับ O ขนาดภาพ ขนาดเล็กกวา่ วัตถุ วางวตั ถไุ วร้ ะหว่างจดุ F กบั กระจก

ลักษณะภาพ เสมอื นหวั ตั้ง ตาแหน่ง หน้าเลนส์ ระหว่าง F กบั O ขนาดภาพ ขนาดเลก็ กว่าวตั ถุ

ชื่อ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/18

ใบงานเรือ่ ง นยั นต์ าและการมองเห็น

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนพิจารณาภาพต่อไปนแี้ ลว้ ตอบคาถามใหถ้ ูกตอ้ ง

12

3

4

5

7

6

1.จากภาพจงบอกส่วนประกอบและหน้าท่ขี องนัยน์ตา หมายเลข 1 คอื เรตินา่ (ฉากรับภาพ) ทาหนา้ ท่ี เปน็ ฉากรับภาพที่เกิดจากการหักเหแสงผา่ นเลนสต์ า ซ่ึงประกอบด้วย เซลลป์ ระสาท 2 ชนิด คอื เซลลป์ ะสารทรูปแทง่ และเซลลป์ ระสาทรปู กรวย หมายเลข 2 คอื เลนส์ตา ทาหน้าท่ี รบั แสงและหกั เหแสง เปน็ เลนส์นนู เลนสต์ าสามารถปรบั ความยาวโพกสั ได้ หมายเลข 3 คือ มา่ นตา ทาหนา้ ท่ี เป็นม่านเปิดรรู บั แสงให้ใหญ่หรือเลก็ เพอื่ ช่วยให้แสงผ่านไปยังเลนสไ์ ด้พอเหมาะ ถา้ แสงสวา่ งมากม่านตาจะเปดิ ชอ่ งเป็นรูเล็ก และถา้ แสงสว่างน้อย ม่านตาจะเปดิ ช่องเป็นรูกว้าง เพ่อื ไม่ให้เปน็ อันตรายตอ่ เรตนิ า และเปน็ เน้ือเยื่อสว่ นทม่ี ีสีของนัยน์ตา หมายเลข 4 คอื กระจกตา ทาหน้าที่ เป็นส่วนของตาดาอยภู่ ายนอกเลนสต์ า มลี กั ษณะเปน็ เย่ือเหนยี วใสและบาง หมายเลข 5 คอื รมู า่ นตา ทาหนา้ ท่ี เป็นชอ่ งใหแ้ สงผา่ นไปสู่เลนสต์ า ขนาดของรมู า่ นตาจะเปลยี่ นแปลงไปตามการ เปดิ ปดิ ของม่านตา หมายเลข 6 คอื กลา้ มเนอื้ ยึดเลนส์ตา ทาหนา้ ท่ี ปรบั ความยาวโพกสั ของเลนส์ตาใหส้ ามารถมองเหน็ วตั ถุไดช้ ัดเจนที่ ระยะต่าง ๆ หมายเลข 7 คอื เซลลป์ ระสาทตา ทาหน้าท่ี รบั กระแสประสาทส่งไปยงั สมอง 2.เซลล์ประสาทรปู แทง่ และเซลลป์ ระสาทรูปกรวยมหี นา้ ท่อี ยา่ งไร 1.เซลล์ประสาทรปู แท่ง (Rod Cell) เซลลร์ ับแสงในเรตินา หน้าทรี่ บั แสงท่ีมีความเข้มน้อย ไม่สามารถจาแนกสีได้ 2.เซลล์ประสาทรปู กรวย (Cone Cell ) เซลลป์ ระสาทรับแสงสีในเรตนิ า ทางานได้ดีในทีม่ ีแสงสวา่ งมาก ไวตอ่ แสงที่มี ความเขม้ สงู เซลล์ประสาทเหล่านี้จะรวมกนั เป็นประสาทตา (Optic Nerve ) ทาหนา้ ท่ีเปลย่ี นสัญญาณแสงเปน็ สัญญาณไฟฟ้าไปสู่สมองเพอ่ื แปลความหมายออกมาเปน็ ภาพทีม่ องเหน็

ชือ่ ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/18

ใบงานเรอื่ ง นัยนต์ าและการมองเหน็

คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนพิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนี้และเติมคาในช่องว่างใหส้ ัมพันธ์กัน

1. การมองเห็นเกดิ ข้ึนได้เมื่อ เมอื่ มแี สงจากวัตถทุ เ่ี รากาลงั มองอยู่ ตกกระทบกับตวั รบั ภาพในดวงตา (photoreceptor) และสง่ ขอ้ มูล ไปยังสมอง สมองส่วนรับภาพจะจัดเรยี งแปลผลขอ้ มลู และสรา้ ง เป็นภาพ 2. สายตาปกตคิ อื สามารถมองเหน็ ขดั ในระยะใกลส้ ดุ 25 เซนตเิ มตร ภาพทป่ี รากฏบนเรตินาพอดี 3. สายตาสัน้ คอื สายตาสน้ั จะมองเหน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ ทร่ี ะยะใกลก้ ว่า 25 เซนตเิ มตร เนอ่ื งจากกระบอกตายาว ภาพจงึ ตกก่อนถงึ เรตินา วิธีการแกไ้ ข สวมแวน่ ตาทท่ี าด้วยเลนส์เว้า เพือ่ ถ่วงแสงใหไ้ ปตกถงึ เรตินา 4. สายตายาว คอื มองเห็นสิง่ ตา่ งๆ ชัดทร่ี ะยะไกล ส่วนระยะใกลม้ องเห็นไม่ชดั เนอื่ งจาก กระบอกตาสนั้ เกนิ ไป ภาพตกเลยเรตนิ า วิธกี ารแก้ไข สวมแวน่ ตาทีทาดว้ ยเลนส์นนู เพือ่ ช่วยรวมแสงใหต้ กใกลเ้ ขา้ มา 5. สายตาคนชรา คือ จะมองเห็นวตั ถทุ อ่ี ย่ใู กล้ไม่ชัดเจนเหมือนกับเปน็ คนสายตายาว แตเ่ ม่ือมองวตั ถทุ ีอ่ ยู่ไกลๆ ก็มองเหน็ ไมช่ ดั เจนอกี เหมือนกับคนสายตาสนั้ เนื่องจาก กล้ามเนอื้ ตาทางานผิดปกติ คือ บังคบั ใหเ้ ลนสต์ าปรบั ความยาวโฟกัสยาวส้ันตา่ งๆ กันมากไมไ่ ด้ วธิ ีการแกไ้ ข ตอ้ งใชแ้ ว่นตาสองอนั คือ ใชแ้ วน่ ตาทีท่ าด้วยเลนสน์ ูน เมอ่ื จะมองวตั ถทุ ีอ่ ยู่ใกล้ และใชแ้ ว่นตาทที่ าดว้ ยเลนสเ์ วา้ เม่ือจะมองวตั ถุทอี่ ยูไ่ กล 6. คนสายตาเอยี ง คือเห็นภาพแนวดง่ิ ไมต่ รงหรอื แนวราบเอยี งไปจากปกติ เนื่องจาก ผวิ หน้าของเลนสต์ ามคี วามโคง้ ไมส่ มา่ เสมอ วิธกี ารแกไ้ ข สวมแว่นตาทาดว้ ยเลนสน์ ูนกาบกล้วย ตาของมนษุ ยม์ ีลักษณะการทางานคลา้ ยกบั กล้องถา่ ยรปู เม่ือเปรียบเทยี บสว่ นประกอบของนยั น์ตา

กบั ส่วนประกอบของกลอ้ งถา่ ยรปู ได้ดังนี้

นัยนต์ า กลอ้ งถา่ ยรปู

กระบอกตา ตัวกลอ้ ง

ม่านตา ไดอะแฟรม

เลนสต์ า เลนส์หนา้ กลอ้ ง

รมู ่านตา ช่องเปิดรบั แสง

เรตินา ฟลิ ม์

ชอื่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16

ใบงานเรอ่ื ง ความสวา่ งของแสง

คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนพิจารณาภาพต่อไปนีแ้ ลว้ ตอบคาถามให้ถกู ตอ้ ง

สถานท่ี ความสวา่ ง(ลกั ซ)์

บา้ น หอ้ งน่งั เลน่ หอ้ งครวั หอ้ งอาหาร 150-300 โรงเรียน หอ้ งอา่ นหนงั สือ หอ้ งทางาน 500-1,000

โรงพยาบาล โรงพละศกึ ษา หอประชมุ 75-300 สานกั งาน หอ้ งเรยี น 300-750 หอ้ งสมดุ หอ้ งปฏิบตั กิ าร หอ้ งเขียนแบบ 750-1,500

หอ้ งตรวจโรค 200-750 หอ้ งผา่ ตดั 5,000-10,000

บนั ไดฉกุ เฉิน 30-75 ทางเดนิ ในอาคาร 75-200 หอ้ งประชมุ หอ้ งรบั รอง 200-750

1.. จงเรยี งลาดับความสวา่ งทเี่ หมาะสมของสถานท่ีตอ่ ไปนี้ จากมากไปนอ้ ย

ห้องเรียน หอ้ งสมุด หอ้ งนงั่ เลน่ ห้องผ่าตัด ห้องประชุม

.หอ้ งผ่าตดั ห้องสมดุ ห้องเรียน หอ้ งประชมุ ห้องน่งั เล่น

2.. ลกั ซ์มิเตอรเ์ ปน็ เครอื่ งมอื สาหรบั .........วดั ความสว่าง.......และมหี นว่ ยเปน็ .......ลกั ซ์.....

3.. ความสวา่ งประมาณ 700 ลกั ซ์ มคี วามพอเหมาะกบั การใชง้ านในกจิ กรรมใดบา้ ง

ห้องอ่านหนังสอื ห้องทางาน หอ้ งเรยี น หอ้ งสมดุ ห้องปฏบิ ตั กิ าร ห้องเขียนแบบ

หอ้ งตรวจโรค ห้องประชุม หอ้ งรับรอง

4. หอ้ งใดทต่ี ้องการความสว่างมากเป็นพเิ ศษ ห้องผ่าตัด

5. สถานทใ่ี ดต้องการความสว่างนอ้ ยทส่ี ดุ บันไดฉกุ เฉิน

ชือ่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน แบบฝกึ หดั ทา้ ยหนว่ ย

คาชแี้ จง จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ทส่ี ดุ

1."ปูทดลองมองแสงไฟผ่านม้วนกระดาษ โดยมว้ นกระดาษเป็นทอ่ ตรง และดัด มว้ นกระดาษให้งอ เพื่อเปรียบเทยี บ

กนั " การทดลองนที้ าใหป้ สู รุปผลไดว้ า่ อย่างไร

ก.แสงเดินทางจากแหลง่ กาเนดิ ทุกทิศทาง ข.แสงมแี นวเคลื่อนท่เี ปน็ เสน้ ตรง

ค.แสงมกี ารหักเหเมือ่ เดินทางผา่ นตวั กลาง2 ชนดิ ง.แสงเม่ือกระทบวัตถุจะเกดิ การสะท้อน

2. เรามองเห็นวตั ถตุ ่างๆทไี่ มม่ แี สงสว่างในตัวเองได้เม่อื ใด

1. มแี สงจากแหล่งอ่ืนไปกระทบวตั ถุ 2. วัตถุต่างๆอยใู่ นแนวเสน้ ตรงเดยี วกัน

3. มแี สงสะท้อนจากวัตถุมาเขา้ ตา 4. แหลง่ ของแสง วัตถุตา่ งๆและตาอยู่ในแนวเสน้ ตรงเดยี วกนั

ก. 1, 2 ข. 1, 3

ค. 1, 2, 3 ง. 1, 2, 3, 4

3. มุมหักเหจะมขี นาดใหญห่ รือเลก็ กวา่ มมุ ตกกระทบข้นึ อยู่กับอะไร

ก. สถานะของตัวกลาง ข. ตาแหนง่ของตัวกลาง

ค. ดัชนหี กั เหของตัวกลาง ง. ความหนาแนน่ ของตวั กลาง

4. รงั สีของแสงทเี่ บนเข้าหาเส้นปกตจิ ะเกิดขึ้นเมอ่ื ใด ก. เพ่มิ ขนาดของมมุตกกระทบใหโ้ ตกว่ามมุวิกฤต ข. รงั สตี กกระทบ รังสสี ะท้อน และเสน้ ปกตอิ ยบู่ นระนาบเดยี วกัน ค. แสงเดนิ ทางจากตวั กลางท่ีมคี วามหนาแน่นน้อยกวา่ ไปส่ตู วั กลางทีม่ คี วามหนาแนน่ มากกวา่ ง. แสงเดินทางจากตัวกลางท่มี ีความหนาแนน่ มากกวา่ ไปสตู่ วั กลางที่มีความหนาแนน่ น้อยกว่า

5. ขอ้ ความใดถกู ตอ้ ง ก. ภาพทเ่ี กิดจากกระจกเงาราบเปน็ภาพจรงิ เสมอ ข. ภาพท่เี กิดจากกระจกนูนมีขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุเสมอ ค. ภาพที่เกิดจากกระจกเว้ามที ง้ั ภาพจริงและภาพเสมือน ง. ภาพที่เกิดจากกระจกนูน กระจกเวา้ และกระจกเงาราบ เป็นภาพกลบั ซ้ายขวากบั วัตถุ

6. ต้องวางวัตถุทต่ี าแหนง่ ใดหนา้ กระจกเว้าจงึ จะไดภ้ าพมขี นาดโตกว่าวตั ถุ

ก. y ข. y, z ค. x, z ง. x, y

ชือ่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน แบบฝกึ หัดท้ายหนว่ ย

คาชแ้ี จง จงเลอื กคาตอบที่ถกู ทส่ี ดุ ข. มุมตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะท้อน ง. มุมตกกระทบใหญก่ ว่ามมุ สะทอ้ น 7. ข้อใดเป็นกฎการสะทอ้ นของแสง ก. รงั สีสะทอ้ นยาวเท่ากบั รงั สีตกกระทบ ค. มุมตกกระทบเลก็ กว่ามุมสะท้อน

8.ขอ้ ใดกลา่ วถงึ การหกั เหของแสงได้ถกู ตอ้ ง ก. เกดิ ขึ้นตรงรอยต่อของตวั กลาง ข. เกดิ ขน้ึ เมือ่ แสงเดินทางผ่านตวั กลางชนิดหน่งึ ไปยงั ตัวกลางอีกชนดิ หน่ึง ค. เกิดข้ึนเพราะแสงเดินทางผา่ นตัวกลางแตล่ ะชนิดด้วยความเรว็ ไมเ่ ทา่ กนั ง. ถกู ทกุ ขอ้

9. รังสีของแสงทีต่ กกระทบกระจกนูนในภาพใดทีจ่ ะทาใหเ้ กดิ ภาพจรงิ

8. ส่วนประกอบของตาท่ที าหนา้ ทปี่ รับความสวา่ งของแสงคอื อะไร ก. ม่านตา ข. เลนสต์ า ค. กระจกตา ง. กลา้ มเนอ้ื ตา

10. ความสว่างของแสงมากหรอื น้อยมผี ลต่อการท างานของนัยนต์ าสว่ นใด

ก. ม่านตาและเรตินา ข. เลนส์ตาและเรตนิ า

ค. กระจกตาและเลนส์ตา ง. กระจกตาและประสาทตา

11. สถานทีท่ ีต่ อ้ งมคี วามสว่างของแสงมากทสี่ ดุ คอื ท่ใี ด

ก. หอ้ งครวั ข. ห้องเรยี น ค. ห้องผา่ ตัด ง. หอ้ งตรวจโรค

12.. ขอ้ ใดถกู ต้อง ก. รุง้ กนิ นา้ เกิดจากการหักเหของแสงกับละอองน้า ข. รุง้ กินนา้ เกิดจากการสะทอ้ นกลับหมดของแสง หลังจากการหกั เหของแสงกบั ละอองน้า ค. รุง้ กินนา้ จะปรากฎในทิศตรงข้ามกับแสงอาทติ ย์ ง. ถูกทกุ ข้อ

ระบบสรุ ิยะของเรา

ช่ือ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/1

ใบงานเรือ่ ง แรงโนม้ ถว่ งระหว่างดวงอาทิตยก์ ับดาวบรวิ าร

คาชีแ้ จง : ให้นกั เรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี โดยใหท้ าเคร่ืองหมาย √ หน้าขอ้ ที่เห็นวา่ ถกู และเครือ่ งหมาย X หนา้ ขอ้ ที่เห็นวา่ ผดิ

__✓___ 1) เราสามารถคานวณแรงโน้มถว่ งได้จากสมการ F = G(m1m2)/r2 โดย แรงโนม้ ถ่วง = F คา่ นิจโนม้ ถ่วงสากล = G

ระยะทางระหวา่ งวตั ถทุ ้งั สอง = r มวลของวตั ถุ = m1 , m2

__✓___ 2) ดาวเคราะห์ชน้ั ใน(Inner Planets) คือ ดาวเคราะห์ทโี่ คจรอยใู่ กลด้ วงอาทติ ย์

เป็นดาวเคราะห์ขนาดเลก็ มคี วามหนาแนน่ สงู มีองคป์ ระกอบเป็นหินและโลหะ

__X___ 3) นกั วิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบแรงโนม้ ถ่วงของโลกคอื โจฮานเนส เคปเลอร์

__✓___ 4) ในระบบสรุ ยิ ะ ดาวเคราะห์ท่ีมขี นาดใหญ่ท่ีสุดคอื ดาวพฤหสั บดี(Jupiter)

__✓___ 5) ดาวเสารม์ ีความหนาแน่นนอ้ ยกว่านา้ มคี วามหนาแนน่ เฉล่ยี ประมาณ 0.7 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร

__X___ 6) ดาวเคราะห์ท่ีมองเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ คอื ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน __✓___ 7) ดาวศุกรเ์ ป็นดาวคู่แฝดของโลก

__✓___ 8) ดาวเสาร์เป็นดาวทม่ี ีวงแหวนขนาดใหญล่ อ้ มรอบ

__X___ 9) ดาวเคราะหท์ ุกดวงมีหิน และช้ันบรรยากาศ

__X___ 10) ดาวเคราะห์แต่ละดวงหมนุ รอบตวั เองด้วยความเร็วเท่ากัน __X___ 11) การข้นึ และตกของดวงอาทิตย์ เกิดจากการท่ีดวงอาทิตยโ์ คจรรอบโลก _✓____ 12) ดาวเคราะหแ์ คระมี 3 ดวง ได้แก่ ดาวพลโู ต ดาวอริ ิส และดาวซีเรส

_✓____ 13) ดาวศกุ ร์ไม่มดี าวบรวิ าร

_✓____ 14) ดาวเคราะหน์ อ้ ยมีวงโคจรอย่รู ะหว่างดาวอังคาร และดาวพฤหัสบดี

_X____ 15) ดาวเสาร์เปน็ ดาวเคราะห์ท่ีมีขนาดใหญท่ ีส่ ุดในระบบสรุ ิยะ _X____ 16) ดาวศกุ ร์เป็นดาวเคราะห์ทีไม่มีชัน้ บรรยากาศ _✓____ 17) ดาวพฤหสั บดีมขี นาดใหญ่กว่าโลก 11 เทา่

_X____ 18) โลกอยูใ่ กลด้ วงอาทติ ย์มากท่สี ุด

_✓____ 19) ดาวพธุ และดาวศุกรไ์ มม่ ีดวงจนั ทรเ์ ป็นบริวาร _X____ 20) ดาวศุกรเ์ ป็นดาวเคราะห์แก๊ส

_X____ 21) ดาวฤกษ์มแี สงสว่างนวลนง่ิ

_✓____ 22) ดาวศุกร์เปน็ ดาวเคราะห์ท่ีหมุนรอบตัวเองช้าท่สี ดุ

_✓____ 23) กลอ้ งสา่ หรบั ดูดาวคอื กล้องโทรทรรศน์

_✓____ 24) แสงจากดวงอาทิตยเ์ ดนิ ทางมาถงึ โลกใชเ้ วลาเพยี ง 8 นาที _✓____ 25) ปแี สง หมายถงึ หน่วยวัดระยะ ซ่งึ ใชใ้ นวชิ าดาราศาสตร์ โดยก่าหนดว่า

1 ปแี สง คือ ระยะที่แสดงเคลือ่ นทีไปได้ในเวลา 1 ปี

ชือ่ ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/1

ใบงานเรอื่ ง แรงโนม้ ถ่วงระหว่างดวงอาทติ ย์กับดาวบรวิ าร

คาชแ้ี จง จงเลือกคาตอบท่ีถกู ทส่ี ดุ

1. ข้อใดไมจ่ ัดเปน็ ดาวเคราะห์แบบโลก

ก. ดาวพุธ ข. ดาวศกุ ร์ ค. ดาวอังคาร ง. ดาวพฤหสั บดี

2. ดาวเคราะห์ชนั้ นอกประกอบดว้ ยแกส๊ หลกั คืออะไร

ก. ฮีเลยี ม และออกซเิ จน ข. ฮเี ลยี ม และไฮโดรเจน

ค. ฮีเลียม และไนโตรเจน ง. ฮเี ลยี ม และคารบ์ อนไดออกไซด์

3. วัตถทุ มี่ ีขนาดใหญใ่ นอวกาศเผาไหมไ้ มห่ มด จะเหลือช้ินสว่ นตกลงสู่ผิวโลก เรียกว่าอะไร

ก. ดาวตก ข. ผีพุ่งไต้ ค. อกุ กาบาต ง. ดาวประหลาด

4. ดาวเคราะหน์ อ้ ยโคจรอยู่ระหว่างดาวเคราะหด์ วงใด

ก. ดาวศกุ ร์กบั โลก ข. ดาวอังคารกบั โลก

ค. ดาวพธุ กับดาวศกุ ร์ ง. ดาวอังคารกบั ดาวพฤหัสบดี

5. อนภุ าคโปรตอน และอเิ ล็กตรอน ท่หี ลุดออกจากดวงอาทิตย์มาสู่โลก ทาใหเ้ กิดสิง่ ใด

ก. ลมสรุ ิยะ ข. คลนื่ แม่เหล็ก ค. แสงเหนอื -แสงใต้ ง. คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า

6. ดาวฤกษ์รนุ่ แรกๆ มธี าตใุ ดเปน็ สารเบือ้ งตน้

ก. ออกซิเจนและฮีเลียม ข. ไฮโดรเจนและฮีเลียม

ค. ไฮโดรเจนและไนโตรเจน ง. ออกซเิ จนและไฮโดรเจน

7. องค์ประกอบท่ีสาคัญของกาแลก็ ซคี ือขอ้ ใด

ก. ดาวฤกษ์ เนบวิ ลา ข. ดาวฤกษ์ กาแล็กซี่

ค. ดาวเคราะหเ์ นบิวลา ง. ดาวเคราะหก์ าแลก็ ซ่ี

8. ข้อความใดอธบิ ายความหมายของกาแลก็ ซี่ได้ถูกตอ้ งทส่ี ดุ ก.เปน็ กระจกุ ดาวคล้ายดาวแมงป่อง ข. เปน็ แถบเรืองๆ สวา่ งขาวพาดไปบนท้องฟา้ ค. กลมุ่ เมฆหมอกกอ้ นกลมมีลักษณะคล้ายจาน ง. ระบบของกลมุ่ ดาวต่างๆ รวมท้ังโลก ดาวเคราะห์ดาวฤกษ์ และอุกกาบาต

9.ธาตทุ เี่ ป็นองคป์ ระกอบมากที่สุดของดาวฤกษ์คอื ธาตใุ ด

ก. ธาตุคารบ์ อน ข. ธาตอุ อกซิเจน

ค. ธาตไุ ฮโดรเจน ง. ธาตุไนโตรเจน

10. เศษท่เี หลือจากดาวเคราะหย์ กั ษ์ จะเป็นสงิ่ ใด

ก. ดาวตก ข. ดาวหาง ค. อกุ กาบาต ง. ดาวประหลาด

ช่ือ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/2 ใบงานเรอ่ื ง การเคลอ่ื นทป่ี รากฏของดวงอาทติ ย์

คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาภาพต่อไปนีแ้ ล้วตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง

1.สุรยิ วถิ ี(Ecliptic) คือ เส้นทางการเคลื่อนทข่ี องดวงอาทิตย์ 2.วสันตวษิ ุวัต (อีควนิ อกซ์ฤดใู บไมผ้ ลิ) คอื ชว่ งเวลาทีด่ วงอาทติ ย์ขึน้ ทางทิศตะวนั ออก และตกทางทิศตะวนั ตกพอดี ทาใหก้ ลางวันและกลางคนื ยาวนานเท่ากัน พอย่างเข้าฤดหู นาวดวงอาทิตยจ์ ะเคลอื่ นที่ไปอย่ใู นซีกฟ้าเหนอื มากข้นึ ใต้ แต่ละวนั 3.ครีษมายนั (โซลสทิสฤดูร้อน) คือ ชว่ งเวลาทด่ี วงอาทิตยอ์ ย่คู ่อนไปทางทิศเหนอื มากที่สดุ ดวงอาทติ ยข์ น้ึ เร็วและ ตกช้า ทาใหซ้ ีกโลกเหนอื กลางวนั ยาวนานกว่ากลางคืน 4.ศารทวิษวุ ัต (อีควินอกซฤ์ ดใู บไม้ร่วง) คือ ชว่ งเวลาท่ีดวงอาทิตย์จะข้นึ ทางทศิ ตะวนั ออกและตกทางทศิ ตะวันตกพอดี อกี ครัง้ กลางวนั และกลางคืนยาวนานเทา่ กัน พอย่างเข้าฤดหู นาว ดวงอาทิตยจ์ ะเคลอื่ นทไี่ ปอยู่ในซกี ฟา้ ใตม้ ากขน้ึ ใน แตล่ ะวัน 5.เหมายัน (โซลสทิสฤดูหนาว) คือ ชว่ งเวลาท่ีดวงอาทติ ยอ์ ยคู่ ่อนไปทางทศิ ใต้มากที่สดุ ดวงอาทิตยข์ นึ้ ช้าและตกเร็ว ทาใหซ้ ีกโลกเหนอื กลางคนื ยาวนานกว่ากลางวัน หลงั จากนนั้ ดวงอาทติ ยจ์ ะเคลือ่ นท่กี ลับมายังเสน้ ศนู ย์สตู รฟ้าอกี ครง้ั

6. วนั ในข้อใดจะค่อนไปทางเหนือมากท่สี ดุ

ก. 21 มิถุนายน ข. 30 มิถุนายน

ค. 23 กนั ยายน ง. 22 ธันวาคม

7. วนั ในขอ้ ใดดวงอาทติ ย์จะค่อนไปทางใต้มากที่สุด

ก. 5 ธนั วาคม ข. 10 ธนั วาคม

ค. 10 มกราคม ง. 15 มกราคม

ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/3 ใบงานเรื่อง การเกิดข้างขึ้นข้างแรม

คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนแรงเงาแผนภาพข้างข้นึ ข้างแรมและเติมคาในช่องวา่ งใหส้ ัมพนั ธ์กนั

แรม8ค่า

แรม 11-12 คา่ แรม4-5คา่

แรม 15 คา่ ขน้ึ 15 คา่

ขนึ้ 4-5 ค่า ขึ ขน้ึ 11-12 ค่า

ขึ้น 8 ค่า

1. ขา้ งข้ึนข้างแรมเกิดจาก การท่ดี วงจนั ทร์ได้รบั แสงจากดวงอาทิตยเ์ กดิ เป็นดา้ นสว่าง และถูกเงา

บงั เกิดเปน็ ดา้ นมดื ซ่งึ ดวงจันทรจ์ ะโคจรเปล่ียน องศาไปเร่ือยๆ ทา ให้ทรงของดวงจันทร์เปลย่ี นไป

2. ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกใชเ้ วลา 29.5 วนั ในทศิ ทศิ เดยี วกนั กบั โลกหมนุ รอบตวั เอง

3. ข้างข้นึ จะใช้ด้าน สวา่ ง ของดวงจนั ทร์เปน็ ตัวกาหนด

4. ขา้ งแรม จะใช้ดา้ น มืด ของดวงจนั ทร์เปน็ ตวั กาหนด

5. คนื ทดี่ วงจนั ทรส์ วา่ งครึ่งดวง จะตรงกบั วนั ขน้ึ ๘ คา่ และ แรม ๘ ค่า

6. ปรากฏการณ์“แสงโลก” (Earth shine) คือ การที่ดวงจันทรป์ รากฏเปน็ เสย้ี วบาง แตย่ งั สามารถ

มองเห็นดา้ นมดื ของดวงจันทรไ์ ด้ เนือ่ งจาก แสงอาทิตย์ส่องกระทบพื้นผวิ โลกแลว้ สะทอ้ นไปยังดวง

จนั ทร์

7. ตามปฏทิ นิ จันทรคตใิ น 1เดอื นจะมีวันพระกว่ี ัน ได้แก่ 4 วนั วนั ขนึ้ 15 ค่า (ดวงจันทร์สว่างเต็มดวง),

วนั แรม 15 ค่า (ดวงจันทรม์ ืดทง้ั ดวง), วันแรม 8 ค่า และวันข้นึ 8 คา่ (ดวงจนั ทรส์ ว่างครงึ่ ดวง)

ชือ่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/3 ใบงานเร่ือง ปรากฏการณ์นา้ ขึ้น-น้าลง

คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นพิจารณาภาพตอ่ ไปนี้แล้วตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง

1. จากภาพ คอื ปรากฏการณ์ วนั น้าเกิด (spring tide) หมายถึง วันที่น้าข้ึนในระดับสงู มากทสี่ ดุ และ ลดลงในระดบั ทตี่ า่ มากท่ีสดุ เมื่อเทยี บกบั วนั อื่น ๆ ในรอบเดอื น 2. เหตกุ ารณ์ ในภาพจะเกดิ ขน้ึ ในวัน วันขึ้น 15 คา่ และวันแรม 15 ค่า

3. จากภาพ คือ ปรากฏการณ์ วันน้าตาย (neap tide) หมายถึง วันที่นา้ ขน้ึ ได้นอ้ ยทส่ี ดุ และลดระดบั ลงได้น้อยทส่ี ุดเมือ่ เทยี บกบั วนั อนื่ ๆ ในรอบเดือน 4. เหตุการณ์ ในภาพจะเกดิ ขึ้นในวนั วันขึน้ 8 ค่า และวนั แรม 8 คา่ 5. แรงไทดลั (Tidal force) คือ ความแตกตา่ งของแรงโนม้ ถ่วงซึง่ กระทาตอ่ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ของวัตถุชน้ิ เดียวกนั

ชอื่ ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/3 ใบงานเร่ือง เทคโนโลยอี วกาศ

คาชแ้ี จง จงเลือกคาตอบทถี่ กู ทสี่ ดุ

1.ขอ้ ใดไมใ่ ช่สว่ นประกอบของระบบขนส่งอวกาศ

ก.ถังเชอ้ื เพลิงภายนอก ข.ยานขนส่งอวกาศ

ค.จรวดเชอ้ื เพลงิ แข็ง ง.ยานขนส่งดาวเทียม

2.ผลของรา่ งกายในข้อใดท่ีไม่ไดเ้ กิดจากการดารงชีวิตในอวกาศ

ก.โลหติ จาง ข.หัวใจทางานชา้ ลง

ค.กล้ามเนอ้ื มีขนาดเล็กลง ง.กระดกู เปาะและแตกหักงา่ ย

3. ดาวเทียมดวงใดเปน็ ดาวเทียมดวงแรกทีส่ ่งข้นึ สอู่ วกาศ

ก.สปุตนิก ข.ไทรอส ค.NOAA ง.LANDSAT

4.ขอ้ ใดเปน็ สถานีอวกาศแห่งแรกของโลก

ก.สถานีอวกาศซลั ยตู ข.สถานอี วกาศสกายแล็บ

ค.สถานีอวกาศเมยี ร์ ง.สถานีอวกาศนานาชาติ

5.ดาวเทยี มสือ่ สารมีวถิ ีการโคจรอย่างไร

ก.วงโคจรค้างฟ้าเปน็ วงกลมในแนวระนาบกบั เส้นศูนยส์ ตู ร

ข.วงโคจรระดับต่า

ค.วงโคจรระดับสูง

ง.วงโคจรในแนวเหนือ-ใต้

6. ดาวเทียมขอ้ ใดเปน็ ดาวเทียมส่อื สารดวงแรกของประเทศไทย

ก.ไทยคม 1 ข.ไทรอส ค.ปาลาปา ง.คอสมอส

7 .ดาวเทียมสอ่ื สารจะโคจรในบรรยากาศชนั้ ใด

ก.สตราโตสเฟยี ร์ ข.เมโสสเฟียร์ ค.ไอโอโนสเฟยี ร์ ง.เอกโซสเฟียร์

8 .ดาวเทียมเฉพาะกจิ บางดวงทโ่ี คจรอย่รู อบโลก สามารถสารวจทรพั ยากรธรรมชาติบนพ้ืนโลก อยากทราบ

วา่ คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า ยา่ นใดท่ีดาวเทยี มตรวจจับ แม่น้าและปา่ ไม้ได้

ก.คลนื่ วทิ ยุ ข.รงั สีเอกซ์ ค. ไมโครเวฟ ง. รังสีอนิ ฟาเรด

9.ยานอวกาศสารวจดาวเคราะหท์ ่ี ไม่มี นักบนิ ควบคมุ คือข้อใด

ก.ยานลนู า ข.ยานมารเิ นอร์ ค.ยานเรนเยอร์ ง.ยานคอสมอส

10. ดาวเทยี มคา้ งฟา้ มีความหมายตรงกบั ข้อใด

ก.ดาวเทียมท่ีลอยนง่ิ ๆอยูใ่ นอากาศ

ข.ดาวเทยี มที่หนั ด้านเดียวเขา้ หาโลกตลอดเวลา

ค.ดาวเทียมทโ่ี คจรรอบโลก 1 รอบใชเ้ วลา 24 ชัว่ โมง

ง.ดาวเทียมทโ่ี คจรรอบโลก 24 รอบ ในเวลา 1 ชัว่ โมง

ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว3.1 ม.3/1

ใบงานเรอ่ื ง แบบฝึกหัดท้ายหนว่ ย

คาชแี้ จง จงเลือกคาตอบทถี่ กู ทส่ี ดุ 1.บคุ คลแรกทสี่ ร้างกล้องโทรทรรศน์ เพอ่ื งส่องดูดาวบนทอ้ งฟ้าคือใคร

ก.โจฮานส์ เคปเลอร์ ข.นโิ คลัส โคเปอร์นคิ ัส

ค.กาลิเลโอ ง.เฟรด ริบเบลิ

2.ตามนยิ ามของสมาพนั ธ์ดาราศาสตร์สากล ปัจจบุ นั ดาวดวงใดไม่เป็นดาวเคราะห์

ก.ดาวเสาร์ ข.ดาวยูเรนัส ค.ดาวเนปจูน ง.ดาวพลูโต

3.จากการสงั เกตดาวบนท้องฟ้าในแต่ละคืนพบวา่ ดาวเคล่อื นทจ่ี ากทิศตะวนั ออกไปยงั ทิศตะวันตกเน่ืองจาก

เหตผุ ลตามขอ้ ใด

ก.โลกหมุนจากทศิ ตะวันออกไปยังทศิ ตะวันตก ข.ดาวเคลือ่ นทจ่ี ากทิศตะวันออกไปยังทศิ ตะวนั ตก

ค.โลกหมนุ จากทิศตะวันตกไปยงั ทิศตะวนั ออก ง.ดาวเคล่อื นที่จากทศิ ตะวันตกไปยงั ทิศตะวนั ออก

4. ขา้ งข้นึ ข้างแรม เกิดจากสาเหตุใด

ก. วธิ ีสะท้อนแสงของดวงจันทร์ ข. แรงดงึ ดดู ของโลกทีด่ ึงดวงจนั ทร์ไว้

ค. ตาแหน่งท่ีมองเห็นดวงจนั ทร์ ง. การเอยี งของแกนโลก

5. เราจะมองเหน็ ดวงจันทรส์ ว่างเตม็ ดวงเมอ่ื ใด

ก. โลกอยู่ระหว่างดวงอาทติ ย์กบั ดวงจนั ทร์ ข. ดวงจันทร์อยรู่ ะหว่างโลกกับดวงอาทติ ย์

ค. ดวงอาทติ ยอ์ ยรู่ ะหว่างโลกกับดวงจันทร์ ง. ดวงจนั ทร์อย่ใู นแนวตง้ั ฉากระหว่างโลกกบั ดวงอาทติ ย์

6. ยานอวกาศท่ีไมม่ ีมนุษยค์ วบคุม เหมาะสาหรบั ใชส้ ารวจสง่ิ ใด

ก.ดวงจันทร์ ข.อกุ กาบาต ค.ดาวพุธ ง.ดาวเคราะหอ์ ืน่ ๆ ท่ไี มใ่ ชโ่ ลก

7. ข้อใดกลา่ วถูก

ก.เม่อื โลกอยใู่ นตาแหน่งท่ไี กลจากดวงอาทิตยท์ ส่ี ดุ จะเปน็ วนั ท่อี ากาศบนโลกหนาวเยน็ ที่สดุ

ข.เราจะเหน็ ดวงจันทรห์ น้าเดียว

ค.ดาวหางจะเรอื งแสงเมอ่ื โคจรมาอยู่ใกล้โลก

ง.การเกิดสุริยุปราคาเตม็ ดวงจะทาใหเ้ กิดพายุสรุ ิยะขน้ึ อยา่ งรุนแรง

8. การท่ีจรวดเดนิ ทางสู่อวกาศต้องประดษิ ฐ์จรวดเปน็ ช้ินๆ เพื่ออะไร

ก. แก้ปญั หาเร่อื งมวล ข. แก้ปัญหาเรอื่ งการขนยา้ ย

ค. สะดวกในการบรรจุเช้ือเพลิง ง. สะดวกในการถอดเกบ็ รกั ษา 9. ขณะทด่ี าวหางเคล่อื นท่ีไปจะสลดั ซากท่เี คยเปน็ องคป์ ระกอบของดาวหางไว้ เมอื่ ซากนี้หลุดเข้ามาใน

บรรยากาศของโลกและเสยี ดสีกับบรรยากาศจนลกุ ไหม้ แล้วตกลงมาถงึ โล ทาให้เกิดสิง่ ใด

ก. ดาวตก ข. ก้อนอุกกาบาต ค. ฝนอุกกาบาต ง. ฟ้าผ่าบรเิ วณขวั้ โลก

10. ขอ้ ใดผดิ

ก. ในเวลากลางวันจะเห็นดวงจนั ทรใ์ นช่วงเชา้ หรือชว่ งเย็น ข. ดาวพธุ และดาวศุกรไ์ มม่ ดี วงจันทร์เปน็ บรวิ าร

ค. ดาวเคราะห์ทม่ี องเห็นดว้ ยตาเปล่า คือ ดาวยูเรนสั และดาวเนปจูน ง. ดาวหางไมม่ ีแสงในตวั แอง

หนว่ ยที่ 3 ม.3

ปฏกิ ิรยิ าเคมี และวัสดุในชวี ิตประจาวัน

ชือ่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว2.1 ม.3/3

ใบงานเรื่อง การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี

คาชแ้ี จง ให้นักเรียนพจิ ารณาภาพตอ่ ไปนแี้ ลว้ ตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง

1. ปฏกิ ิริยาเคมีคอื อะไร กระบวนการท่สี ารตัง้ ตนเปล่ียนไปเปนผลติ ภัณฑ ท่ีมีองคประกอบทางเคมีแตกตางไปจากสารตงั้ ตนเดิม โดยในระหวางการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ปรมิ าณของสารตั้งตนจะลดลงและปริมาณของผลติ ภณั ฑ ก็จะเพิม่ มากขนึ้ 2. ปจจัยที่มผี ลตอการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีมีอะไรบาง ธรรมชาตขิ องสารตง้ั ตน พ้ืนทผ่ี ิว อุณหภูมิ ความเขมขนและตวั เรงปฏิกริ ิยา 3. ขอ้ สงั เกตการเกดิ ปฏิกริยาคือ สี กล่ิน ตะกอน ฟองแกส๊ เกดิ การระเบดิ หรอื เกิดประกายไฟ มีอุณหภมู เิ ปลย่ี น 4. ตวั เรงปฏิกิริยา คอื สารที่เพ่มิ เขาไปในในปฏกิ ริ ิยาแลวทาใหปฏกิ ริ ยิ าเกดิ เรว็ ขนึ้ และจะไดกลบั คืนมาหลงั ส้ินสดุ ปฏกิ ริ ิยา 5. จงยกตวั อยา่ งการเกิดปฏิกริยาเคมใี นชวี ิตประจาวนั ทม่ี กี ารเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี 1. ผลไมส้ ุก 2. การหายใจ 3. เหลก็ เป็นสนิม จงพิจารณาเหตกุ ารณ์ ตอ่ ไปน้ี เป็นหรือไม่เป็นปฏกิ รยิ าเคมีพรอ้ มเหตผุ ลประกอบ 6. น้าแขง็ ละลาย ไม่เปน็ เพราะ ยังเปน็ สารเดมิ แคเ่ ปล่ยี นสถานะ 7.การนารถไปพน่ นา้ ยากนั สนมิ ไม่เป็นเพราะเปน็ สารเดิมทไ่ี ปเคลือบอยู่บนตวั รถปอ้ งกนั การเกดิ ปฏกิ ริยาเคมีแทน 8. การแยกเกลอื ออกจากนา้ เกลอื ไม่เป็นเพราะ ยังเปน็ สารเดมิ แคเ่ ปลี่ยนสถานะ 9. การท่กี ล้วยที่วางไว้เปลือกบางลงและมจี ดุ ดา เป็นเพราะผลไม้สกุ มกี ารเปลย่ี นสี มีการเกดิ สารอาหารภายใน 10. ผสมน้าตาล น้า กับสผี สมอาหาร ไมเ่ ป็นเพราะแค่ละลายสารและเปล่ยี นสถานะ

ชอื่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน ว2.1 ม.3/3

ใบงานเรอื่ ง สมการเคมี

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างต่อไปนใี้ หถ้ กู ตอ้ ง 1.จงบอกความหมายของสญั ลักษณ์ตอ่ ไปน้ี

1.1 ใช้แสดงการเปล่ียนแปลงปฏกิ รยิ าที่ผนั กลบั ไม่ได้

1.2 ใช้แสดงการเปลีย่ นแปลงทผ่ี ันกลับได้

2.สญั ลกั ษณก์ ารบอกสถานะในสมการเคมีคือ

(s) สถานะของแขง็ (solid) (l) สถานะของเหลว (liquid)

(aq) สารละลายทมี่ นี า้ เปน็ ตวั ทาละลาย (aqueous) (g) สถานะแกส๊ (gas)

3.จงบอกสตู รสารเคมีหรือช่อื สามัญของสารเคมตี อ่ ไปน้ี

3.1 H2O = น้า 3.7 ปรอท = Hg 3.2 O2 = แกส๊ ออกซเิ จน 3.8 ดา่ งทบั ทมิ = KMnO4 3.3 Fe = เหล็ก 3.9 กรดเกลอื = HCl

3.4 Cao = ปูนขาว 3.10 จุนสี = CuSO4 3.5 H2 = แกส๊ ไฮโดรเจน 3.11 เกลือแกง = NaCl 3.6 CaCO3 = หินปูน 3.12 โซดาไฟ = NaOH 4. จงดลุ สมการทกี่ าหนดใหต้ อ่ ไปนี้

  1. _H2O2(aq) _H2O(l) + O2(g) 2H2O2(aq) 2H2O(l) + O2(g)
  1. _Fe(s) + _O2(g) _Fe2O3 4Fe(s) + 3O2(g) 2Fe2O3
  1. _NH3(g) + _NO _+_ H2O (l) 4 NH3(g) + 6NO 5N2 + 6H2O(l)
  1. B2O3(s) + _H2O (l) _H3BO3 (aq) B2O3(s) + 3H2O (l) 2H3BO3 (aq) _H2O(l) + _CO2(g)
  2. C3H8(g) +_O2(g) 4H2O(l) + 3CO2(g) C3H8(g) + 5O2(g)

ชื่อ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน

มาตรฐาน ว2.1 ม.3/4-5

ใบงานเรอ่ื ง มวล พลงั งานกับการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี

คาชแ้ี จง จงจบั คคู่ วามสัมพนั ธ์ของขอ้ ความและตวั อกั ษร

ก.กฎทรงมวล ข.ระบบปิด ค.ระบบเปดิ

ง.ปฏิกริ ิยาคายพลังงาน จ. ปฏิกิรยิ าดูดพลังงาน

.......ข......... 1. หมายถงึ ระบบทไ่ี ม่มีการถา่ ยเทหรอื แลกเปลย่ี นมวลสารกบั สงิ่ แวดล้อมทาให้มปี รมิ าณ มวลสารในระบบเท่าเดมิ

.......ค......... 2. หมายถึง ระบบที่มีการถ่ายเทหรือแลกเปลย่ี นมวลสารกบั สิ่งแวดลอ้ มทาใหม้ ีปริมาณ มวลสารในระบบลดลงหรือเพ่ิมข้ึน

.......ง......... 3. ปฏิกิริยาเคมีทผี่ ลติ ภณั ฑ์มีพลังงานตา่ กวา่ สารตง้ั ต้น .......จ......... 4. ปฏกิ ริ ิยาเคมีที่ผลติ ภณั ฑม์ ีพลังงานสงู กวา่ สารตนั้ ตน้ .......ก......... 5. ใช้ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างมวลสารก่อนเกดิ ปฏิกริ ยิ า และมวลสารภายหลงั เกดิ ปฏิกริ ิยา

จงพิจารณาภาพต่อไปนแี้ ลว้ บอกชอื่ ปฏิกริยาของทงั้ สองภาพ

ปฏกิ ิรยิ าคายพลังงาน ปฏกิ ริ ยิ าดดู พลังงาน

ชื่อ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน

มาตรฐาน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/5 ใบงานเรือ่ งปัจจั ปัจจัยที่มผี ลต่อการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีเคมี

คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นเติมคาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งตอ่ ไปน้ีใหถ้ กู ตอ้ ง

1.ปัจจัยตอ่ ไปน้สี ่งผลอย่างไรต่อการเกดิ ปฏกิ ิริยา จงอธิบาย 1.1 ธรรมชาติของสารตั้งต้น และผลิตภณั ฑ์ ความเร็วหรอื ช้าของการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมจี ะขึน้ อย่กู บั สภาพธรรมชาตขิ องสารเหลา่ นนั้ เชน่ สารประเภทไอออนกิ ท่ีเขา้ ทาปฏิกริ ิยากันจะเกิดความเรว็ ของปฏิกิรยิ าได้ดีกวา่ สารทีเ่ ปน็ โควาเลนท์ หรอื สารทาปฏิกิรยิ าทีเ่ ป็นกา๊ ซจะทาปฏกิ ิรยิ าได้เรว็ กว่าสารที่มีสถานะอ่ืน 1.2 ความเขม้ ข้นสารตง้ั ต้น และผลิตภณั ฑ์ ความเร็วของปฏิกริ ยิ าจะแปรผนั ตามความเขม้ ข้นของสารตงั้ ต้น และจะแปรผกผันกับความเขม้ ขน้ ของ- สารผลิตภณั ฑ์ กล่าวคอื เมือ่ ปรมิ าณสารตั้งตน้ มมี ากอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยากจ็ ะเร็ว และเม่ือเวลาผา่ นไป ปริมาณสารตงั้ ต้นลดลง ปฏิกิริยากจ็ ะคอ่ ยๆลดลงตามปริมาณผลิตภัณฑ์ทเ่ี พ่มิ ขึน้ 1.3 พนื้ ทผี่ ิว พื้นท่ผี ิวของสารจะเปน็ จดุ ของการเกิดปฏกิ ริ ิยา หากสารมพี ื้นทีผ่ ิวมากกจ็ ะทาใหเ้ กิดปฏกิ ริ ยิ าไดเ้ ร็วขน้ึ เชน่ การทาปฏิกิริยาของหินปูนกบั กรดไฮโดรคลอรกิ จะได้ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ หากหินปนู มีความละเอียดเปน็ ผงขนาดเลก็ มีพืน้ ทผี่ วิ มากก็ย่อมทาปฏิกิรยิ ากับกรดไฮโดรคลอรกิ ได้อย่างรวดเรว็ 1.4 อณุ หภูมิ อุณหภมู ิถือเปน็ ปัจจัยหนงึ่ ท่ชี ว่ ยกระตุ้นความเร็วของการเกดิ ปฏิกิริยา เมื่ออุณหภมู สิ ูงขนึ้ อนุภาคของ สารตัง้ ตน้ จะมพี ลงั งานจลนเ์ พม่ิ ขึ้นทาให้ชนกันแรงขึ้น ดงั นั้นปฏิกิรยิ าจะเกดิ เรว็ ข้นึ แต่ถ้าอณุ หภมู ิต่า พลงั งานจลนข์ องสารตั้งต้นจะลดลง อนภุ าคของสารต้งั ต้นชนกันไมแ่ รง จงึ มีพลงั งานไม่สงู พอทีจ่ ะทาให้ เกิดปฏิกริ ิยาเคมี 1.5 ความดัน ความดันท่ีเกยี่ วข้องกับอัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมมี กั พบมากในสารท่ีเปน็ ก๊าซ เพราะการเพิ่มความดนั ให้กา๊ ซจะทาให้โมเลกุลของก๊าซเกดิ การชนกัน 1.6 ตวั เร่งปฏกิ ริ ิยาหรือคะตะไลส์ (Catalyst) มีสมบัติดังน้ี

  1. ชว่ ยเรง่ ปฏกิ ิริยาให้เกดิ เร็วข้นึ
  2. ใสล่ งไปเพยี งเล็กน้อย เมื่อส้ินสุดปฏกิ ิริยายังคงมสี มบตั ิเหมือนเดิมและมีปริมาณเท่าเดมิ
  3. ปฏิกริ ิยาชนิดหน่ึงอาจมสี ารท่ีใชเ้ ป็นตวั เร่งปฏกิ ิริยาต่างจากปฏกิ ิรยิ าชนิดอนื่ 1.7 ตวั หน่วงปฏกิ ิรยิ า เป็นสารที่เตมิ ลงไปในปฏิกริ ยิ าโดยทส่ี ารเหล่าน้จี ะไม่มีผลต่อการเกดิ ผลิตภัณฑ์ของปฏกิ ิรยิ า แต่จะมผี ล ไปเพมิ่ คา่ พลงั งานกอ่ กมั มันตข์ องปฏกิ ริ ยิ า จงึ ทาใหส้ ารเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าไดย้ ากข้นึ หรอื มผี ลยับยั้งการเกิด ปฏกิ ิริยาแลว้ ตัวหน่วงปฏิกริ ิยาทางเคมีและมีมวลเท่าเดิม แตอ่ าจมสี มบัติทางภาพบางอยา่ งเปลีย่ นแปลงไป

ชอ่ื ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/6 ใบงานเรือ่ ง เปฏิกริ ิยาเคมรี อบตัว

คาชแี้ จง จงตอบคาถามและเติมสมการปฏกิ รยิ าเคมีตอ่ ไปนใี ห้สมบรู ณ์

1. 4Fe (s) + 3O2 (g) H2O 2Fe2O3. + H2O (s) น่คี อื ปฏกิ ริยาของ การเกดิ สนมิ

เป็นปฏิกรยิ าท่ีดหี รือไม่ดมี วี ิธกี ารปอ้ งกันหรือไม่

สามารถปองกนั การเกดิ สนมิ เหล็กไดโดยไมใหเหลก็ สมั ผสั กับแกส ออกซิเจน และความชนื้ ในอากาศ

เชน การนาตะปูเหลก็ ไปแชนา้ มนั ทาดวยน้ามัน ฉาบดวยดบี กุ หรอื สังกะสี

2. 2NaHCO3 (s) ความรอ้ น Na2CO3 (aq) + CO2 (g) + H2O (l) น่คี อื ปฏิกริยาของ ผงฟูซ่งึ มโี ซเดยี มไฮโดรเจนคารบอเนตเปนสวนประกอบ เป็นปฏิกรยิ าทีด่ หี รือไม่ดีมวี ธิ ีการปอ้ งกันหรือไม่ เปน็ ปฏกิ ริยาท่ีดี ใช้เปน็ สว่ นผสมในการทาขนมโดยใชผงฟูซ่ึงมโี ซเดยี มไฮโดรเจนคารบอเนตเปน สวนประกอบ เม่ือนาไปอบ แกสคารบอนไดออกไซดจะทาใหขนมมีโพรงอากาศอยู และพองฟูข้นึ

3น.่คี 6ือCปOฏ2ิก(gร)ยิ +าข1อ2งH2Oก(รl)ะบวนคกลอาแโรสรสงฟังิลเคล์ราะหด์Cว้6Hย1แ2Oสง6 (s) + 6H2O(l) + 6O2 (g) (photosynthesis)

เป็นปฏกิ รยิ าทดี่ หี รือไม่ดมี วี ธิ กี ารปอ้ งกันหรือไม่

เปน็ กระบวนการสรา้ งอาหารของพชื สเี ขยี ว โดยมีคลอโรฟลิ ลท์ าหนา้ ทด่ี ดู พลงั งานแสงจากดวงอาทติ ย์

แลว้ เปลย่ี นสารวัตถดุ บิ คอื นา้ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็น นา้ ตาลกลูโคส น้า และ แก๊สออกซเิ จน