เฉลย แบบฝ กห ด 12.4 เคม ม.6 เล ม 5

หน้า สารบัญ บทที่้ า เนื้อหา บทที่ 8 อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 67 ผลการเรียนรู้ 67 การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ 67 ผังมโนทัศน์ 70 สาระสำ�คัญ 71 เวลาที่ใช ้ 71 เฉลยตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน 71 8.1 ความหมายและการคำ�นวณอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 74 เฉลยแบบฝึกหัด 8.1 89 8.2 แนวคิดเกี่ยวกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคม ี 95 เฉลยแบบฝึกหัด 8.2 98 8.3 ปัจจัยที่มีผลต่ิิัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 101 เฉลยแบบฝึกหัด 8.3 113 เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท 116 อัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมี 8ั ญ

Made with FlippingBook

RkJQdWJsaXNoZXIy NzMxODQ4

คูม่ อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๖ เคมี ตามผลการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ตารางธาตุ I1A II2A โลหะ 13 14 15 16 17 18 อโลหะ IIIA IVA VA VIA VIIA VIIIA H1 B4e กง่ึ โลหะ C6 N7 O8 F9 B5 H2e hydrogen beryllium carbon nitrogen oxygen fluorine boron helium 1.01 9.01 12.01 14.01 16.00 19.00 10.81 4.00 L3i M12g 3 45 67 8 9 10 11 12 S14i P15 S16 C17l IIIB IVB VB VIB VIIB VIIIB IB IIB A13l N10e lithium magnesium F2e6 silicon phosphorus sulfur chlorine aluminium neon 6.94 24.30 iron 28.08 30.97 32.06 35.45 26.98 20.18 N11a C20a S21c T22i 2V3 C24r M25n 55.85 C27o N28i C29u Z30n G32e A33s S3e4 B35r cobalt nickel copper zinc G31a A18r sodium calcium scandium titanium vanadium chromium manganese R44u 58.93 58.69 63.55 65.38 germanium arsenic selenium bromine gallium argon 22.99 40.08 44.96 47.87 50.94 52.00 54.94 ruthenium 72.63 74.92 78.97 79.90 69.72 39.95 K19 S38r 3Y9 Z40r N41b M42o T43c 101.07 R4h5 P4d6 A47g C48d S5n0 S5b1 T5e2 5I3 I4n9 tin antimony tellurium iodine K36r potassium strontium yttrium zirconium niobium molybdenum technetium O76s rhodium palladium silver cadmium 118.71 121.76 127.60 126.90 indium krypton 39.10 87.62 88.91 91.22 92.91 95.95 osmium 102.91 106.42 107.87 112.41 114.82 83.80 R3b7 B56a 57-71 72 T73a W74 R75e 190.23 7Ir7 P78t A79u H80g P8b2 B83i P8o4 A85t Hflanthanoids T81l X54e rubidium barium hafnium tantalum tungsten rhenium H108s iridium platinum gold mercury lead bismuth polonium astatine *89-103 thallium 207.20 208.98 xenon 85.47 137.33 178.49 180.95 183.84 186.21 hassium 192.22 195.08 196.97 200.59 104 204.38 131.29 C55s R88a ** Rfactinoids rutherfordium D10b5 S10g6 B10h7 M109t D11s0 R11g1 C11n2 F11l4 M115c L11v6 T11s7 N11h3 R8n6 caesium radium dubnium seaborgium bohrium meitnerium darmstadtium roentgenium copernicium flerovium moscovium livermorium tennessine nihonium radon 132.91 O11g8 F87r oganesson francium กลมุ ธาตุ L5a7 C58e P59r N60d P6m1 S6m2 E6u3 G6d4 T6b5 D66y H67o E68r T6m9 Y7b0 L7u1 *แลนทานอยด lanthanum cerium praseodymium neodymium promethium samarium europium gadolinium terbium dysprosium holmium erbium thulium ytterbium lutetium กลมุ ธาตุ 140.91 144.24 150.36 **แอกทนิ อยด 138.91 140.12 151.96 157.25 158.93 162.50 164.93 167.26 168.93 173.05 174.97 A89c T9h0 P9a1 U92 N93p P9u4 A9m5 C9m6 B97k C98f E99s F1m00 M10d1 N10o2 L10r3 actinium thorium protactinium uranium neptunium plutonium americium curium berkelium californium einsteinium fermium mendelevium nobelium lawrencium 232.04 231.04 238.03

คู่มอื ครู รายวชิ าเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เคมี ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ เล่ม ๕ ตามผลการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ จดั ทำ�โดย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ฉบับเผยแพร่ เมษายน ๒๕๖๓

คำ�าน�ำา สสถถาาบบันันสส่ง่งเเสสรริมิมกกาารรสสออนนววิทิทยยาาศศาาสสตตรร์แ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี ((สสสสววทท..)) ไไดด้ร้รับับมมออบบหหมมาายยจจาากกกกรระะททรรววงง ศศึกึกษษาาธธิกิกาารร ใในนกกาารรพพัฒัฒนนาามมาาตตรรฐฐาานนแแลละะตตัวัวชช้ีว้ีวัดัดขขอองงหหลลักักสสูตูตรรกกลลุ่มุ่มสสาารระะกกาารรเเรรียียนนรรู้คู้คณณิติตศศาาสสตตรร์ ์ ววิทิทยยาาศศาาสสตตรร์แ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี แแลละะยยังังมมีบีบททบบาาททหหนน้า้าทท่ใี ่ใี นนกกาารรรรับับผผิดิดชชออบบเเกก่ยี ่ยี ววกกับับกกาารรจจัดัดททำ�ำาหหนนังังสสือือเเรรียียนน คคู่มู่มือือคครรู ู แแบบบบฝฝึกึกททักักษษะะ กกิจิจกกรรรรมม แแลละะสส่ือื่อกกาารรเเรรียียนนรรู้ ู้ ตตลลออดดจจนนววิธิธีกีกาารรจจัดัดกกาารรเเรรียียนนรรู้แู้แลละะกกาารรววัดัดแแลละะ ปปรระะเเมมนิ นิ ผผลล เเพพอ่ื อ่ื ใใหหก้ ก้ าารรจจดั ดั กกาารรเเรรยี ยี นนรรคู้ คู้ ณณติ ติ ศศาาสสตตรร์ ์ ววทิ ทิ ยยาาศศาาสสตตรรแ์ แ์ ลละะเเททคคโโนนโโลลยยเี เี ปปน็ น็ ไไปปออยยา่ า่ งงมมปี ปี รระะสสทิ ทิ ธธภิ ภิ าาพพ คคมู่ มู่ อื อื คครรรู รู าายยววชิ ชิ าาเเพพม่ิ ม่ิ เเตตมิ มิ ววทิ ทิ ยยาาศศาาสสตตรรแ์ แ์ ลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี เเคคมมี ี ชชน้ั น้ั มมธั ธั ยยมมศศกึ กึ ษษาาปปที ที ่ี ่ี ๖๖ เเลลม่ ม่ ๕๕ นน้ี ้ี จจดั ดั ทท�ำ าำ ขข้ึนึน้ เเพพือ่ ื่อปปรระะกกออบบกกาารรใใชช้หห้ นนงั ังสสือือเเรรียียนนรราายยววิชชิ าาเเพพมิ่ ่ิมเเตติมมิ ววิทิทยยาาศศาาสสตตรร์แแ์ ลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี เเคคมมี ี ชชัน้ ้นั มมัธธั ยยมมศศึกกึ ษษาา ปปที ที ่ี ่ี ๖๖ เเลลม่ ม่ ๕๕ โโดดยยคครรออบบคคลลมุ มุ เเนนอ้ื อ้ื หหาาตตาามมผผลลกกาารรเเรรยี ยี นนรรแู้ แู้ ลละะสสาารระะกกาารรเเรรยี ยี นนรรเู้ เู้ พพม่ิ ม่ิ เเตตมิ มิ กกลลมุ่ มุ่ สสาารระะกกาารรเเรรยี ยี นนรรู้ ู้ ววทิ ทิ ยยาาศศาาสสตตรรแ์ แ์ ลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี ((ฉฉบบบั บั ปปรรบั บั ปปรรงุ งุ พพ..ศศ.. ๒๒๕๕๖๖๐๐)) ตตาามมหหลลกั กั สสตู ตู รรแแกกนนกกลลาางงกกาารรศศกึ กึ ษษาาขขน้ั น้ั พพน้ื น้ื ฐฐาานน พพทุ ทุ ธธศศกั กั รราาชช ๒๒๕๕๕๕๑๑ ใในนสสาารระะเเคคมมี ี โโดดยยมมตี ตี าารราางงววเิ เิ คครราาะะหหผ์ ผ์ ลลกกาารรเเรรยี ยี นนรรแู้ แู้ ลละะสสาารระะกกาารรเเรรยี ยี นนรรเู้ เู้ พพม่ิ ม่ิ เเตตมิ มิ เเพพอ่ื อ่ื กกาารรจจัดัดททำ�ำาหหนน่ว่วยยกกาารรเเรรียียนนรรู้ใู้ในนรราายยววิชิชาาเเพพิ่ม่ิมเเตติมิมววิทิทยยาาศศาาสสตตรร์แ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี มมีแีแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเเรรียียนนรรู้ ู้ กกาารรใใหหค้ ค้ ววาามมรรเู้ เู้ พพม่ิ ม่ิ เเตตมิ มิ ททจ่ี จ่ี �ำ าำ เเปปน็ น็ สส�ำ าำ หหรรบั บั คครรผู ผู สู้ สู้ ออนน รรววมมททง้ั ง้ั กกาารรเเฉฉลลยยคค�ำ าำ ถถาามมแแลละะแแบบบบฝฝกึ กึ หหดั ดั ใในนหหนนงั งั สสอื อื เเรรยี ยี นน สสสสววทท.. หหววังังเเปป็น็นออยย่า่างงยย่ิง่ิงวว่า่า คคู่มู่มือือคครรูเูเลล่ม่มนน้ีจ้ีจะะเเปป็น็นปปรระะโโยยชชนน์ต์ต่อ่อกกาารรเเรรียียนนรรู้ ู้ แแลละะเเปป็น็นสส่ว่วนนสสำ�ำาคคัญัญ ใในนกกาารรพพัฒัฒนนาาคคุณุณภภาาพพแแลละะมมาาตตรรฐฐาานนกกาารรศศึกึกษษาา กกลลุ่มุ่มสสาารระะกกาารรเเรรียียนนรรู้วู้วิทิทยยาาศศาาสสตตรร์แ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี ขขออขขออบบคคุณณุ ผผู้ททู้ รรงงคคุณุณววฒุ ฒุ ิ ิ บบุคุคลลาากกรรททาางงกกาารรศศึกึกษษาาแแลละะหหนนว่ ว่ ยยงงาานนตตา่ ่างง ๆๆ ทท่มี ่มี ี่สส่ี ว่ ่วนนเเกกี่ย่ยี ววขข้ออ้ งงใในนกกาารรจจดั ัดทท�ำ าำ ไไวว้ ้ ณณ โโออกกาาสสนน้ี ้ี ((ศศาาสสตตรราาจจาารรยย์ชช์ กู กู จิ ิจ ลลมิ มิ ปปิจจิ ำ�ำานนงงคค์))์ ผผู้ออู้ �ำ ำานนววยยกกาารรสสถถาาบบนั ันสส่งง่ เเสสรรมิ มิ กกาารรสสออนนววิทิทยยาาศศาาสสตตรรแ์ ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยี ี กกรระะททรรววงงศศกึ กึ ษษาาธธิกิกาารร

ค�ำ ชแ้ี จง สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจ้ ดั ท�ำ ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรู้ แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู ร แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ โดยมจี ดุ เนน้ เพอ่ื ตอ้ งการพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี วามรู้ ความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย มีการทำ�กิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ซง่ึ ในปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. ไดม้ กี ารจดั ท�ำ หนงั สอื เรยี นทเ่ี ปน็ ไปตามมาตรฐานหลกั สตู รเพอ่ื ให้ โรงเรยี นไดใ้ ชส้ �ำ หรบั จดั การเรยี นการสอนในชน้ั เรยี น และเพอ่ื ใหค้ รผู สู้ อนสามารถสอนและจดั กจิ กรรม ต่าง ๆ ตามหนังสือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดทำ�คู่มือครูสำ�หรับใช้ประกอบหนังสือเรียน ดังกล่าว คมู่ อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เคมี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ เลม่ ๕ น้ี ไดบ้ อก แนวการจดั การเรยี นการสอนตามเนอ้ื หาในหนงั สอื เรยี นประกอบดว้ ยเรอ่ื ง เคมอี นิ ทรยี ์ และพอลเิ มอร์ ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำ�ไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยสามารถน�ำ ไปจดั กจิ กรรมการเรยี นรไู้ ดต้ ามความเหมาะสมและความพรอ้ มของโรงเรยี น ในการจดั ท�ำ คู่มือครูเล่มนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีย่ิงจากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการอิสระ คณาจารย์ รวมทั้ง ครผู สู้ อน นกั วชิ าการ จากทง้ั ภาครฐั และเอกชน จงึ ขอขอบคณุ มา ณ ทน่ี ้ี สสวท. หวังเป็นอย่างย่ิงว่าคู่มือครูรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เคมี ช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ เลม่ ๕ น้ี จะเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ สู้ อน และผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งทกุ ฝา่ ย ทจ่ี ะชว่ ยใหก้ ารจดั การ ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทำ�ให้คู่มือครูเล่มน้ี มคี วามสมบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ โปรดแจง้ สสวท. ทราบดว้ ยจะขอบคณุ ยง่ิ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ขอ้ แนะนำ�ทวั่ ไปในการใชค้ ู่มอื ครู วทิ ยาศาสตร์มีความเกย่ี วข้องกับทุกคนทัง้ ในชวี ิตประจำ�วนั และการงานอาชีพต่าง ๆ รวมทั้งมี บทบาทส�ำ คญั ในการพฒั นาผลผลติ ตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการอ�ำ นวยความสะดวกทงั้ ในชวี ติ และการท�ำ งาน นอกจากนว้ี ทิ ยาศาสตรย์ งั ชว่ ยพฒั นาวธิ คี ดิ และท�ำ ใหม้ ที กั ษะทจี่ �ำ เปน็ ในการตดั สนิ ใจและแกป้ ญั หา อยา่ งเปน็ ระบบ การจดั การเรยี นรเู้ พอื่ ใหน้ กั เรยี นมคี วามรแู้ ละทกั ษะทส่ี �ำ คญั ตามเปา้ หมายของ การจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรจ์ งึ มคี วามส�ำ คญั ยง่ิ ซงึ่ เปา้ หมายของการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ มดี งั นี้ 1. เพือ่ ให้เข้าใจหลักการและทฤษฎีทีเ่ ปน็ พน้ื ฐานของวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2. เพือ่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจในลักษณะ ขอบเขต และข้อจ�ำ กัดของวทิ ยาศาสตร์ 3. เพอ่ื ให้เกดิ ทกั ษะท่สี ำ�คัญในการศกึ ษาคน้ คว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. เพือ่ พัฒนากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปญั หาและการจดั การ ทักษะในการสอ่ื สารและความสามารถในการตัดสนิ ใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ สภาพแวดล้อม ในเชงิ ที่มีอิทธพิ ลและผลกระทบซึ่งกันและกนั 6. เพ่อื น�ำ ความรู้ความเข้าใจเรื่องวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ไปใช้ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ สังคม และการดำ�รงชวี ติ อยา่ งมคี ณุ ค่า 7. เพอ่ื ใหม้ จี ติ วทิ ยาศาสตร์ มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นยิ มในการใชค้ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ อย่างสร้างสรรค์ คู่มือครูเป็นเอกสารท่ีจัดทำ�ข้ึนควบคู่กับหนังสือเรียน สำ�หรับให้ครูได้ใช้เป็นแนวทาง ในการจดั การเรยี นรเู้ พอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ความรแู้ ละมที กั ษะทส่ี �ำ คญั ตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ น หนังสือเรียน ซึ่งสอดคล้องกับตัวช้ีวัดตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ รวมท้ังมี ส่ือการเรียนรู้ ในเว็บไซต์ท่ีสามารถเช่ือมโยงได้จาก QR code หรอื URL ทอ่ี ยู่ประจำ�แต่ละบท ซง่ึ ครูสามารถใช้ ส่งเสริมให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้ อย่างไรก็ตามครูอาจ พิจารณาดัดแปลงหรือเพ่ิมเติมการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละห้องเรียนได้ โดยคู่มอื ครมู อี งค์ประกอบหลักดงั ต่อไปน้ี

ขอ้ แนะน�ำ ท่วั ไปในการใช้คมู่ อื ครู ผลการเรียนรู้ ผลการเรยี นร้เู ปน็ ผลลพั ธท์ ่ีควรเกิดกับนกั เรียนท้งั ด้านความรแู้ ละทักษะ ซ่ึงช่วยใหค้ รไู ด้ทราบ เปา้ หมายของการจดั การเรยี นรใู้ นแตล่ ะเนอื้ หาและออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั ผลการเรียนรูไ้ ด้ ทัง้ น้คี รอู าจเพิ่มเติมเน้ือหาหรือทกั ษะตามศักยภาพของนกั เรียน รวมท้งั อาจ สอดแทรกเน้อื หาท่เี กย่ี วข้องกับท้องถน่ิ เพอ่ื ใหน้ กั เรียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจมากขน้ึ ได้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ การวเิ คราะหค์ วามรู้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 และจติ วทิ ยา ศาสตร์ ที่เกี่ยวขอ้ งในแตล่ ะผลการเรียนรู้ เพอื่ ใช้เป็นแนวทางในการจดั การเรยี นรู้ ผังมโนทัศน์ แผนภาพทแี่ สดงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลัก ความคดิ รอง และความคดิ ยอ่ ย เพอื่ ช่วยให้ ครเู หน็ ความเช่อื มโยงของเนื้อหาภายในบทเรยี น สาระสำ�คญั การสรุปเน้ือหาสำ�คัญของบทเรียน เพ่ือช่วยให้ครูเห็นกรอบเน้ือหาทั้งหมด รวมท้ังลำ�ดับของ เน้อื หาในบทเรียนนน้ั เวลาทใ่ี ช้ เวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงครูอาจดำ�เนินการตามข้อเสนอแนะท่ีกำ�หนดไว้ หรืออาจปรับ เวลาไดต้ ามความเหมาะสมกับบริบทของแตล่ ะหอ้ งเรยี น ความรู้กอ่ นเรียน คำ�สำ�คัญหรือข้อความท่ีเป็นความรู้พื้นฐาน ซ่ึงนักเรียนควรมีก่อนท่ีจะเรียนรู้เนื้อหาใน บทเรยี นน้ัน

ขอ้ แนะนำ�ทั่วไปในการใช้คูม่ ือครู ตรวจสอบความรกู้ ่อนเรยี น ชดุ ค�ำ ถามและเฉลยทใ่ี ชใ้ นการตรวจสอบความรกู้ อ่ นเรยี นตามทรี่ ะบไุ วใ้ นหนงั สอื เรยี น เพอื่ ใหค้ รู ไดต้ รวจสอบและทบทวนความรใู้ ห้นักเรียนก่อนเร่มิ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ในแตล่ ะบทเรยี น การจัดการเรียนรู้ในแต่ละหัวข้ออาจมีองค์ประกอบแตกต่างกัน โดยรายละเอียดแต่ละ องคป์ ระกอบ เปน็ ดังน้ี • จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ที่ต้องการให้นักเรียนเกิดความรู้ หรือทักษะหลังจากผ่าน กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ในแต่ละหัวข้อ ซึ่งสามารถวัดและประเมินผลได้ ท้ังน้ีครูอาจตั้ง จุดประสงคเ์ พมิ่ เตมิ จากท่ีใหไ้ ว้ตามความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละห้องเรียน • ความเขา้ ใจคลาดเคลอ่ื นที่อาจเกดิ ขน้ึ เนอ้ื หาทนี่ กั เรยี นอาจเกดิ ความเขา้ ใจคลาดเคลอื่ นทพ่ี บบอ่ ย ซงึ่ เปน็ ขอ้ มลู ใหค้ รไู ดพ้ งึ ระวงั หรอื อาจเนน้ ย�ำ้ ในประเดน็ ดงั กล่าวเพอ่ื ป้องกนั การเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลอ่ื นได้ • แนวการจดั การเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีการนำ�เสนอทั้งใน สว่ นของเนอื้ หาและกจิ กรรมเปน็ ขน้ั ตอนอยา่ งละเอยี ด ทงั้ นค้ี รอู าจปรบั หรอื เพม่ิ เตมิ กจิ กรรมจาก ท่ีใหไ้ ว้ตามความเหมาะสมกบั บรบิ ทของแตล่ ะห้องเรียน กจิ กรรม การปฏิบัติท่ีช่วยในการเรียนรู้เนื้อหาหรือฝึกฝนให้เกิดทักษะตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ของบทเรียน โดยอาจเป็นการทดลอง การสาธิต การสบื คน้ ข้อมูล หรือกจิ กรรมอ่ืน ๆ ซ่งึ ควรให้ นกั เรียนลงมอื ปฏิบตั ิกิจกรรมดว้ ยตนเอง โดยองคป์ ระกอบของกิจกรรมมรี ายละเอียดดงั น้ี

ข้อแนะน�ำ ทวั่ ไปในการใชค้ มู่ อื ครู - จดุ ประสงค์ เป้าหมายทต่ี อ้ งการใหน้ กั เรยี นเกดิ ความรหู้ รอื ทกั ษะหลังจากผ่านกจิ กรรมนนั้ - วัสดุและอปุ กรณ์ รายการวัสดุ อุปกรณ์ หรือสารเคมี ที่ต้องใช้ในการทำ�กิจกรรม ซ่ึงครูควรเตรียมให้เพียง พอสำ�หรับการจัดกจิ กรรม - การเตรียมลว่ งหน้า ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งท่ีครูต้องเตรียมล่วงหน้าสำ�หรับการจัดกิจกรรม เช่น การเตรียม สารละลายทีม่ คี วามเขม้ ขน้ ตา่ ง ๆ การเตรยี มตัวอย่างสงิ่ มชี ีวิต - ข้อเสนอแนะสำ�หรับครู ขอ้ มลู ทใ่ี หค้ รแู จง้ ตอ่ นกั เรยี นใหท้ ราบถงึ ขอ้ ควรระวงั ขอ้ ควรปฏบิ ตั ิ หรอื ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ ใน การท�ำ กจิ กรรมน้นั ๆ - ตัวอยา่ งผลการทำ�กจิ กรรม ตัวอย่างผลการทดลอง การสาธิต การสืบค้นข้อมูล หรือกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อให้ครูใช้เป็น ข้อมูลส�ำ หรบั ตรวจสอบผลการทำ�กจิ กรรมของนกั เรยี น - อภิปรายและสรปุ ผล ตัวอย่างข้อมูลท่ีควรได้จากการอภิปรายและสรุปผลการทำ�กิจกรรม ซึ่งครูอาจใช้คำ�ถาม ทา้ ยกิจกรรมหรอื ค�ำ ถามเพ่ิมเติม เพ่อื ช่วยใหน้ ักเรียนอภิปรายในประเด็นทต่ี ้องการ รวมทัง้ ชว่ ย กระตุ้นให้นักเรียนช่วยกันคิดและอภิปรายถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำ�ให้ผลของกิจกรรมเป็นไปตามท่ี คาดหวงั หรอื อาจไม่เปน็ ไปตามทค่ี าดหวัง นอกจากน้ีอาจมีความรู้เพ่ิมเติมสำ�หรับครู เพ่ือให้ครูมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองนั้น ๆ เพมิ่ ขนึ้ ซึ่งไมค่ วรนำ�ไปเพิม่ เตมิ ใหน้ ักเรยี น เพราะเป็นส่วนท่เี สรมิ จากเน้อื หาท่ีมีในหนงั สอื เรยี น

ขอ้ แนะนำ�ท่วั ไปในการใช้คูม่ ือครู • แนวการวดั และประเมินผล แนวการวดั และประเมนิ ผลทส่ี อดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ซง่ึ ประเมนิ ทง้ั ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 และจติ วิทยาศาสตรข์ องนักเรยี น ทค่ี วรเกดิ ขนึ้ หลงั จากไดเ้ รยี นรใู้ นแตล่ ะหวั ขอ้ ผลทไี่ ดจ้ ากการประเมนิ จะชว่ ยใหค้ รทู ราบถงึ ความ สำ�เร็จของการจดั การเรยี นรู้ รวมทั้งใชเ้ ปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ และพฒั นาการจัดการเรียนรู้ ให้เหมาะสมกบั นักเรียน เครื่องมือวัดและประเมินผลมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น แบบทดสอบรูปแบบต่าง ๆ แบบประเมินทักษะ แบบประเมินคุณลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ ซ่ึงครูอาจเลือกใช้เครื่องมือ ส�ำ หรับการวดั และประเมินผลจากเครอ่ื งมอื มาตรฐานทมี่ ีผพู้ ฒั นาไว้แลว้ ดดั แปลงจากเครื่องมอื ที่ผู้อื่นทำ�ไว้แล้ว หรือสร้างเคร่ืองมือใหม่ข้ึนเอง ตัวอย่างของเครื่องมือวัดและประเมินผล ดังภาคผนวก • เฉลยค�ำ ถาม แนวค�ำ ตอบของค�ำ ถามระหวา่ งเรยี นและค�ำ ถามทา้ ยบทเรยี นในหนงั สอื เรยี น เพอื่ ใหค้ รใู ช้ เปน็ ข้อมลู ในการตรวจสอบการตอบคำ�ถามของนักเรียน - เฉลยคำ�ถามระหวา่ งเรยี น แนวคำ�ตอบของคำ�ถามระหว่างเรียนซ่ึงมีทั้งคำ�ถามชวนคิด ตรวจสอบความเข้าใจ และ แบบฝกึ หดั ทงั้ นคี้ รคู วรใชค้ �ำ ถามระหวา่ งเรยี นเพอื่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจของนกั เรยี นกอ่ น เร่มิ เนอื้ หาใหม่ เพื่อใหส้ ามารถปรับการจดั การเรียนรใู้ ห้เหมาะสมต่อไป - เฉลยคำ�ถามทา้ ยบทเรยี น แนวคำ�ตอบของแบบฝึกหัดท้ายบท ซ่ึงครูควรใช้คำ�ถามท้ายบทเรียนเพื่อตรวจสอบว่า หลังจากเรียนจบบทเรียนแล้ว นักเรียนยังขาดความรู้ความเข้าใจในเร่ืองใด เพ่ือให้สามารถ วางแผนการทบทวนหรือเนน้ ย�้ำ เนื้อหาให้กับนกั เรียนก่อนการทดสอบได้

สารบัญ เนื้อหา หน้า บทที่ บทที่ 12 เคมอี นิ ทรยี ์ 1 ผลการเรยี นรู้ 1 12 การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนร้ ู 2 ผงั มโนทศั น ์ 6 เคมอี ินทรีย์ สาระส�ำ คญั 7 เวลาท่ใี ช ้ 8 เฉลยตรวจสอบความรู้ก่อนเรยี น 8 12.1 พนั ธะของคารบ์ อนในสารประกอบอนิ ทรยี ์ 10 12.2 สูตรโครงสร้างของสารประกอบอนิ ทรีย์ 14 เฉลยแบบฝึกหัด 12.1 18 12.3 หมฟู่ ังก์ชัน 20 เฉลยแบบฝึกหัด 12.2 23 12.4 ชอื่ ของสารประกอบอินทรีย์ 26 เฉลยแบบฝกึ หัด 12.3 30 12.5 ไอโซเมอร ์ 33 เฉลยแบบฝึกหัด 12.4 41 12.6 สมบตั ขิ องสารประกอบอนิ ทรยี ์ 44 เฉลยแบบฝกึ หดั 12.5 56 12.7 ปฏิกริ ยิ าเคมขี องสารประกอบอนิ ทรีย ์ 59 เฉลยแบบฝกึ หดั 12.6 77 12.8 สารประกอบอนิ ทรียใ์ นชวี ติ ประจำ�วนั และ 83 การน�ำ ไปใชป้ ระโยชน์ เฉลยแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 91

สารบัญ เนอ้ื หา หน้า บทที่ บทท่ี 13 พอลเิ มอร์ 100 ผลการเรยี นร ู้ 100 13 การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ 100 ผังมโนทศั น ์ 103 พอลิเมอร์ สาระสำ�คญั 104 เวลาท่ีใช้ 104 เฉลยตรวจสอบความร้กู ่อนเรยี น 105 13.1 พอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร ์ 106 13.2 ปฏิกิรยิ าการเกดิ พอลเิ มอร ์ 106 เฉลยแบบฝึกหัด 13.1 109 13.3 โครงสร้างและสมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ 115 เฉลยแบบฝึกหดั 13.2 123 13.4 การปรับปรงุ สมบัติของพอลิเมอร์ 124 เฉลยแบบฝึกหัด 13.3 132 13.5 การแก้ปัญาขยะจากพอลิเมอร ์ 133 เฉลยแบบฝกึ หัดท้ายบท 137

สารบัญ ตัวอย่างเคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผล 149 ภาคผนวก บรรณานกุ รม 162 คณะกรรมการจัดทำ�คูม่ ือคร ู 165

เคมี เล่ม 5 บทที่ 12 | เคมอี ินทรีย์ 1 บทท่ี 12 เคมอี นิ ทรีย์ ipst.me/10771 ผลการเรียนรู้ 1. สบื คน้ ขอ้ มลู และน�ำ เสนอตวั อยา่ งสารประกอบอนิ ทรยี ์ท่ีมพี นั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ หรอื พนั ธะสาม ทพ่ี บในชวี ติ ประจ�ำ วนั 2. เขยี นสตู รโครงสรา้ งลวิ อิส สตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ และสตู รโครงสรา้ งแบบเสน้ ของสารประกอบ อนิ ทรยี ์ 3. วเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งและระบปุ ระเภทของสารประกอบอนิ ทรยี จ์ ากหมฟู่ งั กช์ นั 4. เขยี นสตู รโครงสรา้ งและเรยี กชอ่ื สารประกอบอนิ ทรยี ป์ ระเภทตา่ ง ๆ ทม่ี หี มฟู่ งั กช์ นั ไมเ่ กนิ 1 หมู่ ตามระบบ IUPAC 5. เขยี นไอโซเมอรโ์ ครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรยี ป์ ระเภทตา่ ง ๆ 6. วเิ คราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บจดุ เดอื ดและการละลายในน�ำ้ ของสารประกอบอนิ ทรยี ท์ ม่ี หี มฟู่ งั กช์ นั ขนาดโมเลกลุ หรอื โครงสรา้ งตา่ งกนั 7. ระบปุ ระเภทของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนและเขยี นผลติ ภณั ฑจ์ ากปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ ปฏกิ ริ ยิ ากบั โบรมนี หรอื ปฏกิ ริ ยิ ากบั โพแทสเซยี มเปอรแ์ มงกาเนต 8. เขยี นสมการเคมแี ละอธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเอสเทอรฟิ เิ คชนั ปฏกิ ริ ยิ าการสงั เคราะหเ์ อไมด์ ปฏิกิรยิ าไฮโดรลซิ ิส และปฏิกริ ยิ าสะปอนนฟิ เิ คชนั 9. ทดสอบปฏิกริ ิยาเอสเทอริฟเิ คชัน ปฏิกริ ิยาไฮโดรลซิ ิส และปฏกิ ริ ยิ าสะปอนนิฟเิ คชนั 10. สบื คน้ ขอ้ มลู และน�ำ เสนอตวั อยา่ งการน�ำ สารประกอบอนิ ทรยี ไ์ ปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั และอตุ สาหกรรม สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

บทท่ี 12 | เคมอี ินทรีย์ เคมี เลม่ 5 36 หหนนา า3333 4. ครใู หค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สารทเ่ี ปน็ ไอโซเมอรก์ นั ทม่ี หี มฟู่ งั กช์ นั เดยี วกนั โดยใชส้ ารที่มสี ูตรโมเลกุล เปน็ C4H10 ในรูป 12.5 เปน็ ตัวอยา่ งตามรายละเอยี ดในหนังสอื เรียน 5. ครูให้ความรู้เก่ียวกับไอโซเมอร์ของแอลคีนและแอลไคน์ โดยชี้ให้เห็นตำ�แหน่งของพันธะคู่ หรอื พนั ธะสามในสายโซค่ ารบ์ อนทต่ี า่ งกนั ดงั รปู 12.6 และการตอ่ กนั ของอะตอมของคารบ์ อนแบบโซเ่ ปดิ และแบบวง ดังรูป 12.7 ประกอบการอธบิ าย OOHH OOHH OO ความรู้เพมิ่ เตมิ สำ�หรับครู Degree of unsaturation หรอื Double bond equivalent (DBE) เปน็ คา่ ทแ่ี สดงถงึ จ�ำ นวน หหนนาา 3355พนั ธะค่หู รือจ�ำ นวนวงในโมเลกุลของสาร ซ่ึงสามารถค�ำ นวณจากสตู รโมเลกุล ไดด้ งั น้ี Degr ee of u ns at uration = 2C + 2 + N X H 2 เมือ่ C เป็นจ�ำ นวนอะตอมของคาร์บอน N เปน็ จ�ำ นวนอะตอมของไนโตรเจน X เปน็ จำ�นวนอะตอมของธาตแุ ฮโลเจน H เป็นจ�ำ นวนอะตอมของไฮโดรเจน คา่ Degree of unsaturation นช้ี ว่ ยเปน็ แนวทางในการเขยี นโครงสรา้ งของสารจากสตู รโมเลกลุ หหนนา า3366เชน่ สารทม่ี สี ตู รโมเลกลุ C6H12 เมอ่ื ค�ำ นวณ Degree of unsaturation ไดค้ า่ เทา่ กบั 1 ดงั นน้ั ในโครงสรา้ งของสารอาจมพี ันธะคู่ 1 พนั ธะ หรือมวี ง 1 วง เชน่ hex-1-ene cyclohexane 6. ครใู หน้ ักเรียนตอบค�ำ ถามตรวจสอบความเข้าใจ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี