หน้าที่ของพระสงฆ์หรือที่เราได้ยินกันบ่อยว่ากิจของสงฆ์มีทั้ง 1.หน้าที่โดยพระธรรมวินัย และ 2. หน้าที่ต่อสังคม Show หน้าที่โดยพระธรรมวินัย หน้าที่โดยพระธรรมวินัย หมายถึง หน้าที่ที่พระธรรมวินัยโดยตรง รวมทั้งหน้าที่ที่คณะสงฆ์กำหนดให้ โดยมีดังต่อไปนี้ 1.รักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยที่ต้องรักษาคือ จาตุปาริสุทธิศีล เช่น ปาฏิโมกขสังวรศีล
อิทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจยสันนิตศีล หน้าที่ต่อสังคม โดยจะมีทั้งหมด 7 อย่าง ดังนี้ 1.อบรมให้ประชาชนมีคุณธรรม ไม่ทำความชั่ว รู้จักการนำหลักธรรมพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งการที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวนี้พระสงฆ์สามารถทำนอกเหนือจากการกระทำปกติ หน้าที่ของพระสงฆ์เป็นการแสดงว่าพระสงฆ์นั้นเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ถ้าในยุคใดพระสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวคลาดเคลื่อน ในยุคนั้นประชาชนก็จะขาดความนับถือ สังคมไม่เห็นคุณค่าทางพระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมลง แต่ถ้าในยุคใดที่พระสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ในยุคนั้นพระสงฆ์ก็จะมีประชาชนนับถือมาก และพระพุทธศาสนาก็จะรุ่งเรือง ซึ่งทำให้เป็นศูนย์รวมทางจิตใจ และเมื่อมีประชาชนมานับถือก็จะสร้างโบราณวัตถุและโบราณสถาน ดังนั้นพระสงฆ์จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนาที่สืบต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
บทบาทของพระสงฆ์ในการช่วยเหลือประชาชน ด้านการศึกษา ในสมัยก่อน การศึกษามีเฉพาะในวัดและในวัง ในวัดพระสงฆ์เป็นผู้จัดการศึกษาและเป็นผู้สอน ในวังพระมหากษัตริย์ทรงจัดการศึกษา โดยให้ราชบัณฑิต คือ ผู้ที่ลาสิกขาจากพระภิกษุบ้าง พระสงฆ์บ้างเป็นผู้สอน การศึกษามี ๓ ระดับคือ ๑.ระดับเด็กวัด
ครอบครัวที่ไม่รู้หนังสือ เมื่อมีเด็กชายอายุได้ ๗-๘ ปีก็นำไปถวายพระเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่ในวัดใกล้บ้านให้เป็นเด็กวัด ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่รับใช้พระสงฆ์แล้ว ยังได้รับการศึกษาตามระดับอันเทียบได้กับระดับประถมศึกษา ในสมัยต่อมาจนปัจจุบัน พระสงฆ์ช่วยเหลือในด้านการศึกษาดังนี้ คือ ๑ให้ใช้อาคารวัดในการศึกษา หน้าที่ของพระสงฆ์ในการศึกษา ปฏิบัติ
และเผยแผ่พระพุทธศาสนา 1. นิสสัย 4หมายถึง ต้องอาศัยปัจจัย 4 อย่างดำรงชีวิต ได้แก่ 1) ถือบิณฑบาตเป็นกิจวัตร คือ รับประทานอาหารชาวบ้านเลี้ยงชีพ ไม่ประกอบอาชีพใดๆ 2. อกรณียกิจ 4 หมายถึง ไม่ควรกระทำสิ่งเหล่านี้ คือ 1)ไม่เกี่ยวข้องทางกามารมณ์ นอกจากนี้พระสงฆ์ยังมีหน้าที่หลักที่จะพึงปฏิบัติหลังจากบวชเข้ามาแล้ว 2 ประการ ได้แก่ หน้าที่ในการศึกษาอบรม 1.1 ด้านศีล ต้องควบคุมกาย วาจา ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย งดเว้นจากข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ศีลของพระภิกษุสงฆ์มีอยู่ 2 ประเภท คือ (1) ศีลในปาติโมกข์ หมายถึงศีลที่สำคัญ 227 ข้อ (สำหรับภิกษุสงฆ์) และ 311 ข้อ (สำหรับภิกษุณีสงฆ์) 1.2 ด้านสมาธิ ต้องฝึกฝนจิตใจด้วยการฝึกสมาธิวิปัสสนา ซึ่งอาจทำทั้ง 2 วิธีควบคู่กันไปคือ (1) ฝึกสมถภาวนา ได้แก่
การหาวิธีหรืออุปกรณ์เพื่อให้จิตยึดเหนี่ยวเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็จะสงบ สามารถขจัดสิ่งมัวหมองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาจิตใจ ซึ่งเรียกว่า นิวรณ์ ออกจากใจได้ ผลของการฝึกเช่นนี้เป้าหมายคือทำให้จิตใจให้สงบข่มกิเลสได้ชั่วครั้งชั่วคราว วิธีฝึกมี 40 วิธีแตกต่างกันออกไป 1.3 ด้านปัญญา พระสงฆ์จะต้องศึกษาอบรมตนให้เป็นผู้มีปัญญา ให้สมกับเป็นผู้นำทางสติปัญญาของชาวบ้าน ปัญญามี 2 ระดับคือ (1) ปัญญาระดับสุตะ คือความรู้ระดับโลกิยะที่คนทั่วๆไปจะพึงมี เช่นการศึกษาเล่าเรียนด้วยการฟัง การจำข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ กล่าวสั้นๆก็คือสรรพวิทยาการทั้งหลายนั่นเอง
พระสงฆ์ต้องเรียนรู้วิชาการด้านต่างๆที่จำเป็น จนกระทั่งเป็น "พหูสูต" (ผู้คงแก่เรียน) เพื่อที่จะได้ให้คำแนะนำชาวบ้านได้ และที่สำคัญความรู้เหล่านี้จะได้เป็นเครื่องมือหรือ "สื่อ" สำหรับถ่ายทอดคำสอนทางพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี เช่น พระสงฆ์ที่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ย่อมสามารถอธิบายหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในแง่วิทยาศาสตร์แก่นักวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี เป็นต้น พระสงฆ์ในอุดมคตินั้นท่านสามารถปฏิบัติตนให้เพียบพร้อมด้วยศีล สมาธิ และ ปัญญา ดังกล่าวมาแล้ว จึงอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลของชาวพุทธ หน้าที่ในการปฏิบัติและเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อฝึกฝนอบรมตนให้พร้อมทั้งด้านศีล สมาธิ และปัญญาแล้ว พระสงฆ์ยังจะต้องปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ คือ การเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การเผยแผ่พระธรรมจะได้ผลดีนั้น พระสงฆ์ต้องทำตนให้เป็น "กัลยาณมิตร" คือเพื่อนที่แท้ ที่คอยชี้แนะแนวทางให้พุทธศาสนิกด้วยความหวังดี ซึ่งขอกล่าวโดยสรุป 5 ประการ คือ 1) สร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาและทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี พระสงฆ์ต้องพยายามชักชวนและชี้แจงให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้มั่นใจในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เช่น
ถ้ามีบางคนเช้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนหลักธรรมที่สูงเกินไปกว่าสามัญชนจะปฏิบัติได้ ก็ชี้แจงให้เขาเข้าใจว่า ที่จริงแล้วพระพุทธศาสนาสอนธรรมะไว้ถึง 3 ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน เน้นไปที่การประสบความสำเร็จ การมีความสุขแบบชาวโลก การพึ่งตนได้ทางเศรษฐกิจ ระดับกลาง เน้นไปที่ความมีคุณธรรมจริยธรรมและ ระดับสูง เน้นไปที่การลดละกิเลสได้เด็ดขาด ธรรมะคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงเหมาะแก่คนทุกระดับ ใครพอใจหรือมีความสามารถปฏิบัติได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แล้วค่อยพัฒนาให้ก้าวสูงขึ้นไปตามลำดับ 2) สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในบางครั้งบางคนอาจจะไม่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มิใช่เพราะพระพุทธศาสนาสอนไม่ดี แต่เพราะไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด จึงเหมาเอาว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี ไม่น่าเลื่อมใสศรัทธา ยกตัวอย่างเช่น
กล่าวหาว่าพระพุทธศาสนาสอนหลักธรรมที่ขัดกับการพัฒนาคนและสังคม เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้กำจัดตัณหา โดยเขาให้เหตุผลว่า การจะพัฒนาอะไรได้นั้น ต้องเร้าให้คนเกิดความอยาก เกิดความต้องการ เมื่อต้องการมากๆก็จะกระทำหรือพัฒนาตนมากขึ้นเอง พระพุทธศาสนาสอนให้ละความอยากก็เท่ากับสอนให้คนงอมืองอเท้า ไม่สร้างสรรค์นั่นเอง 3) สอนให้ละความชั่ว คนทุกคนชอบความดีเกลียดความชั่ว แต่ทั้งๆที่ชอบความดีเกลียดความชั่ว ในบางครั้งบางคนก็อดทำความชั่วไม่ได้ เพราะความหลงผิดบ้าง เพราะจิตใจไม่เข้มแข็งพอบ้าง หน้าที่ของพระสงฆ์อีกประการหนึ่งก็คือ พยายามหาวิธีให้คนละทำความชั่วแต่ให้พึงทำความดีให้ได้ สิ่งใดบอกให้เข้าใจได้ก็บอก สิ่งใดบอกด้วยปากไม่ได้ผลก็ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ดังกรณีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เดินไปเห็นเนื้อติดบ่วงนายพรานอยู่จึงปล่อยเนื้อตัวนั้น แล้วเอาบ่วงผูกขาตนเองแทน เมื่อนายพรานเจ้าของบ่วงมาพบเข้า จึงสำนึกว่าท่านมาแสดงปริศนาธรรม มาสั่งสอนตนให้งดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งนายพรานก็ยอมทำตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ จึงเลิกอาชีพการเป็นนายพรานนับตั้งบัดนั้น ดังนี้เป็นต้น 4) สนับสนุนให้ทำความดี พระสงฆ์ต้องสร้างเสริมกำลังใจให้คนทำความดี มีเทคนิควิธีแนะนำที่เหมาะแก่บุคคล เพราะคนเรานั้นมีพื้นฐานและความสนใจไม่เหมือนกัน ผู้สอนจึงต้องรู้จักปรับวิธีการแนะนำสั่งสอนให้เหมาะแก่คนแต่ละคนว่าจะเป็นเรื่องใด ดังกรณีผู้ปฏิบัติสมาธิ บ่นกับอาจารย์สอนสมาธิรูปหนึ่งว่า เขาหมดกำลังใจปฏิบัติแล้ว ยิ่งปฏิบัติเท่าใดก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน ไม่ได้ผลอะไรเลย อาจารย์ตอบว่า "อย่างน้อยโยมก็ได้แล้ว คือได้ความรู้ว่าจิตโยมฟุ้งซ่าน ถ้าปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆโยมก็อาจจะได้มากกว่านี้ ขอให้ทำต่อไปเถอะ ความดีมิใช่ว่าทำได้ในภายในวันสองวัน อย่างนี้เป็นต้น 5) สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพไว้สืบทอดพระพุทธศาสนา ถึงพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระธรรมวินัย (พระพุทธศาสนา) ก็ยังคงอยู่ เพราะได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมา พุทธบริษัททั้งหลาย โดยเฉพาะภิกษุบริษัทมีหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาโดยตรงจึงต้องสร้างศาสนทายาทที่มีคุณภาพไว้ด้วย ศาสนทายาทที่มีคุณภาพจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ คือ 1. มีความรู้พระพุทธศาสนาดี การสร้างบุคลากรไว้สืบทอดพระพุทธศาสนานั้นเปรียบได้ดั่งตระกูลที่ไม่มีทายาทสืบทอด แม้จะมั่งคั่งมั่นคงเพียงใดในเบื้องต้น ที่สุดก็จะอยู่ไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธศาสนา แม้จะมีคำสอนที่ดีวิเศษเพียงใด ถ้าขาดศาสนทายาทสืบทอดต่อๆกันมา ก็สูญสลายไปเช่นนั้น" ฉะนั้น พระสงฆ์ที่มองการณ์ไกลท่านจึงพยายามสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้มั่งคงสถาพรต่อไป กิจของสงฆ์คืออะไรกิจสงฆ์ หมายถึงงานที่เป็นหน้าที่ของสงฆ์ เช่น กิจวัตร การรักษาธรรมวินัย การทำสังฆกรรม การดูแลรักษาวัด การเผยแผ่ศาสนา กิจนิมนต์ หมายถึง กิจที่ต้องไปในงานต่างๆ ตามคำนิมนต์ เช่น งานบุญ งานเทศน์ งานสอน งานสงเคราะห์อื่นๆ
พระสงฆ์มีหน้าที่ หลักสําคัญ มีอะไรบ้างวัดและพระสงฆ์คือสถาบันทางพระพุทธศาสนาที่ส าคัญหน้าที่หลักของพระสงฆ์คือ การศึกษาปฏิบัติธรรมและการสั่งสอนหลักธรรมทางศาสนาให้แพร่หลายและสืบต่อค าสอนของ ศาสนาให้คงอยู่ในสังคมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วัดในฐานะองค์กรที่ส าคัญองค์กรหนึ่งใน สังคมไทย และเป็นศูนย์กลางของชุมชน ในอดีตวัดเป็นทุกอย่างของสังคม เป็นศูนย์กลางที่รวม จิตใจ ...
กิจของสงฆ์มีกี่ข้อประการแรก คือ ลงอุโบสถ ประการที่สอง คือ บิณฑบาต เลี้ยงชีพ ประการที่สาม คือ ทำวัตรสวดมนต์ ประการที่สี่ คือ กวาดอาวาสวิหารลานเจดีย์
พระภิกษุสงฆ์ มีหน้าที่อะไรหน้าที่หลักของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ การศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา แล้วปฏิบัติตาม พร้อมทั้งนำหลักคำสอนมาเผยแผ่แก่ประชาชน สำหรับพระสงฆ์ไทยมีหน้าที่ และบทบาทที่ต้องปฏิบัติ ดังนี้. การรับพระสงฆ์ ... . การให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์ ... . การตามส่งพระสงฆ์ ... . เมื่อพระสงฆ์เดินตามหลังมา ... . เมื่อเดินตามหลังพระสงฆ์. |