รายการท ว ในอด ต ม ข าวเกษตรกรหร อไม

ก.เกษตรฯ โดยกรมการข้าว เร่งขับเคลื่อน BCG หนุนนาเปียกสลับแห้ง ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนค่าปุ๋ย ค่าน้ำ คัดเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี เพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดการปล่อยคาร์บอนฯ เพื่อให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศผันผวน เตรียมขยายผล เสริมความมั่นคงให้อาชีพชาวนา

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2566 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) คือ ใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนวียน (Circular Economy) ซึ่งจะคำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้เต็มประสิทธิภาพ ควบคู่ไปเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) คือ การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล มั่นคง และยั่งยืน โดยให้หน่วยราชการในสังกัดศึกษาวิจัยสร้างนวัตกรรมให้สอดคล้องกับ BCG

ขณะเดียวกันต้องไม่กระทบผลผลิต และเป็นวิธีที่นำไปปฏิบัติได้จริง โดยในการศึกษาฯ ได้คำนึงถึงการประเมินประสิทธิภาพด้านการใช้น้ำในนาข้าวเป็นสำคัญ ร่วมด้วยปัจจัยในการเพาะปลูก เช่น ดิน เมล็ดพันธุ์ฯ การดูแลนาข้าว ปัจจัยทางด้านสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพการปลูกจริงของเกษตรกร ซึ่งทางคณะผู้วิจัยจึงเลือกวิธีการทำนาแบบนาเปียกสลับแห้ง และทำการเลือกเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่

รายการท ว ในอด ต ม ข าวเกษตรกรหร อไม

ด้าน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า ศูนย์ข้าวชุมชน มีเป้าหมายในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพที่ชัดเจน โดยมีแนวทางการพัฒนาศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศว่า อยากให้เกษตรกรทั่วประเทศรวมกลุ่มกัน แล้วจัดตั้งเป็นกลุ่ม หรือวิสาหกิจชุมชน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องข้าวเท่านั้น แต่แนวทางการรวมกลุ่มยังใช้ได้กับการทำเกษตรด้านอื่นๆ เพื่อให้เกิดการต่อรองด้านราคากับนายทุน หรือพ่อค้า และเมื่อมีการรวมตัวกันได้ จะป้องกันการเอาเปรียบด้านราคาและการตลาด และเมื่อเข้มแข็งมากพอ ก็สามารถกำหนดราคาขายเองได้ ส่งผลให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

รายการท ว ในอด ต ม ข าวเกษตรกรหร อไม

อธิบดีกรมการข้าว กล่าวอีกว่า ตนเองอยากให้ชาวนาหันมาปฏิวัติการทำนาสู่ความยั่งยืน หรือ BCG MODEL ที่เป็นการทำนาแบบประณีต เลิกใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ยาฆ่าแมลง ทำให้ได้ข้าวที่ดีมีคุณภาพ ปลอดสารพิษ ดีต่อสุขภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมแนะนำให้ใช้จุลินทรีย์ และสาหร่ายแกมเขียว มาผสมผสานในการเพาะปลูก อีกทั้งนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้งมาถ่ายทอดให้กับชาวนา เพราะการทำนาแบบเปียกสลับแห้งนั้นจะช่วยลดก๊าซมีเทนในดินที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ที่เป็นการตระหนักถึงความสำคัญของการรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อน เน้นย้ำการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสร้างคาร์บอนเครดิตให้ชาวนานำไปสร้างรายได้เสริม

รายการท ว ในอด ต ม ข าวเกษตรกรหร อไม

นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับกรมการข้าวได้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องเครื่องจักร เช่น เครื่องอบข้าว ที่ทำให้ทางศูนย์ข้าวฯ มีศักยภาพในการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวได้เป็นอย่างดี ช่วยลดภาระในการตากข้าว ที่เกษตรกรบางรายไม่มีพื้นที่ และบางครั้งก็เกิดความเสียหายจากฝนตก ทำให้ข้าวชื้น ไม่แห้ง เมื่อมีเครื่องอบข้าว ทำให้ลดปัญหาเหล่านี้ลงไปได้ เราจึงต้องเร่งเข้ามาสร้างความยั่งยืนให้แก่เกษตรกร ไม่อยากให้เกษตรกรใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ที่ภาครัฐต้องช่วยเหลือประคองตลอดทำให้เกษตรกรไม่แข็งแรงสักที แต่ถ้าให้เครื่องไม้เครื่องมือ หรือสิ่งที่ศูนย์ข้าวชุมชนไม่มี เช่น ยุ้งฉาง หรือ ไซโลเก็บข้าว กลุ่มสมาชิกก็นำข้าวมาฝากกับทางศูนย์ฯ ก็จะช่วยสร้างรายได้เสริมขึ้นมา และเป็นการสร้างความยั่งยืนมากกว่า “เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งกันแน่นอน”.

จากกรณี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จ กรณี ตร.191 และ DSI เรียกรับผลประโยชน์ ภายหลังมีการออกหมายจับทันที 16 คนรวด มอบตัวไปแล้ว 15 คนให้การปฏิเสธทั้งหมด ก่อนประกันตัวออกไป ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ทางช่อง 9 โดยพิธีกร “หมาแก่-แมวสาว” ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ได้สัมภาษณ์สด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยสรุปช่วงหนึ่งว่า เหตุเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565 มีเจ้าหน้าที่ 191, ดีเอสไอ และ กำลังฝ่ายทหาร บุกไปจับกุมคนร้ายในบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านนางลิ่นจี่ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวถูกอ้างว่าได้รับการรับรองจากสถานกงสุลนาอูรูประจำประเทศไทย ว่าเป็นบ้านพักของกงศุลใหญ่ แต่ความจริงคือแหล่งทำวีซ่าปลอมของชาวจีน โดยเจ้าหน้าที่พบว่ามีชาวจีนหลบหนีคดี (หมายแดง) ถึง 12 คน และมีอีก 1 คนหนีมาจากคดีผับจินหลิง เมื่อค้นบ้านพักเจอเงินสด 10 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทั้งหมดกลับไม่ได้จับกุมชาวจีนที่หนีคดี ทั้งยังยอมปล่อยให้หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ทั้งหมด โดยเรียกรับเอาเงินจำนวน 20 ล้านบาท

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยอีกว่า เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากทาง “ดีเอสไอ” เป็นเจ้าภาพ โดยมี ตำรวจ 191 ออกหมายค้น เข้าไปยังบ้านพักที่เช่าให้คนจีนทำวีซ่าปลอมให้คนนาอูรู และชาติอื่น ๆ ซึ่งในนั้นเป็นคนจีนล้วน ๆ ซึ่งผู้ที่ประสานงานมายัง 191 เป็นระดับ ผอ.กองของดีเอสไอ โดยมีหน้าห้องของท่านอธิบดี “ดีเอสไอ” โทรศัพท์ไปยัง รองผบช.น. ก่อนจะสั่งการให้ 191 ร่วมทำงานด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ ต้องเรียกหน้าห้องอธิบดีดีเอสไอมาสอบสวนด้วย

ขณะเดียวกันการสอบสวนยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว แล้วไปถอดเซอร์เวอร์ของคอมพ์กล้องวงจรปิดเอากลับไปบ้านเพื่อไม่ให้มีหลักฐาน ทำให้การสอบสวนมีการโยนกันไปมา แต่ทางฝ่ายสืบสวนพบว่า มีพยานคนสำคัญคือ “ล่ามชาวจีน” ที่กำลังจะหลบหนีไปยังประเทศอื่น จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนก่อน จนทำให้ได้รายละเอียดทั้งหมด โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มคนร้ายชาวจีนที่มีหมายจับ ขณะนี้เดินทางออกนอกประเทศไปทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ยังมีรายงานแจ้งด้วยว่า มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ไปกับชุดจับกุม แต่มีชื่อในรายชื่อชุดจับกุม ซึ่งเป็น ร้อยตำรวจโทหญิง ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่าม และเมื่อสอบสวนแล้วไม่เกี่ยวข้องจึงกันไว้เป็นพยานเท่านั้น ทำให้คดีนี้มี ล่ามจีน กับ ร.ต.ท.หญิง รายนี้ซึ่งจะเป็นพยานสำคัญเท่านั้น โดยฝ่ายล่ามจีน ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐพาตนนั่งรถดีเอสไอ ไปรับเงินจากฝ่ายชาวจีนด้วย

“…คำถามที่ว่า จะมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับบิ๊ก มาเกี่ยวข้องด้วยไหม รายการนี้ไม่มีใครตายเดี่ยว วันนี้ผมจะลงไปดูเพิ่มเติมและจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มด้วย เช่น ดูว่ามียักยอกทรัพย์มีหรือไม่ ส่วนข้อหาพื้นฐานอย่าง ป.อาญา 157, 149 และ 184 ได้แจ้งข้อหาดังกล่าวไปหมดแล้ว หลังจากนี้ต้องสอบสวนหน้าห้องของอธิบดีดีเอสไอก่อน อย่างไรก็ตาม ชุดทำงานชุดนี้ เป็นชุดที่ขึ้นตรงกับ อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งตำแหน่งระดับ ผอ.กอง ก็ต้องไปไล่ดูว่าใครสั่งการ เคสนี้เชื่อได้ว่า ไม่มีใครตายเดี่ยว เพราะโทษหนัก ถึงจำคุกตลอดชีวิต และที่น่าแปลกใจก็คือ หนังสือขออนุมัติทำภารกิจ กลับไม่มีเลขหนังสือ ซึ่งตรงนี้ ต้องไปดูว่า กระทำโดยมีอำนาจหรือไม่…” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้มีรายงานว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เตรียมเสนอเอาผิดกราวรูด ตม. อีกกว่า 90 นาย ในความผิดตาม ม.157 มียศตั้งแต่ พล.ต.ต.-ประทวน หลังพบว่าเอื้อประโยชน์เครือข่ายจีนเทาด้วย.