ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

หรือที่เรียกกันว่า ด้วงก้นกระดก ด้วงก้นงอน หรือ ด้วงปีกสั้น เป็นแมลงขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำสลับส้มเป็นปล้องๆ จุดเด่นของแมลงชนิดนี้คือเมื่อเกาะแล้วจะมีลักษณะเหมือนก้นกระดกขึ้นมา มักพบในช่วงฤดูฝน โดยเข้ามาตอมหลอดไฟในบ้านและร่วงหล่นตามพื้น

Show

สาเหตุของโรค เกิดจาก แมลงก้นกระดก ปล่อยพิษที่มีชื่อว่า พิเดอริน (Pederin) ซึ่งมีลักษณะเป็นกรดที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการแสบร้อนเป็นรอยไหม้หลังจากสัมผัสพิษประมาณ 8-12 ชั่วโมง โดยส่วนมากมักเกิดจากการสัมผัส ปัด หรือบี้ตัวแมลง จนทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง

อาการของโรค สำหรับผู้ป่วยที่โดนกรดจากแมลงก้นกระดก จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน พบรอยไหม้ และตุ่มน้ำเป็นเป็นผื่น ที่มีลักษณะคล้ายเป็นเริมหรืองูสวัด แต่จะพบเป็นรอยยาว ไม่เป็นกระจุก มักพบรอยบริเวณนอกเสื้อผ้า ในบางคนที่แพ้พิษอาจมีอาการรุนแรง เช่น พุพอง คลื่นไส้อาเจียน หรือเริ่มมีไข้ แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

วิธีการรักษา สำหรับการรักษา เบื้องต้นเมื่อโดนพิษจากแมลงก้นกระดก ให้รีบล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผลล้างทันที แต่หากเกิดตุ่มน้ำและรอยแดงขึ้นแล้วสามารถทายาเพื่อรักษารอยแดงซึ่งจะหายไปเองประมาณ 2-3 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงเนื่องจากแพ้พิษให้รีบพบแพทย์ แพทย์จะใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ในการรักษา ส่วนรอยดำที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ จางและหายไปเอง ไม่เป็นแผลเป็น

วิธีป้องกัน เราสามารถป้องกันแมลงก้นกระดกด้วยการปิดหน้าต่างและประตูให้สนิท เนื่องจากแมลงประเภทนี้ชอบเข้ามาเล่นแสงไฟในเวลากลางคืน และตรวจเช็คบริเวณที่นอนเสมอว่าไม่มีแมลงอยู่ ที่สำคัญหากพบแมลงก้นกระดกห้ามสัมผัสโดยการปัด หรือบดขยี้ ควรใช้วิธีเป่า หรือสะบัดออก

นมเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เพราะนมเต็มไปด้วยสารอาหาร เช่น โปรตีน, วิตามินเอ, บี 1, บี 2, บี 12, วิตามินดี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม แต่ทราบหรือไม่ว่าการดื่มนมเวลาไหนเกิดประโยชน์ต่อร่างกายที่สุด ?

  • ช่วงเวลา 05.00 – 07.00 น. ช่วงเวลานี้ควรดื่มนมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์ เพราะเป็นช่วงที่ลำไส้ใหญ่เริ่มทำงาน เพราะจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวจะไปช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ระบบขับถ่ายมีการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • ช่วงเวลา 07.00 – 09.00 น. การรับประทานอาหารเช้าคือสิ่งสำคัญ และถ้าหากดื่มนมตาม จะทำให้เรามีพลังงานในการทำงานเพิ่มขึ้น ช่วงเวลาอาหารมื้อเช้า การดื่มนมพาสเจอร์ไรส์ หรือมอลต์ในช่วงเวลานี้จะช่วยทำให้กระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารให้ดีขึ้น
  • ช่วงเวลา 09.00 – 12.00 น. การดื่มนมผสมโยเกิร์ต หรือกินโยเกิร์ตไขมันต่ำ จะสามารถไปช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพ มีความจำที่ดี
  • ช่วงเวลา 12.00-15.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของระบบย่อยอาหาร ของกระเพาะกับลำไส้เล็ก หากดื่มนมเปรี้ยวในช่วงเวลานี้จะไปช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยและดูดซึมอาหารได้ดียิ่งขึ้น แนะนำดื่มหลังอาหาร
  • ช่วงเวลา 15.00 – 17.00 น. ควรเลือกดื่มนมเปรี้ยวอีกครั้ง เพราะเป็นช่วงเวลาการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและเพื่อช่วยทำให้ระบบการทำงานของกระเพาะปัสสาวะขับถ่ายของเสียได้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วงเวลา 17.00 – 21.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อน การดื่มนมที่มีวิตามิน C และ E แทนอาหารเย็น จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและหัวใจได้ดี
  • ช่วงเวลา 21.00 – 23.00 น. การดื่มนมอุ่น ๆ ในเวลานี้จึงเหมาะสมที่สุด และเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดอีกด้วย

การดื่มนมมีประโยชน์ต่อร่างกายไม่ว่าจะเวลาไหน แต่การดื่มนมในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณแคลอรี่สูง เช่นเดียวกับอาหารทุกอย่าง เราควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยกระทรวงสาธารณสุข แนะนำคนไทยดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและวัยรุ่น ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ ให้ดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว

ปกติโบท็อกจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ซึ่งในบทความนี้หมอจะเจาะลึกถึงงานวิจัยล่าสุด เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อกและหลังฉีดโบท็อก ที่ทำให้โบท็อกอยู่ได้นานกว่าปกตินะครับ เนื่องจากถ้าคนไข้ละเลยขั้นตอนการปฏิบัติตัวเหล่านี้ จะทำให้ต้องฉีดโบท็อกบ่อยขึ้น ซึ่งนอกจากจะเสียเงินเยอะขึ้นแล้วยังทำให้ดื้อโบท็อกง่ายขึ้นด้วยครับ

ก่อนที่จะรู้วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก มีวิธีการดูแล หรือข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกอย่างไรบ้าง หมอขออธิบายถึงกลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อก เพื่อให้เข้าใจวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีด-หลังฉีดโบท็อก ว่าทำเพื่ออะไร คนไข้จะเข้าใจและจำได้ง่ายขึ้นครับ

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

โบท็อก เป็นโปรตีนในน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อ จะแยกเป็น 2 ส่วน

  • ส่วนที่ 1 ที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บเข้าไว้ในเซลล์ประสาทเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์และถ้าส่วนนี้มีความเข้มข้นสูงก็จะทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นครับ
  • ส่วนที่ 2 ที่ไม่ถูกดูดซึมจะปลิวไปตามกระแสเลือดภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม.หลังฉีด และถูกขับออกไปในที่สุด โดยไม่มีผลต่อเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย (เสียไปฟรี ๆ)

วิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อก ที่จะทำให้โบท็อกส่วนที่ 2 ปลิวไปน้อยที่สุด เพื่อจะทำให้ส่วนที่ 1 เข้มข้นขึ้น และอยู่ได้นานกว่าปกติ

1. เลือกใช้โบท็อกแท้เท่านั้น

โบท็อกแท้จะมีการกระจายตัวยาต่ำ นั่นคือฉีดจุดไหนจะอยู่จุดนั้น ทำให้การปลิวหายไปเกิดขึ้นน้อยลง ดังนั้นก่อนฉีดทุกครั้งต้องตรวจสอบว่าเป็น “โบท็อกของแท้” เท่านั้นครับ

ก่อนฉีดเราควรเตรียมศึกษา วิธีสังเกตโบท็อกแท้ยี่ห้อต่าง ๆ และควรให้หมอแกะกล่องเปิดขวด ผสมโบท็อกให้ดูต่อหน้า หลังฉีดควรขอกล่องและขวดกลับบ้าน หรือถ่ายรูปเก็บไว้ตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าฉีดโบท็อกของแท้จริง ๆ (หากเป็นคลินิกที่ใช้ของแท้ก็จะยินดีให้คนไข้ตรวจสอบได้แน่นอนครับ)

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

นอกจากนี้การเลือกฉีดโบท็อกแท้ควรเลือกดูที่ราคาด้วยครับ ถ้าเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน ราคาจะไม่ต่างกันมาก เพราะมีราคาต้นทุนใกล้เคียงกัน ถ้าเจอ Botox ราคาถูกมาก ๆ ให้คิดไว้ว่าอาจเป็นโบท็อกปลอม หรือเอาโบท็อกเกาหลีที่ราคาถูกกว่ามาใส่ขวดขายแทน อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงดื้อโบท็อกได้ในอนาคตครับ สำหรับคนไข้ที่สนใจฉีดโบท็อก

V Square Clinic เลือกใช้โบท็อกแท้ แบรนด์ระดับโลก ราคาสมเหตุสมผล และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น สามารถเช็กโบท็อกราคาโปรโมชั่นตามข้อมูลด้านล่างนี้ครับ

2. การผสมน้ำเกลือ

โบท็อกแท้ทุกยี่ห้อ จะมาในรูปแบบสุญญากาศแห้ง ๆ เป็นเกล็ดขาว ๆ ไม่มีน้ำ ต้องใส่น้ำเกลือลงไปละลายเพื่อดูดออกมาฉีด ถ้าเจือจางน้ำเกลือมากเกินไป จะทำให้โบท็อกปลิวไปง่ายขึ้น ปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสมคือ น้ำเกลือ 2.6 CC ต่อ โบท็อก 100 ยูนิตครับ

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

ก่อนฉีดควรให้แพทย์ผสมโบท็อกต่อหน้าทุกครั้ง เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่ได้เจือจางน้ำเกลือมากเกินไป ถ้าผสมเป็นน้ำมาแล้ว เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเจือจางหรือเข้มข้น

3. เทคนิคการฉีด

ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและหมอที่มีประสบการณ์ในการประเมินกล้ามเนื้อที่จะฉีด ว่าจุดไหนความลึกเท่าไรคือจุดที่เซลล์เส้นประสาทมาเกาะกล้ามเนื้อ ถ้าฉีดไม่ตรงจุด ก็จะได้ผลเหมือนกัน แต่เห็นผลช้าและอยู่ได้สั้นลง เพราะต้องรอโบท็อกแพร่กระจายจากจุดที่ฉีดมายังปลายเซลล์ประสาท

โดยส่วน 2 ที่ปลิวกระจายไปอาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ทำให้ดื้อโบท็อกตามมา

4. ไม่ควรใช้จำนวนยูนิตในแต่ละครั้งเกิน 300 ยูนิต

เพราะจะเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้ง่ายขึ้น และ ควรหลีกเลี่ยงเทคนิคการฉีดที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกเข้าในกล้ามเนื้อโดยตรง เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยา และ ไม่ควรใช้จำนวนยูนิตน้อยเกินไปในแต่ละจุด เพราะจะทำให้หมดฤทธิ์ไวและต้องฉีดบ่อยขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกได้เช่นกันครับ ซึ่งหมอจะเป็นผู้ประเมินและแจ้งคนไข้ครับว่าควรใช้กี่ยูนิต จึงจะเหมาะสม

5. ระหว่างการฉีด

ควรประคบด้วยความเย็น เพื่อลดการไหลเวียนของเส้นเลือดรอบ ๆ บริเวณที่ฉีด จะทำให้โบท็อกอยู่เฉพาะจุดที่หมอต้องการจะฉีด ไม่ปลิวออกไป

หลังฉีดโบท็อก ควรปฏิบัติตัวแบบไหน ที่จะทำให้โบท็อกสลายช้าที่สุด

1. หลังฉีดโบท็อกทันทีในแต่ละบริเวณ ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง

หลังจากฉีดเสร็จทั้งหมด ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีดเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้โบท็อกถูกเซลล์ประสาทดูดเข้าไปให้มากที่สุด เหลือส่วนที่จะปลิวไปน้อยที่สุด แต่ช่วงหลังฉีดที่ขยับกล้ามเนื้อ ก็ไม่ควรประคบเย็นเพราะจะขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท (นั่นคือเราใช้ความเย็นบล็อกรอบ ๆ ตอนฉีด แล้วขยับกล้ามเนื้อหลังฉีดเพื่อดึงโบท็อกเข้าเซลล์ครับ)

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

ตัวอย่างรีวิวผลการรักษาด้วยโบท็อก หลังฉีด เราควรรีบขยับกล้ามเนื้อแบบในรูปฝั่งซ้ายมือทันทีครับ ถ้าฉีดกรามก็ใช้วิธีเคี้ยวหมากฝรั่งหรือกัดฟันทันทีหลังฉีด

แต่หลังจากนั้นให้พยายามเปลี่ยนนิสัยในการขยับกล้ามเนื้อจุดนั้น ๆ ให้น้อยลง เช่น พยายามไม่เคี้ยวอาหารเหนียว ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะการที่เรากระตุ้นกล้ามเนื้อบ่อย ๆ จะทำให้เซลล์เส้นประสาทงอกขึ้นมาใหม่ได้ ถึงแม้โบท็อกจะยังไม่หมดฤทธิ์เซลล์ประสาทที่งอกมาก็จะสามารถขยับกล้ามเนื้อได้ อีกทั้งการขยับกล้ามเนื้อยังเพิ่มการไหลเวียนกระแสเลือดในบริเวณนั้น ๆ ทำให้โบท็อกส่วนที่ 1 ที่ถูกเก็บไว้ในเซลล์ประสาท สลายไปได้ไวขึ้นครับ

กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ เมื่อเวลาผ่านไปขนาดกล้ามเนื้อจะเล็กลง และกลับมาทำงานได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น แต่ถ้ากล้ามเนื้อถูกกระตุ้นให้ใช้งานบ่อย เช่น ยิ้มบ่อย เลิกคิ้วบ่อย (มักพบในคนที่เล่นสนุกเกอร์หรือเคี้ยวอาหารเหนียว ๆ นาน ๆ โดยไม่จำเป็น กล้ามเนื้อก็จะแข็งแรงขึ้นและทำให้โบท็อกอยู่ได้สั้นลง

2. หลังฉีดโบท็อก ควรงดนอนราบ 3 ชม.

หลังฉีดโบ หน้าบวมได้เป็นอาการหลังฉีดโบท็อกที่พบได้เป็นปกติครับ ให้ดูแลตัวเองโดยอย่าแกะเกานวดบริเวณที่ฉีด รวมทั้งงดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่หน้าเยอะขึ้น โบท็อกจะปลิวไปเยอะขึ้น

สำหรับโบท็อกส่วนที่ 1 ที่อยู่ในเซลล์ประสาท ทำหน้าที่ยับยั้งกล้ามเนื้อ จะต้องใช้เวลา 7-14 วัน กว่าที่จะเริ่มเห็นผลการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ และความเข้มข้นของโบท็อก จะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โบท็อกย่อยสลายไวขึ้น คือ ความร้อน และการไหลเวียนของเลือด (Metabolism)

3. ในงานวิจัยพบว่าการกินแร่ธาตุ zinc 50 mg ก่อนและหลังการฉีดโบท็อก ช่วยให้โบท็อกออกฤทธิ์ไวขึ้น ออกฤทธิ์ดีขึ้น

การกินแร่ธาตุ zinc ช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น แต่ในบางเคสก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงของโบท็อกได้มากขึ้นครับ เพราะเสริมฤทธิ์รุนแรงเกินไป ดังนั้นในการกินธาตุสังกะสีปริมาณมาก ๆ จึงแนะนำให้กินตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นนะครับ ส่วนมากจะใช้ในเคสที่มีอาการขาดแร่ธาตุสังกะสีชัดเจน หรือเคสที่เริ่มดื้อโบท็อก (อาการคือฉีดแล้วอยู่ได้ไม่นาน) เท่านั้นครับ

แต่หากกินจากอาหารหรือกินในปริมาณปกติตามที่ Thai RDA กำหนด คือไม่เกิน 15-20 mg/วัน ก็สามารถกินเสริมได้ปกติครับ ในคนที่สังเกตตัวเองว่ามีอาการขาดธาตุสังกะสี เช่น ผมร่วงแตกปลาย, เป็นแผลเรื้อรัง, ผิวแห้งลอก, เป็นผื่นง่าย, เล็บแห้งเปราะหักง่าย, ก็แนะนำให้กินก่อนหรือหลังฉีดโบท็อกได้ครับ จะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นครับ

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

ข้อมูลเกี่ยวกับแร่ธาตุสังกะสีในอาหาร

  • เนื้อสัตว์ อาหารทะเล 1.5-4 mg/100 g
  • หอยนางรม 75 mg/100 g
  • ตับ 4-7 mg/100 g
  • ไข่แดง 1.5 mg/100 g
  • ในพืชผักผลไม้มีปริมาณน้อยและดูดซึมได้ยาก

การทำงานของโบท็อกที่อยู่ในเซลล์ประสาท จะต้องอาศัยแร่ธาตุ zinc (สังกะสี) เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งในการสำรวจคนอเมริกันพบว่า 30% มีอาการขาดธาตุสังกะสี (ยังไม่มีการสำรวจในคนไทย) ซึ่งจะทำให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ช้าลง ออกฤทธิ์ได้น้อยลง และผลโบท็อกอยู่ได้สั้นลง https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/22453589/

จากข้อมูลจะเห็นว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยครับที่น่าจะขาดแร่ธาตุสังกะสี และยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการขาดธาตุสังกะสีมากขึ้นอีกครับ

4. ควรฉีดโบท็อกต่อเนื่องในระยะที่เหมาะสม

ไม่ฉีดถี่เกินไป (อย่างต่ำควรเว้น 3 เดือน) และไม่เว้นระยะห่างเกินไป (ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน) เพราะหากเว้นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปกติ และอาจจะต้องใช้ยูนิตของโบท็อกเยอะขึ้นในการฉีดครั้งต่อ ๆ ไป

ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก

1. ควรหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง

ควรหลีกเลี่ยงความร้อนโดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด (หากทำไม่ได้ก็ขออย่างน้อย 48 ชม.หลังฉีดครับ) เช่น เข้าซาวน่า, ออกกำลังกายหนัก ๆ, ตากแดด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF Thermage งดนอนคว่ำ, งดก้มหัวต่ำกว่าอก

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

หลังฉีดโบท็อกควรหลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงทุกชนิดเป็นเวลา 14 วันครับ (หากทำไม่ได้ก็ขออย่างน้อย 48 ชม. หลังฉีดครับ)

2. หลังฉีดโบท็อกห้ามกินอะไรบ้าง ในระยะ 14 วันหลังฉีด

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก
  • หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ
  • อาหารที่เผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง
  • อาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง
  • งดสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารหลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

ในกรณีหลังจาก 2 สัปดาห์ไปแล้ว กิจกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่ออายุของโบท็อกได้บ้าง แต่ไม่มาก ที่มีผลมากที่สุดคือ การเข้าซาวน่า และเลเซอร์ร้อน ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องงด

3. หลังฉีดโบท็อก ออกกําลังกายหนัก ๆ ต้องงดไหม ?

การงดออกกำลังกายเพื่อทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นอันนี้ไม่คุ้มครับ เพราะการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ และช่วยให้ผิวใสขึ้น แค่หลีกเลี่ยงความร้อนเท่าที่ทำได้ก็พอครับ

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

“ หากมีคอร์สทำหน้า นวดหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรถือโอกาสทำมาก่อนฉีดโบท็อก เพราะหลังฉีดจะต้องงดไป 2 สัปดาห์ จึงจะทำต่อได้”

สรุป Timeline ข้อปฏิบัติตัวในการฉีดโบท็อก

ข อควรระว งในการใช งานกระต กน ำร อน ม อะไรบ าง

ก่อนฉีดโบท็อก

  • ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ”โบท็อกแท้” ตาม ข้อ ,
  • ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน-หมอมีประสบการณ์ตาม ,
  • หากมีคอร์สทำหน้า นวดหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรถือโอกาสทำมาก่อนฉีดโบท็อก เพราะหลังฉีดจะต้องงดไป 2 อาทิตย์ จึงจะทำต่อได้
  • ควรงดยาในกลุ่มที่ลดการแข็งตัวของเลือดเช่น NSAIDs, แอสไพริน และงดสครับหน้า 2-3 วันก่อนฉีด จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเขียวช้ำ
  • หากมีข้อห้ามในการฉีดโบท็อกให้ปรึกษาแพทย์
  • หากมีอาการขาดธาตุสังกะสี ควรเริ่มกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือกินอาหารเสริม แต่ไม่ควรกินเกิน 20 mg/วัน ซึ่งจะช่วยให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ไวขึ้น (ไม่จำเป็นต้องกินก่อนฉีด สามารถกินหลังฉีดก็ได้ ก็สามารถช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นเช่นกัน)

ระหว่างฉีดโบท็อก

  • หลังฉีดโบท็อก ในแต่ละบริเวณเสร็จทันที ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดแล้วทันที 1-2 ครั้ง
  • หลังจากฉีดเสร็จทั้งหมด ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีด เช่น ยักคิ้ว ขมวดคิ้ว ยิ้มเยอะ ๆ เคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นเวลา 30 นาทีหลังฉีด

หลังฉีดโบท็อก 3 ชม.

  • ไม่ควรประคบเย็นเพราะจะขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท
  • ไม่ควรนอนราบ รวมทั้งงดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ

หลังฉีดโบท็อก 24 ชม.

  • สามารถทาครีมทับบริเวณเข็มได้ และแต่งหน้าทับได้ปกติ

หลังฉีดโบท็อก 48 ชม.

  • หากสามารถหลีกเลี่ยงอาหารและความร้อน ตามข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกได้ ก็จะได้รับผลโบท็อก 90 % จากปกติแล้ว

หลังฉีดโบท็อก 2-3 วัน

  • บางคนอาจมีผลข้างเคียงชนิดไม่อันตรายเช่น ปวดหัว ตาพร่า คอแห้ง ซึ่งผลข้างเคียงนี้เป็นแค่ชั่วคราวจะหายได้เองใน7-14วัน หากอาการเป็นมากสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาได้ อาการปวดหัวสามารถประคบเย็นได้
  • บางคนจะเริ่มเห็นผลจากการฉีดลดริ้วรอยบางส่วน

หลังฉีดโบท็อก 7-10 วัน

  • หลังฉีดโบ หน้าบวมได้เล็กน้อย รอยเขียวช้ำอาจจะยังมีอยู่จะค่อย ๆ จางลงเองใน 14 วัน ไม่ควรประคบร้อน

หลังฉีดโบท็อก 14 วัน

  • หากสามารถหลีกเลี่ยงอาหารและความร้อนได้ครบ 14 วัน ก็จะได้รับผลโบท็อก 100% จากปกติ
  • เห็นผลจากการฉีดโบท็อกลดริ้วรอยเกือบเต็มที่แล้ว
  • เห็นผลจากการฉีดโบท็อกลดกรามคือ กัดกรามจะไม่เด้ง แต่กรามจะยังไม่ยุบลง ต้องใช้เวลา 2 เดือนจึงจะยุบเต็มที่

หลังฉีดโบท็อก 14 วัน จนถึงการฉีดโบท็อกครั้งต่อไป

  • สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ และพยายามหลีกเลี่ยงความร้อน
  • พยายามกินอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี
  • ควรฉีดโบท็อกต่อเนื่องในระยะที่เหมาะสม ไม่ฉีดถี่เกินไป(อย่างต่ำควรเว้น 3 เดือน) และไม่เว้นระยะห่างเกินไป(ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน)
  • ให้พยายามเปลี่ยนนิสัยในการขยับกล้ามเนื้อจุดที่ฉีดโบท็อก ให้น้อยลง

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก ที่อันตรายถึงชีวิต

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก แบบที่ไม่สามารถฉีดได้ (Absolute Contraindication)

  • คนที่มีปัญหาเรื่อง โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง อาจจะอันตรายถึงชีวิต
  • คนที่มีปัญหาเรื่อง กล้ามเนื้อในการกลืน
  • คนที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่าง ๆ เช่น
    • - amyotrophic lateral sclerosis (ALS)
    • - Lou Gehrig's disease
    • - myasthenia gravis
    • - Lambert-Eaton syndrome
  • มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังในจุดที่จะฉีดโบท็อก
  • มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ มีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก แบบที่ควรระวัง สามารถฉีดได้แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน

  • มีประวัติเคยแพ้ส่วนผสมของโบท็อก
  • โบท็อกประกอบด้วย : Botulinum toxin type A, Human albumin, Sodium chloride
  • ในคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ยังไม่มีการศึกษาที่รับรองความปลอดภัยของการฉีดโบท็อก
  • สำหรับคนที่อายุ 12-18 ปี มีการศึกษารับรองความปลอดภัยในบางกรณีเท่านั้น (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

ข้อมูลอื่น ๆ ที่คนไข้ควรแจ้งแพทย์

  • เคยมีผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกครั้งก่อน ๆ
  • มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย
  • มีกำหนดการที่จะผ่าตัด
  • เคยผ่าตัดที่ใบหน้ามาก่อน
  • มีภาวะหนังตาตกอยู่
  • หัตถการต่าง ๆ ที่เคยทำบนใบหน้ามาก่อน เช่น โบท็อก ฟิลเลอร์ ร้อยไหม เมโส เลเซอร์ต่าง ๆ
  • อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการศึกษายืนยันว่าโบท็อกเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่
  • ให้นมบุตร ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการศึกษายืนยันว่าโบท็อก สามารถผ่านไปทางน้ำนมได้หรือไม่

หลังฉีดโบท็อก ห้ามกินยาอะไร ?

ควรแจ้งแพทย์ถึงยาที่คนไข้ใช้อยู่ปัจจุบัน ยาที่ได้รับพร้อมกับโบท็อกแล้วเกิดอันตรายมาก (Major Side Effect)

  • กลุ่มยาฆ่าเชื้อ "แบบฉีด" บางตัว

ไม่ใช่เพราะว่าเชื้อโบท็อกจะโดนทำลายแบบความรู้ผิดๆที่เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตนะครับ แต่ยาฆ่าเชื้อบางตัวสามารถเสริมฤทธิ์โบท็อกแล้วเกิดอันตรายได้ ห้ามใช้ร่วมกับโบท็อก ได้แก่ amikacin, colistin, polymyxin E, gentamicin, kanamycin, neomycin, netilmicin, plazomicin, polymyxin B, spectinomycin, streptomycin, tobramycin.

  • กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ

atracurium, cisatracurium, doxacurium, metocurine, mivacurium, pancuronium, pipecuronium, rapacuronium, rocuronium, succinylcholine, tubocurarine, vecuronium.

ยาฆ่าเชื้อและยาคลายกล้ามเนื้อที่อยู่นอกรายการข้างต้นนี้สามารถใช้ร่วมกันกับโบท็อกได้โดยไม่อันตราย

กลุ่มยาที่ใช้ร่วมกับโบท็อกแล้วอาจเกิดผลข้างเคียงแบบปานกลาง ไม่อันตราย เช่น ตาพร่า ปากแห้ง รอยช้ำ (ถ้าอาการรุนแรงก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อปรับชนิดยาที่ใช้ได้ครับ) ได้แก่ กลุ่มยาแก้แพ้ แก้หวัด, กลุ่มยานอนหลับ, กลุ่มยาต้านเกล็ดเลือด

และหลังฉีดโบท็อกไป ในระยะ 4 เดือน ถ้าจะรับยาอื่น ๆ เพิ่มต้องแจ้งแพทย์ที่จะจ่ายยาด้วยว่าเพิ่งฉีดโบท็อกมาครับ

Q&A : ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก

Q : ฉีดโบท็อก นวดหน้าได้ไหม ?

A : หากมีคอร์สทำหน้า นวดหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ที่ต้องทำเป็นประจำควรถือโอกาสทำมาก่อนฉีดโบท็อก เพราะหลังฉีดจะต้องงดไป 2 อาทิตย์ จึงจะทำต่อได้

Q : ทําไมฉีดโบท็อกซ์ถึงห้ามกินเหล้า ?

A : ความร้อนของร่างกายหลังดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหลังฉีด 48 ชั่วโมง จึงควรงดก่อนครับ

Q : หลังฉีดโบท็อก กินคอลลาเจนได้ไหม ?

A : หลังฉีดโบท็อก กินคอลลาเจนหรือวิตามินได้ตามปกติครับ และต้องระวังในการรับประทานวิตามินบางตัวเช่น Zinc (แร่ธาตุสังกะสี) หากรับประทานปริมาณมากจะช่วยเสริมฤทธิ์โบท็อกให้รุนแรงเกินไป

Q : ฉีดโบท็อก กินอาหารทะเลได้ไหม ?

A : หลังฉีดโบท็อก กินอาหารทะเลได้ตามปกติครับ แต่ควรระวังเรื่องแร่ธาตุสังกะสี โดยปกติอาหารทะเลจะมีแร่ธาตุสังกะสี 1.5-4 mg/100 g

Q : ฉีดโบท็อกกินกาแฟได้ไหม ?

A : ถึงแม้ว่าคาเฟอีนจะมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว แต่การดื่มกาแฟมีความเข้มข้นของคาเฟอีนเพียงเล็กน้อย ไม่ส่งผลต่อโบท็อก ไม่มีผลทำให้เกิดการบวมมากขึ้น สามารถดื่มกาแฟได้ตามปกติครับ

Q : ฉีดโบท็อกมาแล้ว ทาครีมได้ไหม ?

A : ทาครีมได้ตามปกติ แต่ควรเว้นบริเวณที่เป็นรอยเข็ม 1 คืน และหลัง 1 สัปดาห์ สามารถทำ Treatment ได้ครับ

Q : หลังฉีดโบท็อก เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเรื่องอะไร ?

A : การเคี้ยวหมากฝรั่งหลังฉีดโบท็อก 30 นาทีแรก จะช่วยกระจายตัวยาและทำให้โบท็อกถูกดูดซึมได้ดีขึ้นครับ

Q : ทำไมหลังฉีดโบท็อกลดกราม ห้ามกินอาหารเหนียว ๆ ?

A : ถ้ากล้ามเนื้อถูกกระตุ้นให้ใช้งานบ่อยเช่น ยิ้มบ่อย เลิกคิ้วบ่อย (มักพบในคนที่เล่นสนุกเก้อ หรือเคี้ยวอาหารเหนียว ๆ นาน ๆ โดยไม่จำเป็น) กล้ามเนื้อก็จะแข็งแรงขึ้นและทำให้โบท็อกอยู่ได้สั้นลง กล้ามเนื้อเด้งกลับมาใหญ่เหมือนเดิม

ถ้ากล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ เมื่อเวลาผ่านไปขนาดกล้ามเนื้อจะเล็กลง และกลับมาทำงานได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น

สรุป

เพื่อให้การฉีดโบท็อกได้ผลลัพธ์ที่ดีและอยู่ได้นาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนฉีดโบท็อก ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก ฉีดโบท็อกกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ยาแท้ และดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ดีและอยู่ได้นานขึ้นครับ

เอกสารอ้างอิง 1. Mark Hallett. (2015). Explanation of Timing of Botulinum Neurotoxin Effects, Onset and Duration, and Clinical Ways of Influencing Them. แหล่งข้อมูล : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4658210/?report=classic 2. Briefel RR, Bialostosky K, Kennedy-Stephenson J, McDowell MA, Ervin RB, Wright JD. (1988-1994). Zinc intake of the U.S. population: findings from the third National Health and Nutrition Examination Survey, The Journal of nutrition. 2000 May;130(5S Suppl):1367S–73S. 3. นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์. (2522). พบคนไทยเสี่ยงขาดธาตุสังกะสี(zinc). แหล่งข้อมูล https://www.gotoknow.org/posts/304343 4. Flynn TC. Am J Clin Dermato. (2010). Botulinum toxin: examining duration of effect in facial aesthetic applications. แหล่งข้อมูล : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/20369902/ 5. Eleopra R, Tugnoli V, De Grandis D, (1997).The variability in the clinical effect induced by botulinum toxin type A: the role of muscle activity in humans. Mov Disord 12(1) 89–94. 6. Simpson L, (2013). The life history of a botulinum toxin molecule. Toxicon Jun 68:40–59. 7. MEDICATION GUIDE BOTOX® https://www.allergan.com/miscellaneous-pages/allergan-pdf-files/botox_med_guide 8. Botox Drug Interactions https://www.drugs.com/drug-interactions/onabotulinumtoxina,botox-index.html

สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ