ทำไมประจำเดือนมากระปริดกระปรอย

สาเหตุประจำเดือนมาผิดปกติเกิดได้หลายสาเหตุ

  1. ถ้าเป็นสุภาพสตรีที่มีอายุน้อยและผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว แต่ไม่ได้คุมกำเนิด อาจเกิดจากการตั้งครรภ์หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การแท้งบุตร เป็นต้น
  2. สุภาพสตรีบางคนอาจทานยาบางชนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง เช่น กวาวเครือ ก็เป็นสาเหตุที่กระตุ้นทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้
  3. สุภาพสตรีในวัยที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน เช่น อายุ 13 ปี หรือ วัยใกล้หมดประจำเดือน เช่น อายุ 49 ปี มักมีภาวะฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการที่เลือดออกผิดปกติได้
  4. สุภาพสตรีที่อยู่ในภาวะเครียด เช่น การนอนดึก มีปัญหาทางบ้าน ทะเลาะกับแฟน สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้
  5. การติดเชื้อหรือแผลบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ในสุภาพสตรี เช่น บริเวณปากมดลูก หรือ เยื่อบุโพรงมดลูก ก็สามารถทำให้เกิดแผลแล้วมีเลือดออกได้
  6. อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญและน่ากลัวที่สุด คือ มะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ของสุภาพสตรี เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติในสุภาพสตรีที่พบได้บ่อยเช่นกัน


การสังเกตอาการที่บ่งบอกถึงสัญญาณความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

  1. การมีเลือดออกจากช่องคลอดกระปริดกระปรอย เช่น มีเลือดออกทุกวัน หรือ วันเว้นวัน
  2. การมีรอบประจำเดือนที่มาเร็วกว่าทุก 21 วัน
  3. มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือน
  4. มีเลือดออกจากช่องคลอดปริมาณมากและลักษณะเป็นลิ่มเลือดหรือเป็นก้อน ๆ และใช้ผ้าอนามัยมากกว่าวันละ 5 แผ่น
  5. มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
  6. มีเลือดออกหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว


วิธีการรักษา

สุภาพสตรีที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุ แต่ถ้าแพทย์ยังไม่สามารถหาสาเหตุของเลือดออกผิดปกติที่แน่ชัดได้ ก็อาจจำเป็นต้องขอส่งตรวจวิธีพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ หรือ หากจำเป็นจริง ๆ แพทย์ก็อาจขอขูดมดลูกเพื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจวินิจฉัยหาเซลล์มะเร็งต่อไป


วิธีการป้องกัน ไม่ให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ

- หันมาใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน โดยทานอาหารให้ครบ5หมู่

- ไม่กินยาใดๆ โดยไม่จำเป็น

- หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

- รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส

- สุภาพสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือ ผู้หญิงโสดที่มีอายุเกินกว่า 35 ปี ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในประจำปี และ ตรวจหามะเร็งปากมดลูก แม้ว่าจะยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม

การตรวจภายในประจำปี และตรวจหามะเร็งปากมดลูก จะต้องเลือกไปพบแพทย์ในวันที่ไม่มีประจำเดือน งดมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 7 วัน

การตรวจภายในประจำทุกปี ในขณะที่คุณผู้หญิงยังไม่มีอาการผิดปกตินับว่าเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็งในสตรี เนื่องจากแพทย์จะสามารถตรวจหาโรคในระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการและสามารถรักษาให้หายได้ทัน ก่อนอาการจะรุนแรง

ผู้หญิงส่วนใหญ่หนีไม่พ้นการปวดประจำเดือน แต่หากปวดมากขึ้นกว่าที่เคยปวดจนเป็นเหตุให้ต้องนอนหยุดพัก ไปทำงานไม่ได้ หรือใช้ชีวิตประจำวันไม่ไหว ก็ควรหาโอกาสไปตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ยิ่งหากมีอาการต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องรีบเลย

อาการแบบนี้ที่ชวนสงสัยว่าไม่ใช่ปวดประจำเดือนธรรมดา

  • ปวดจนต้องนอนพัก หยุดงาน หรือต้องกินยาแก้ปวดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จากที่เคยกินยาแก้ปวดเม็ดเดียวแล้วหายก็ต้องกินเพิ่มหรือกินบ่อยขึ้น
  • ขณะมีเพศสัมพันธ์รู้สึกเจ็บหรือปวดทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือเคยเป็นแต่ไม่มากเท่าปัจจุบัน
  • ประจำเดือนมามาก มาหลายวันกว่าปกติ
  • มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซีด
  • ปัสสาวะบ่อยขึ้น และในตอนกลางคืนต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำมากกว่า 1 ครั้ง
  • ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หรือปวดมากขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนอิริยาบถไปนอนหรือนั่งในบางท่า

หากมีอาการต่างๆ ที่ว่ามานี้ โปรดอย่าอยู่เฉย เพราะนั่นอาจหมายถึงกำลังเริ่มมีอาการของโรคเหล่านี้

1. โรคเนื้องอกมดลูก

นับเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดสำหรับโรคทางนรีเวช เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติจนเป็นก้อนและแทรกเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อ แม้จะไม่ใช่โรคร้ายเพราะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ในบางรายก็อาจจะมีอาการปวดทรมานรุนแรง หรือลุกลามส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญอื่นๆ ในร่างกาย ซึ่งอาการที่แสดงออกจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น เช่น...

  • เนื้องอกที่เกิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูก จะทำให้ประจำเดือนมากขึ้นและนานหลายวันขึ้น
  • เนื้องอกที่เกิดด้านหน้าใต้กระเพาะปัสสาวะจะกดกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ต้องปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่สุด
  • เนื้องอกที่เกิดด้านหลัง จะกดลำไส้ใหญ่ส่งผลให้มีอาการท้องผูก
  • เนื้องอกที่ขยายไปทางด้านข้าง อาจจะไปกดท่อไต ทำให้การทำงานของไตเสียหายได้
  • เนื้องอกที่เกิดด้านบนของมดลูก ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ จึงมักตรวจพบเมื่อก้อนมีขนาดใหญ่แล้ว

2. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และช็อกโกแลตซีสต์

ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดนั้นเกิดกับประชากรหญิงประมาณ 10% เมื่อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่จึงทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน ต่อมาจะเกิดเป็นถุงน้ำเล็กๆ ที่มีของเหลวเหมือนช็อกโกแลต ซึ่งจะค่อยๆ เบียดเนื้อรังไข่ และขยายใหญ่ขึ้นจนเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) ภาวะนี้จะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้สตรีมีบุตรยาก แต่อาการสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องที่ควรใส่ใจมากกว่า คือ....

  • ปวดประจำเดือนมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น สังเกตได้จากต้องกินยาเพิ่มมากขึ้นจึงบรรเทาอาการปวดได้
  • มีอาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดเรื้อรัง ปวดทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด หรือมีลำไส้แปรปรวนร่วมด้วย

3. ถุงน้ำหรือซีสต์ที่รังไข่ (Ovarian Cyst)

ถุงน้ำรังไข่หรือซีสต์มีหลายแบบ ถ้าเป็นถุงน้ำตามธรรมชาติที่เกิดตามรอบเดือน โดยธรรมชาติแล้วก็จะยุบไปเองตามรอบเดือน หรือถ้าตกค้างอยู่ ภายใน 2-3 เดือนก็จะยุบเองได้เช่นกัน แต่หากเกิดความผิดปกติคือถุงน้ำไม่ยุบแต่กลับโตขึ้น ก็จำเป็นต้องรักษา ซึ่งมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยอาการทั่วไปของการมีถุงน้ำรังไข่เจริญขึ้นจนเป็นปัญหา มักมีดังนี้...

  • ประจำเดือนผิดปกติ คือ มามาก มากระปริดกระปรอย ปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน
  • มีอาการปวดท้องน้อย และถ้าปวดสัมพันธ์กับรอบเดือนก็อาจสงสัยว่าจะมีช็อกโกแลตซีสต์
  • ปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากซีสต์โตพอสมควรและไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้พื้นที่กระเพาะปัสสาวะเล็กลง
  • มีอาการหน่วงๆ ท้องน้อยบ่อยๆ
  • ไม่มีอาการ แต่กลับมีหน้าท้องโตขึ้น หลายคนจึงคิดว่าเกิดจากที่อ้วนขึ้น
  • ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุจากขั้วถุงน้ำรังไข่บิด หรือถุงน้ำรังไข่แตก ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

4. โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis)

โรคนี้เกิดจากการที่มีเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูก ซึ่งปกติแล้วเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญและสลายตามรอบระดู แต่เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นและมีการเจริญในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก ก็จะทำให้มดลูกเกิดการบีบตัว เกิดพังผืด เมื่อเกิดซ้ำๆ หลายๆ รอบประจำเดือนจึงทำให้มดลูกโตขึ้น โดยสังเกตอาการได้ดังนี้

  • ประจำเดือนมามากและนานผิดปกติ
  • ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดหน่วง
  • ปวดคล้ายเป็ประจำเดือนแต่เป็นเกือบทุกวันในขณะที่ไม่ได้มีประจำเดือน
  • หมดประจำเดือนแล้ว แต่มีเลือดออกมาทางช่องคลอด
  • สตรีที่มีบุตรยากที่มีประจำเดือนมาน้อยมาก
  • มีภาวะแท้งบุตร แท้งซ้ำ
  • ตรวจพบเนื้องอกหรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูก

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็คือโรคทางนรีเวชที่พบได้บ่อย แต่หากผู้หญิงได้รับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ก็จะสามารถพบสาเหตุหรือแนวโน้มของการเกิดโรคได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เริ่มรักษาได้เร็วขึ้น ผลการรักษาก็ย่อมจะดีกว่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการลุกลาม

ประจำเดือนมากระปริบกระปรอยควรทำอย่างไร

หากยังคงมีเลือดออกกะปริดกะปรอยอยู่เรื่อยๆ หรือมีอาการปวดท้องน้อยมาก หรือมีตกขาวที่ผิดปกติ แนะนำว่าควรไปพบสูติ-นรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ หากตรวจไม่พบโรคต่างๆ แพทย์จะให้ยาปรับฮอร์โมนมาทาน เพื่อให้เลือดหยุดไหลและประจำเดือนมาเป็นปกติค่ะ

ประจำเดือนมากระปิดกระปอยเป็นอะไรไหม

อาการมีเลือดออกกระปริดกระปรอยทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือนดังกล่าวมานั้น อาจจะมีสาเหตุได้หลายอย่าง แบ่งเป็นสาเหตุทางนรีเวชเช่นมีเนื้องอกมดลูกหรือปากมดลูก ถุงน้ำที่สร้างฮอร์โมนที่รังไข่ อวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานอักเสบ การติดเชื้อของช่องคลอดหรือปากมดลูก หรือเป็นสาเหตุเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เช่นภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ ...

เลือดกระปริบกระปรอยมากี่วัน

1. ระยะเวลาที่เลือดออก เลือดล้างหน้าเด็กจะไหลประมาณ 1-2 วัน โดยจะมีช่วงก่อนประจำเดือนในรอบถัดไปมา 1 สัปดาห์ ในขณะที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 5-7 วัน

เลือดออกกระปริบกระปรอย เป็นยังไง

เลือดออกกะปริดกะปรอย (Spotting) เป็นเลือดที่ออกมาเพียงเล็กน้อยมากๆๆๆ จากช่องคลอดของเพื่อนๆ นะคะ โดยอาจสังเกตเห็นจากหยดเลือดบนชั้นใน หรือบนกระดาษชำระที่เช็ดทำความสะอาดเพียงเท่านั้น และถ้าไม่ได้เกิดในช่วงที่เพื่อนๆ จะมีประจำเดือนล่ะก็ ในทางการแพทย์จะไม่นับว่าคือเลือดประจำเดือนค่ะ