น ยายวาย ไม ม ใครต องการ จบแล ว

การ สวดมนต์ มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ช่วยให้จิตเป็นสมาธิ ช่วยให้ใจเย็นลง มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ขณะที่สวดมนต์อย่างตั้งใจความทุกข์ในใจจะเบาบางลงชั่วขณะหนึ่ง หรือคนที่สวดมนต์โดยมีเจตนาอยากสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า จิตก็จะเป็นสุขและได้บุญ แต่ก็มีคนตกหลุมพรางบางอย่างเวลาสวดมนต์ ซึ่งจะยิ่งทำให้เรายิ่งห่างไกลพระพุทธศาสนา

เร่งความเร็วเพื่อทำรอบให้ สวดมนต์ ได้เยอะๆ

น ยายวาย ไม ม ใครต องการ จบแล ว

บางคนเน้น สวดมนต์ ให้ได้ยาวๆ หรือสวดให้ได้หลายๆรอบ ซึ่งเป็นการสวดมนต์ด้วยใจที่รีบเร่ง แทนที่จะทำให้ใจเย็นลง การสวดมนต์แบบนี้จะยิ่งทำให้ใจร้อนมากขึ้นและโกรธง่าย โดยเฉพาะเวลาไม่ได้ดั่งใจ

เราจึงควรสวดมนต์ด้วยความเร็วที่เหมาะสม และไม่ควรมุ่งเน้นไปที่ปริมาณการสวด แต่ควรเน้นไปที่ความสงบของจิตใจ

ใจลอยตลอดการสวดมนต์

น ยายวาย ไม ม ใครต องการ จบแล ว

บางคนจิตไม่ได้จดจ่ออยู่กับบทสวด แต่กลับฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่น การสวดมนต์แบบนี้จะยิ่งทำให้เป็นคนเหม่อลอย ไม่มีสมาธิมากยิ่งขึ้น

เราจึงควรรวบรวมสมาธิและจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์

สวดมนต์ด้วยความคาดหวัง

น ยายวาย ไม ม ใครต องการ จบแล ว

บางคนสวดมนต์ด้วยความคาดหวังว่าบทสวดมนต์จะทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ เช่น ร่ำรวย สมหวังในความรัก สุขภาพดี มีความสุข เสริมชะตา แก้กรรม สะเดาะเคราะห์ การทำไปด้วยความคาดหวังแบบนี้ก็ไม่ต่างจากความเชื่อของศาสนาอื่นที่มีกิจกรรมการสรรเสริญพระเจ้า เพื่อคาดหวังให้พระเจ้าบันดาลสิ่งที่เราต้องการ

การสวดมนต์เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการนั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และไม่ทำให้เราได้สิ่งที่ปรารถนา การทำด้วยความเชื่อแบบนี้จึงขัดแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระองค์สอนว่า หากเราต้องการอะไรให้ลงมือทาเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

เราจึงควรสวดมนต์โดยมุ่งเน้นไปที่การสรรเสริญพระพุทธเจ้า ด้วยจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงจะเป็นการสวดมนต์ที่ถูกทาง

ชอบสวดมนต์แต่ไม่เลิกทำบาป

น ยายวาย ไม ม ใครต องการ จบแล ว

คนจำนวนมากได้แต่สวดมนต์ แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เขาจึงเป็นคนที่บาปก็ยังทำ ศีลก็ไม่มี บุญกิริยาวัตถุ 10 ก็ไม่ค่อยทำ

หากใครสวดมนต์แล้วเป็นแบบนี้ ก็แปลว่าเขาเป็นคนสวดมนต์ที่กำลังออกห่างจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราไม่ควรจะตกหลุมพรางแบบนี้เด็ดขาด

รถตู้แบบเช่าคันหนึ่งกับรถกระบะอีกคันเคลื่อนเข้าสู่รอบรั้วมหาวิทยาลัยอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วไปจอดอยู่ในที่จอดรถไม่ไกลจากบริเวณหอพักนักศึกษาปีหนึ่งเท่าไรนัก ร่างสูงในเสื้อยืดกางเกงยีนส์ก้าวลงมาเป็นคนแรกหลังจากบานประตูรถเปิดออก ตามมาด้วยหญิงชายวัยกลางคนซึ่งเป็นบิดามารดา คุณตาคุณยาย และเด็กหญิงฝาแฝดวัยแปดขวบอีกสองคนที่แต่งตัวเหมือนกันเปี๊ยบ

ชายวัยกลางคนอีกคนขับรถกระบะตามเข้ามาจอด พอเขาก้าวลงจากรถ เด็กหนุ่มกับบิดาก็เดินเข้าไปช่วยเคลื่อนมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่บนหลังรถกระบะลง

“ขอบคุณครับอากล้า”

“อือ ขับระวังๆ นะเมฆ ถ้ารถมีปัญหาต้องโทรเรียกอาทันทีนะรู้มั้ย”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ในที่จอดมอเตอร์ไซค์ในลานจอดรถที่อยู่ใกล้ๆ เสร็จแล้วจึงเดินไปเปิดประตูหลังรถตู้ ยกเป้ขึ้นสะพายบ่าทั้งสองข้าง จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเดินทางใบโตแบบมีล้อเลื่อนลงมา

“ส่งผมตรงนี้ก็ได้”

เสียงสะอึกสะอื้นดังแว่ว เมฆถอนหายใจเมื่อหันไปพบกับน้องสาวทั้งสองคนที่กำลังยืนร้องห่มร้องไห้ เนื่องจากต้องลาจากพี่ชายของพวกเธอ ทั้งพี่ชายคนโตที่ได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พี่สาวคนรองที่ได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลีย แล้วนี่ตัวเขาก็ต้องแยกออกมาอยู่หอพักนักศึกษาอีก

เมฆโอบกอดน้องสาวทั้งสองคนไว้ในอ้อมแขน เขาจูบแก้มพวกเธอเบาๆ “คิดถึงก็โทรมาได้ตลอดนี่ แป๊บเดียวก็ปิดเทอม แล้วพี่จะรีบกลับบ้านไปหา ไม่เอา อย่าร้องไห้น่ะ”

ฟ้าและฝนเป็นชื่อของน้องสาวฝาแฝดของเด็กหนุ่ม ใบหน้าน่ารักของเด็กหญิงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา แต่ก็เม้มปากแล้วพยักหน้ารับ

ระหว่างนั้น มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแทรก มารดาหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสาย แล้วส่งให้กับลูกชาย “พี่เดือนโทรมาแน่ะลูก”

เมฆรับโทรศัพท์มาพูดคุยสั้นๆ รับปากกับเธอเป็นครั้งที่ร้อยว่า “ครับๆ จะไม่ดื่มเหล้าจนเสียการเรียนเด็ดขาดครับ” พอวางสายไป ยังไม่ทันไรพี่ชายคนโตก็โทรเข้าที่โทรศัพท์ของตน พี่ชายเองก็เป็นศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เมื่อเมฆกดรับสาย ที่ปลายสายก็บูมมาเสียงดัง พร้อมกับออกคำสั่ง “เชื่อฟังอาจารย์ รักเพื่อนพ้อง เข้าประชุมเชียร์ให้ครบ รับเกียร์มาให้ได้ มันเป็นความภูมิใจของพวกเรา!”

“ครับพี่หมอก!”

หลังจากคู่พี่น้องบ้าพลังวางสายกันไปแล้ว เด็กหนุ่มก็หันมายกมือไหว้ทุกคนที่ตามมาส่งเพื่อร่ำลา

“นอนห่มผ้า กินข้าวให้ครบสามมื้อด้วยนะลูกนะ”

“เอาหยูกยามาพร้อมแล้วใช่มั้ย เอ้านี่ ตากับยายให้เงินไว้เผื่อฉุกเฉินนะ” คุณตาหยิบเงินส่งให้ ขณะที่คุณยายโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ “ไม่ต้องรีบเอาเมียนะเมฆ นอนกอดเกียร์แทนเมียไปก่อนนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ยกมือไหว้ทุกคนอีกครั้ง “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ จบเทอมแล้วจะเอาเกรดเอล้วนๆ กลับไปฝาก” เขายืนรอให้บิดามารดาและคุณตาคุณยายก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อย แล้วจึงหันไปอุ้มน้องสาวขึ้นรถให้ทีละคน

“อย่าดื้อกับแม่นะ ไม่งั้นพี่จะไม่รักรู้มั้ย”

“ค่ะ” ตอบไปพลางน้ำตาไหลพรั่งพรู จนคนเป็นพี่เองก็ชักจะใจแป้ว

เมฆรีบปิดประตูรถ ก่อนที่น้องสาวที่รักทั้งสองจะร้องไห้ออกมาดังๆ เขาคงยิ่งลำบากใจ ก่อนจะหักใจยกกระเป๋า เดินออกไปจากรถที่จอดอยู่โดยเร็ว

เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเดินจนกระทั่งเพื่อนสนิทอีกสองคนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนักก้าวเข้ามาขวาง “เฮ้ย! ไอ้เมฆ ลืมตาเดินหน่อยโว้ย”

“อ้าว พวกมึงมากันแล้วเรอะ”

“เออสิวะ ยืนรอมึงบอกลาญาติๆ มึงนานแล้วด้วย กูไปดูมาให้แล้วนะ มึงได้อยู่หอสิบ โชคดีของมึง ใกล้ที่จอดรถเลย”

“เออ ดีว่ะ แล้วพวกมึงอยู่หอไหน”

“ไอ้ตำลึงได้หอห้า กูอยู่หอเก้า แต่มึงเอ๊ย... ปีหนึ่งเขาให้อยู่ห้องละสี่คน กูอยากจะบ้า”

“ทำไมวะ ว่าวไม่สะดวกรึไง” เมฆถามกลั้วหัวเราะ

“เออสิวะ ของกูต้องเคารพธงชาติทุกเช้าด้วย” แหนมตอบอย่างไม่พอใจนัก “เมตกูทำหน้าตกใจมากตอนเห็นกูหยิบกระทะไฟฟ้าออกมาซุกไว้ใต้เตียง”

“เหย เแล้วเมตมึงว่าอะไรรึเปล่า”

“มันว่า... มันจะขอฝากหม้อหุงข้าวไว้ใต้เตียงกูด้วยได้มั้ย เพราะเตียงมันอยู่ชั้นบน”

“โอ้โห ห้องมึงนี่...” เมฆครางอย่างอิจฉา “ถ้าพวกมึงทำไรแดกต้องเรียกกูด้วยนะ”

ตำลึงพูดบ้าง “ก่อนมึงจะมานี่ มันก็จัดมาม่าผัดซีอิ้วกันไปแล้ว เออ... พวกกูไปเดินสำรวจในสวนสมุนไพรหลังตึกวิศวะมาแล้วด้วยนะ แหล่งอาหารเลยมึง”

“ฮะ!?”

“มีทั้งมะม่วง มะละกอ กล้วย ไผ่ มีหน่อไม้ด้วย แล้วบนต้นมะม่วงนะมึง มดแดงเพียบเหอะ”

เมฆขมวดคิ้ว “ไอ้พวกเหี้ย! มึงมาเรียนหรือมาออกรายการเซอร์ไวเวอร์ (Survivors) วะ”

“พูดงี้มึงจะไม่แดก?”

“แดกสิครับ กูขอโทษ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้เพื่อนรักทั้งสองปลกๆ “ว่าแต่มื้อเย็นนี่ทำไร กูเอาขนมหวานมาจากบ้านด้วย แต่ไม่มีน้ำแข็งนะมึง”

“มื้อเย็นกูซื้อข้าวหน้าเป็ดมาเผื่อพวกมึงสองคนแล้ว”

เมฆกระโดดกอดคอเพื่อนรัก “สุดยอด... ไอ้ตำลึง กูรักมึง”

ระหว่างพูดคุยกันไป สามหนุ่มเดินผ่านซุ้มกิจกรรมที่พวกรุ่นพี่นั่งรวมกันอยู่ไปช้าๆ แถบนั้นมีเสียงกลองตึงตังดังคละเคล้าเสียงร้องเพลงดังกึกก้อง สายตาสามคู่จับจ้องไปที่นั่นเขม็ง พวกเขาจำรุ่นพี่บางคนได้เพราะเคยพบกันเมื่อครั้งที่มารายงานตัว กลุ่มผู้ชายหนวดรุงรัง ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์ ส่งเสียงดังโวยวายและท่าทางเถื่อนๆ หน่อยตรงนั้นนั่นล่ะ รุ่นพี่คณะพวกเขา

“รีบเอาของไปเก็บเถอะมึง เขานัดรวมตอนสี่โมง เดี๋ยวจะได้ไปรายงานตัวแล้วเอาด้ายผูกข้อมือ” ตำลึงตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ

เมฆพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินเข้าตึกหอพักไปพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคน

นภนต์ โชติพิจารณ์ หรือ เมฆ เป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี คณะวิศวกรรมศาสตร์รุ่นที่ 47 สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก หากเพราะมหาวิทยาลัยแห่งใหญ่แห่งนี้ อยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว มีบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล จากพื้นราบยาวไปถึงชายทะเล นักศึกษาของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จึงจำเป็นที่จะต้องอยู่หอพักตลอดระยะเวลาการเรียน

เด็กหนุ่มเป็นคนตัวสูงและชอบเล่นกีฬา เขาเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเมื่อสมัยอยู่โรงเรียนเก่า แต่ที่จริงก็ชอบเล่นกีฬาไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล แบตมินตัน เทนนิส หรือว่ายน้ำ เขาจึงมีรูปร่างที่สมส่วน มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย ใบหน้าเล็กรูปไข่ คิ้วเรียว นัยน์ตาโตสีดำขลับ จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากรูปกระจับเป็นอย่างดี จัดว่าหล่อเหลาเอาการ ดูดีที่สุดในบ้านจนใครๆ ก็พากันหวง

แต่เดิมเมฆเป็นคนที่มีผิวขาวเนื่องจากทางฝ่ายบิดามีเชื้อจีน หากเพราะชอบเล่นกีฬากรำแดด ตามแขนขาและใบหน้าจึงมีสีคล้ำลงไปบ้าง ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับภาพลักษณ์มากนัก เมฆเป็นนักเรียนเรียนดี ครอบครัวของเขาสมองดีกันทั้งบ้าน เพราะงั้นจะเรียกว่าเขาเป็นเด็กเนิร์ดก็คงได้ แต่บังเอิญหน้าตาค่อนไปทางดี ประกอบกับที่เป็นนักกีฬา เด็กหนุ่มจึงเป็นที่รู้จักและรักใคร่ของทุกคนในโรงเรียน ไม่เว้นทั้งหญิงและชาย

“ไอ้เมฆ มึงนี่เด่นจริงๆ มีแต่คนหันมองตาม” ตำลึงพูดขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งสามคนเดินไปยังสถานที่นัดประชุมรวม

“กูรู้แล้ว ก็คนมันหล่อไง อิจฉาเหรอมึง” เมฆยิ้มกริ่มอย่างพอใจ

แหนมเบะปากแล้วเสริมให้ “แค่เกิดมาตัวสูง หน้าตาพอไปวัดไปวาได้หน่อยเท่านั้นแหละ กูไม่อิจฉามึงหรอก เพราะหน้าอย่างมึงเนี่ยจะเป็นที่รักของพี่ว้ากมากกว่า”

“มึงคิดว่ากูกลัวเรอะ”

เด็กปีหนึ่งแต่ละคนมีด้ายสีตามคณะผูกข้อมือไว้เพื่อให้แยกแยะคณะกันได้ สำหรับวิศวะนั้นเป็นสีแดง หลังจากจัดแบ่งกลุ่มคละคณะสำหรับการรับน้องรวมในวันรุ่งขึ้นเรียบร้อยแล้ว ก็มีการแนะนำตัวกันและทำความรู้จักกับรุ่นพี่ประจำกลุ่ม เมฆกับตำลึงได้อยู่กลุ่มเดียวกัน กลุ่มของเขามีจำนวนผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิงอยู่เล็กน้อย สมาชิกในกลุ่มส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ทุกคนก็ดูเป็นกันเองดี สักพักจึงมีการแนะนำให้รู้จักรุ่นพี่ที่คุมฐานต่างๆ อย่างคร่าวๆ

ขณะที่นั่งฟังกลุ่มของรุ่นพี่ที่เข้ามาแนะนำแต่ละฐาน ไปจนถึงฐานสุดท้ายซึ่งเป็นของรุ่นพี่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สายตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มรุ่นพี่อีกกลุ่มที่นั่งอยู่อย่างเงียบเชียบทางด้านหลัง เขาจำได้ว่าส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นเป็นรุ่นพี่จากคณะวิศวกรรม แต่ละคนรูปร่างใหญ่ หนวดเฟิ้ม ผมยาวรุงรัง ดวงตาฉายแววแข็งกร้าวดูน่ากลัว แม้ว่าบรรยากาศและกลุ่มพี่ฐานจะพูดคุยกันสนุกสนานเพียงไร หากพวกรุ่นพี่ในกลุ่มนั้นก็ยังคงสีหน้าเยือกเย็น ดูจากหน้าตาและท่าทาง เขามั่นใจว่ารุ่นพี่กลุ่มนี้จะต้องกลายเป็นพี่ว้ากหลังจากเปิดเทอมไปแน่ๆ

สายตาของเมฆไปหยุดนิ่งอยู่ที่รุ่นพี่คนหนึ่งในกลุ่มนั้น ซึ่งเขาคิดว่าประหลาด... ไม่เข้าพวกกับใครเอาเสียเลย เพราะรุ่นพี่คนนั้น ท่าทางสำอางไม่เบา เนื้อตัวดูสะอาดสะอ้าน ผิวขาวออร่าเหมือนรับประทานหลอดนีออนเข้าไป แต่งกายเนี้ยบด้วยของแบรนด์เนมจากศีรษะจรดปลายเท้า ผมเผ้าเรียบร้อยเป็นทรง ดวงตาเรียวเป็นรูปเมล็ดอัลมอนด์ จมูกโด่งรับกับใบหน้า... ซึ่งคงจะต้องเรียกว่า ใบหน้าสวยคมแบบไอดอลที่เขาเคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงที่โรงเรียนเก่ากรีดร้อง ตะโกนเรียกว่าโอปป้านั่นล่ะ

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางจ้องมองไปทางรุ่นพี่คนนั้น โดยที่ไม่ได้สนใจฟังรุ่นพี่ฐานพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย

“มองอะไรวะไอ้เมฆ” เพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ กันสะกิด ก่อนจะมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป “พี่คนที่กำลังเดินมาทางนี้น่ะเหรอ”

“อือ”

ตำลึงหันมองไปรอบๆ ตัว แล้วพบว่าสายตาของเพื่อนจากชั้นปีหนึ่งต่างก็จ้องมองไปทางนั้นเช่นกัน ส่งเสียงกระซิบกระซาบกันหึ่งๆ ราวกับผึ้งแตกรัง

หนึ่งในรุ่นพี่จากฐานสุดท้ายประกาศชื่อและแนะนำตัวพี่ฐานทีละคน แต่ระหว่างที่ประกาศชื่อไป เขาก็เห็นว่าสายตาของรุ่นน้องทั้งหลายพุ่งตรงไปทางด้านหลัง ส่งเสียงฮือฮากันเป็นระยะๆ พอหันมองตามพวกรุ่นน้องไป จึงเห็นว่าชายหนุ่มคนที่ตกเป็นเป้าสายตากำลังเดินตรงเข้ามา แล้วส่งแผ่นกระดาษให้รุ่นพี่อีกคนหนึ่งในฐาน

“อยากรู้จักกันล่ะซี่” พี่ฐานที่ถือไมค์อยู่ถามขึ้นอย่างรู้ใจ

เพียงแค่นั้นก็มีเสียงกรีดร้องของสาวๆ ทั้งแท้และเทียมดังก้อง จนพวกหนุ่มๆ ต้องยกมือขึ้นปิดหู

“จะบอกดีมั้ยน้า”

“บอกกกก~”

พี่ฐานหันไปขออนุญาตเจ้าตัว “บอกได้มั้ยครับ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นห้าม ก็รีบพูดต่อ “บอกได้มั้ยคร้าบบบ พี่น้ำ...”

ริมฝีปากบางเฉียบของเจ้าของชื่อนั้นกระตุกยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย ก็ในเมื่อบอกชื่อเขาออกไปแล้วยังจะต้องลีลาอะไรอีก ชายหนุ่มจึงยืนนิ่งปล่อยให้พี่ฐานแนะนำตนเองไป

“นี่พี่น้ำ คณะมนุษย์ฯ ปีสี่ครับ”

เขายกมือขึ้นทักทายเล็กน้อยเท่านั้น แล้วสีหน้าก็ปรับเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิท จากนั้นจึงเดินกลับออกไปยังกลุ่มรุ่นพี่หน้าโหดที่อยู่ทางด้านหลัง

“หล่อฉิบหายเลยเนอะ” ตำลึงใช้ข้อศอกกระทุ้งเพื่อนรักเบาๆ “กูว่ามึงหน้าตาดี๊ดีแล้ว เจอพี่น้ำนี่เข้าไป มึงกลายเป็นตัวประกอบระดับสามวิ่งทั้งวันค่าแรงสามร้อยเลยว่ะ”

“ค่าแรงสามร้อยเองเหรอวะ!” เมฆโวยวาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นไม่ใช่ประเด็น “มึงว่าพี่เขาหล่อกว่ากูเรอะ ไอ้ตำลึง ไอ้ตาบอด ไอ้เพื่อนทรยศ!”

เสียงจากไมค์ในมือของรุ่นพี่ดังขึ้นแทรก “เอ้า! น้องๆ ลุกๆ แยกย้ายกันไปกินข้าวซะ เสร็จแล้วรีบเข้านอนล่ะ พรุ่งนี้ต้องมาพร้อมกันที่นี่ตีห้านะครับ”

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้น หากก็ยังไม่วายลอบมองตามรุ่นพี่ตัวขาวคนนั้น เขาเห็นว่าพวกรุ่นพี่คณะตนเข้าไปโอบไหล่อย่างสนิทสนม กระซิบกระซาบจนใบหน้าแทบจะชิดติดกัน แล้วพากันเดินออกไป

...แปลกจริงๆ ทำไมถึงมาสนิทกันได้ ทั้งที่อยู่คนละคณะกันแบบนั้น

“ติดใจอะไรพี่เขาวะ อิจฉาที่เขาหล่อกว่ามึงใช่ปะ” เพื่อนสนิทแซว

“กูว่าก็ดูดีกันคนละแบบนะ” เสียงแว่วมาจากแหนม เพื่อนรักอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ “มึงก็หล่อแล้วไอ้เมฆ อย่างน้อยมึงก็ดึงมาตรฐานของภาคเราให้สูงขึ้นได้บ้าง เพราะงั้นใช้ความหล่อของมึงให้เป็นประโยชน์ด้วย ไปขอเบอร์สาวให้กูหน่อย”

“ไอ้ห่า เมื่อกี้มึงไม่ได้พูดแบบนี้นี่ แล้วหน้าม่อตั้งแต่วันแรกเลยนะมึง ไม่เอาเว้ย!”

“ถุย... กูอุตส่าห์เสียปากชม...” แหนมบ่นพึมพำ “ช่างแม่ง งั้นรีบไปแดกข้าวหน้าเป็ดกันดีกว่า”

ขณะที่เดินกลับหอพัก มีแสงสว่างแปลบปลาบมาจากบนท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องครืนๆ แล้วฝนก็เทกระหน่ำลงมา ตามทางเดินกลับไปที่หอพักนั้นมีหลังคา ทว่าเมื่อมีลมพัดกระโชก สายฝนก็สาดเข้ามาเป็นระยะๆ ทำให้ตามทางเดินเฉอะแฉะมีน้ำนอง

ใช้เวลาเดินสักพักทั้งสามหนุ่มก็กลับไปถึงหอ พวกเขานำอาหารไปอุ่นที่ห้องพักของแหนมซึ่งอยู่อีกหอ หากเมื่อไปถึง เพื่อนร่วมห้องของแหนมกำลังอุ่นอาหารปิ่นโตขนาดใหญ่อยู่พอดี พวกเขาจึงตั้งวงรับประทานกันอยู่ที่นั่น

“อาหารมึงอร่อยจริงๆ เลย ปิ่นโตร้านไหนวะ” เขาว่าเด็กหนุ่มจะสนิทสนมกันได้ง่ายๆ เมื่อมีตัวกระตุ้นหนึ่งในสามอย่าง 1. อาหาร 2. หนังโป๊ 3. ฟุตบอล ซึ่งในกรณีนี้ก็เช่นกัน

“นี่กูทำมาจากบ้านโว้ย แต่ยังมีของสดอยู่ในตู้เย็นอีกเพียบ ไว้ทำเองได้อีกหลายมื้อ พวกมึงมากินด้วยกันสิ กินหลายคนสนุกดี จะได้ช่วยกันหารค่าอาหารด้วย” เด็กหนุ่มนามว่าคะน้าจากคณะไบโอเทคโนโลยีตอบ

“เจ๋ง งั้นถ้าของสดหมด กูไปจ่ายตลาดให้เอง” เมฆพูดยังไม่ทันขาดคำ เพื่อนร่วมห้องของคะน้าและแหนมอีกสองชีวิตก็กลับมาถึงห้องพอดี พวกเขามาร่วมวงพูดคุยด้วยอีกสักพักใหญ่ๆ จนใกล้ถึงเวลาหอปิดนั่นล่ะ ตำลึงกับเมฆจึงจำใจต้องเอ่ยขอตัว

“เออ! เมฆ ยังมีอาหารเหลืออีก มึงเอาไปกินต่อที่หอมั้ย”

ในเมื่อคะน้าเอ่ยเสนอมาทั้งที เมฆก็ไม่อยากจะขัด เขาชอบหมูทอดกระเทียมกับยำวุ้นเส้นที่คะน้าทำไว้มากอยู่แล้วด้วย เด็กหนุ่มยืนมองจานอาหารที่เพื่อนใหม่ตักใส่ให้จนพูนจาน ขนาดว่าท้องอิ่มแล้วก็ยังได้ยินเสียงพยาธิครางโหยหวน เขากล่าวขอบใจแล้วจึงเดินออกจากหอไปพร้อมกับตำลึง

“เฮ้ย! ฝนยังตกอยู่เลยอะ” ตำลึงแหงนหน้าบ่นกับท้องฟ้าในยามค่ำคืน “มึงระวังยำวุ้นเส้นของมึงจะกลายเป็นต้มยำแทนนะเว้ย”

“เออ กูก็กลัวอยู่” เมฆยกมือขึ้นบังละอองฝน “รู้งี้หาถุงพลาสติกห่อไว้ก่อนก็ดี”

ทั้งสองค่อยๆ เดินจากตัวตึกออกไปยังฟุตบาท ซึ่งพอถึงแล้วก็กำลังจะเอ่ยปากร่ำลากลับไปหอใครหอมัน ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นมีแสงไฟสว่างวาบมาจากบนถนน รถยนต์ซึ่งพวกเขามองไม่ทันเห็นยี่ห้อวิ่งด้วยความเร็วไม่ใช่น้อย สาดน้ำโคลนจากบนถนนขึ้นมาเจิมสองหนุ่มบนฟุตบาทเข้าเต็มๆ

“เฮ้ย! ขับรถประสาอะไรวะ!” เมฆอุทาน เขายกแขนขึ้นเช็ดคราบโคลนบนใบหน้า หากยิ่งเช็ดก็ยิ่งเข้าตา “โอย ไอ้ตำลึงอยู่ไหน มึงช่วยกูด้วย”

“มึงอยู่ไหนวะเมฆ โคลนเข้าตากู มองอะไรไม่เห็นเลย”

ทั้งคู่เอื้อมมือออกไปควานหากัน ก่อนจะสะดุดขากันเองจนล้มลง ใบหน้าหล่อเหลาของเมฆจิ้มลงไปในจานอาหารดังแพร่ดใหญ่ รถที่วิ่งผ่านไปหยุดเอี๊ยดไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก ชายหนุ่มเจ้าของรถก้าวลงมาพร้อมกับขวดน้ำและกระดาษทิชชูหนึ่งกล่อง เขาวิ่งตรงเข้าไปยังเด็กหนุ่มทั้งสอง “พวกคุณเป็นอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มพยุงเมฆกับเพื่อนขึ้นมาทีละคน เขายัดขวดน้ำกับกระดาษทิชชูใส่มือให้พร้อมกับเงินอีกห้าร้อยบาท “โทษทีนะ ผมกำลังรีบ”

“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน!” เมฆพยายามปรือตาขึ้นแล้วกะพริบตาถี่ๆ จนกระทั่งเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน... ไอ้หมอนี่ ไอ้รุ่นพี่คณะมนุษย์ฯ คนนั้นนี่หว่า เด็กหนุ่มคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ทันที “จะไม่รับผิดชอบหน่อยเรอะ!”

“ก็รับผิดชอบแล้วไง” ชายหนุ่มสะบัดแขนออก “ผมกำลังรีบนะ” จากนั้นก็วิ่งกลับไปยังรถที่จอดอยู่ แล้วขับกระชากออกไปทันที

“ไอ้... ไอ้...” จะชมว่าเหี้ยก็ไม่กล้าเพราะเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ ความเป็นคนดีมันค้ำคอ เมฆจึงได้แต่ก้มลงมองเศษอาหารบนพื้นพร้อมกับกัดฟันกรอด “โคลนสาดแม่งยังไม่เหี้ยเท่าของกินกูเละเป็นโจ๊กแบบนี้เล้ย”

ตำลึงดึงขวดน้ำจากในมือเพื่อนมาเปิดออกล้างหน้า “เขาอาจจะมีธุระด่วนมากจริงๆ ก็ได้มึง อื๋อ... อะไรร่วงวะ” เด็กหนุ่มก้มลงหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยขึ้นมาไว้ในมือ “เหอ? ของไอ้รุ่นพี่นั่นให้ไว้เหรอเนี่ย” แล้วส่งให้กับเมฆ

เมฆขมวดคิ้ว เขารับธนบัตรใบนั้นมาถือไว้อย่างงงๆ “อะไรของแม่งวะ ยัดเงินให้แล้วแม่งก็ชิ่งไปเฉย”

“ช่างเหอะน่ะ อย่างน้อยเขาก็ขอโทษแล้วไง กลับหออาบน้ำนอนกันดีกว่า มึงไม่ต้องแดกอะไรแล้วล่ะ ตะบี้ตะบันแดกไปตั้งเยอะแล้วนี่”

“เออ! รู้แล้วเว้ย ยังมีอย่างอื่นให้กูทำได้อีกเรอะ!” เมฆกระแทกเสียงใส่ “ไปแล้วโว้ย!” แล้วก้าวฉับๆ กลับไปยังหอพักของตน

TBC~*

เปิดเรื่องใหม่แล้วค่า แงงงง

น ยายวาย ไม ม ใครต องการ จบแล ว

ไม่เคยเขียนเรื่องแนววัยรักวัยเรียนใสๆ มาก่อนเลยค่ะ 5555555555 ลองเขียนดูด้วยแรงยุของเพื่อนพ้อง กรั่กๆๆๆ