เลือกสินเชื่อธนาคารที่ใช่สำหรับคุณStories & Tipsหากคุณมีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ด้วยการขอสินเชื่อก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อให้คุณได้วางแผนการใช้จ่ายเงินได้อย่างราบรื่น ทั้งยังลดอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่อเดือนได้ดีอีกด้วย คุณกำลังออกจากเว็บไซต์ของ SCB เพื่อเข้าสู่xxxx ขอขอบคุณที่ใช้บริการ SCB ธนาคารขอแนะนำให้ท่านศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัว
คำที่คุณใช้ค้นหาล่าสุดผลการค้นหา <strong>"{{keyword}}"</strong> ไม่ปรากฎแต่อย่างใด ข้อแนะนำในการค้นหา
หากคุณกำลังรู้สึกว่าเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ชักหน้าไม่ถึงหลัง จ่ายหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำก็แล้ว กดบัตรโน้นไปโปะบัตรนี้ก็แล้ว แต่สถานการณ์ทางการเงินของคุณก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย การรวมหนี้อาจเป็นทางออกของคุณก็เป็นได้ แล้วการรวมหนี้คืออะไร สามารถติดตามได้ในบทความนี้
หากคุณกำลังประสบปัญหาหนี้สินที่เริ่มมากขึ้นและใช้จ่ายไม่คล่องมือ ลองพิจารณาทางเลือกของการรวมหนี้ โดยการเปรียบเทียบ และหาทางเลือกที่เหมาะสมกับตัวคุณเองให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามวิธีที่จะจัดการกับหนี้ได้ดีที่สุดก็คือ การมีวินัยทางการเงินที่ดี อย่าใช้จ่ายเกินตัว อย่าก่อหนี้เพิ่ม และต้องมีความอดทนในการชำระหนี้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา หากคุณไม่ละทิ้งซึ่งความพยายามแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถปลดหนี้ และสร้างฐานะการเงินที่ดีขึ้นใหม่ได้อย่างแน่นอน หากสนใจจะรวมหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบหรือในระบบ ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สินเเชื่อส่วนบุคคล Speedy Loan
เขียนโดย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.). จำนวนผู้ชม: 45420 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 บัญญัติว่าห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปีแล้วทำไมดอกเบี้ยที่ประชาชนถูกเรียกเก็บจากสถาบันการเงินต่าง ๆ จึงสูงกว่า… อย่างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์มีการอนุญาตให้เรียกเก็บได้ที่ร้อยละ 18 ต่อปี สินเชื่อส่วนบุคคลมีการเรียกเก็บร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 60 บางแห่งที่ปรากฏเป็นข่าวมีการเรียกเก็บสูงถึงร้อยละ 80 ก็มีคำตอบในเรื่องนี้มีอยู่ว่า สำหรับในกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถเรียกดอกเบี้ยสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้เนื่องจาก มีการอ้างถึงความจำเป็นในสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่เปลี่ยนไปและความอยู่รอดทางธุรกิจของสถาบันการเงินต่าง ๆ รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายที่ชื่อ “พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523” ขึ้นมา และมีการแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 (พ.ศ.2524) และฉบับที่ 3 (พ.ศ.2535) ซึ่งทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกเว้นการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 654 และอนุญาตให้สถาบันการเงินเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ โดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเป็นผู้ประกาศอัตราดอกเบี้ยตามคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันการเงินหมายถึงอะไร ที่มา : จากคำนิยามของ พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523
ทั้ง ๆ ที่มีการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แต่การแก้ไขปัญหานี้ของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายเหมือนดั่งเช่นที่ได้เอาจริงเอาจังกับบรรดาเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา นับเป็นการบังคับใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่รัฐบาลทำคือการออกกฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจสินเชื่อประเภทนี้โดยเฉพาะ โดยในช่วงเดือนมิถุนายน 2548 กระทรวงการคลังได้อาศัยอำนาจตามข้อ 5 แห่งประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 ม.ค.2515 ที่ว่าด้วยการควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน ออกประกาศกำหนดให้ธุรกิจสินเชื่อที่มีลักษณะกิจการคล้ายธนาคาร(Nonbank) เหล่านี้ให้เป็นกิจการที่ต้องขออนุญาตและให้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ความผาสุกแห่งสาธารณชนก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามเจตนาของกฎหมายดังกล่าว เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศตามมาเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยรวมกับค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมของสินเชื่อส่วนบุคคลไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี โดยแบ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ที่เหลืออีกร้อยละ 13 คือค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม ให้มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 ก.ค.2548 ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 28 นี้แม้จะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ประชาชนถูกเรียกเก็บอยู่จากบริษัทสินเชื่อบางแห่ง แต่ก็ยังสูงเกือบ 2 เท่าตัวของอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 15 และที่สำคัญไม่มีผู้มีอำนาจหน้าที่ใด ๆ พูดถึงการเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด และถึงแม้จะมีการประกาศอัตราดอกเบี้ยออกมาแล้วจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่กลับไม่ได้มีผลในทางปฏิบัติใด ๆ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขยายระยะเวลาการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่ร้อยละ 28 ออกไป เนื่องจากบริษัทสินเชื่อต่าง ๆ อ้างว่ามีปัญหาทางด้านเอกสารและการตรวจสอบข้อมูลของลูกหนี้ไม่สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงมาได้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากยังคงถูกกอบโกยขูดรีดอย่างเป็นเอาตายเหมือนเดิม จนเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2548 ลูกหนี้กลุ่มหนึ่งได้เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าถูกบริษัทสินเชื่อเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด เป็นข่าวโด่งดัง โดยบางรายแจ้งว่าโดนอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บสูงถึงร้อยละ 50-60 ต่อปี ทำให้เงินค่างวดที่ส่งไปแทบไม่ทำให้เงินต้นลดลงเลย รายชื่อธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่มิใช่สถาบันการเงิน
แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะอ้างถึงประกาศกระทรวงการคลังที่ไปอ้างถึงประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ในการออกประกาศให้ธุรกิจสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารอยู่ในการควบคุมและกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 28 ต่อปีนี้ออกมา แต่ประชาชนก็ไม่ได้รับความผาสุกจากประกาศเหล่านี้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เนื่องจากใช้กลวิธีแยกค่าธรรมเนียมออกจากอัตราดอกเบี้ยจนทำให้ผู้ประกอบการเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 15 เกือบเท่าตัว อย่างไรก็ตาม มีกรณีศึกษาจากคำพิพากษาของศาลที่น่าสนใจในเรื่องความหมายของดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียม ที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งคนเป็นหนี้ คนเป็นเจ้าหนี้ รวมไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายไม่อาจมองข้ามได้ เมื่อปี 2547 ได้มีคำพิพากษาของศาลแขวงแห่งหนึ่งที่มีการพิจารณาถึงความหมายของดอกเบี้ยและมีการพิจารณาพิพากษาให้การเก็บดอกเบี้ยบวกกับค่าธรรมเนียมจนเกินกว่าร้อยละ 15 ให้ถือเป็นโมฆะ โดยศาลเห็นว่าตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่า “ดอกเบี้ย” ว่า เป็นค่าตอบแทนที่บุคคลหนึ่งต้องใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เพื่อการที่ได้ใช้เงินของบุคคลนั้น หรือเพื่อทดแทนการไม่ชำระหนี้ หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ในคำพิพากษาได้ระบุรายละเอียดไว้ว่า เมื่อจำเลยกู้เงินโจทก์แล้วโจทก์คิดค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้ในอัตราร้อยละ 5 ของวงเงินกู้ และยังคิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในอัตราร้อยละ 1.9 ต่อเดือน ค่าธรรมเนียมทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นค่าตอบแทนมีลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ย และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยที่โจทก์คิดในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของยอดเงินกู้ คิดเฉพาะเดือนแรก จะมีอัตราเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ดังนั้น ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์มีสิทธิเรียกได้เฉพาะต้นเงินคืนจากจำเลยเท่านั้น แต่เนื่องจากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คดีที่นอนแบงก์ฟ้องลูกหนี้เข้ามาศาลพบว่านอกจากโจทก์คิดดอกเบี้ยกับลูกหนี้แล้วยังมีการคิดค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้เป็นรายเดือน ทำให้แต่ละเดือนลูกหนี้เสียดอกเบี้ยเกิน 28% ศาลเห็นว่าค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินดังกล่าวโจทก์คิดคำนวณจากต้นเงินในอัตราคงที่ทุกเดือนตามระยะเวลาที่กู้ยืม ย่อมถือเป็นดอกผลของต้นเงินกู้จึงมีลักษณะเป็นดอกเบี้ยที่นอนแบงก์เรียกชื่อเป็นอย่างอื่น ฉะนั้นคดีไหนที่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด คิดดอกเบี้ยบวกค่าธรรมเนียมเข้าไปจนสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลจะตัดสินให้ได้รับชำระหนี้เฉพาะต้นเงินกับดอกเบี้ยผิดนัด 7.5% เท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เรียกมาศาลไม่ให้เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับได้ตั้งแต่แรก กรณีศึกษา โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ซึ่งโจทก์ใช้ชื่อว่า “สินเชื่อเพื่อคนรุ่นใหม่” จำนวน ๓๗,๙๙๓.๕๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๙,๑๔๗.๒๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์นำเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยเป็นเงินจำนวน ๔๒,๕๐๐ บาท และถือว่าจำเลยได้รับเงินกู้นับตั้งแต่วันที่โจทก์นำเงินเข้าบัญชีดังกล่าว จำเลยตกลงชำระดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ จำเลยตกลงชำระคืนต้นเงินดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน และค่าใช้จ่ายต่างๆให้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๗,๕๑๐.๙๖ บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือน งวดละ ๓,๗๕๐.๖๑ บาท รวม ๑๘ งวด ภายหลังที่กู้ยืม จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญา โดยจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เพียง ๙ งวด เป็นเงินจำนวน ๓๓,๙๓๔.๘๙ บาท โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเป็นหนี้อีกต่อไป จึงมีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย ซึ่งยอดหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ จำเลยเป็นหนี้ต้นเงินจำนวน ๒๙,๑๔๗.๒๗ บาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจำนวน ๔,๔๒๘.๘๐ บาท ค่าปรับจำนวน ๔๑๖.๗๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๙๙๒.๗๘ บาท พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้โดยชอบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยตามสัญญาแก่โจทก์ คงมีปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิคิดค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยกับจำเลยได้เพียงใด เห็นว่า ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายของคำว่า “ดอกเบี้ย” ว่าเป็นค่าตอบแทนที่บุคคลหนึ่งต้องใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เพื่อการที่ได้ใช้เงินของบุคคลนั้น หรือเพื่อทดแทนการไม่ชำระหนี้ หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ดังนี้ เมื่อจำเลยกู้เงินโจทก์แล้วโจทก์คิดค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้ในอัตราร้อยละ ๕ ของวงเงินกู้ และยังคิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในอัตราร้อยละ ๑.๙ ต่อเดือน ค่าธรรมเนียมทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นค่าตอบแทนมีลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ย และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยที่โจทก์คิดในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี ของยอดเงินกู้ คิดเฉพาะเดือนแรก จะมีอัตราเกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ ดังนั้น ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์มีสิทธิเรียกได้เฉพาะต้นเงินคืนจากจำเลยเท่านั้น แต่เนื่องจากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง และตามสำเนาใบแจ้งยอดบัญชี เอกสารหมาย จ.๘ ระบุให้จำเลยชำระหนี้งวดแรกภายในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๔ และจำเลยได้ชำระหนี้รวม ๙ งวด จึงถือว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๕ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์นำเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลย เป็นเงินจำนวน ๔๒,๕๐๐ บาท และจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๓๓,๙๓๔.๘๙ บาท จำเลยคงค้างต้นเงินโจทก์จำนวน ๘,๕๖๕.๑๑ บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๘,๕๖๕.๑๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๕ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๖๐๐ บาท
2.ในกรณีที่ผ่อนจ่ายเงินค่างวดจนท่วมเงินต้นที่คุณได้รับจริงในวันทำสัญญากู้เงิน ตัวอย่าง
ตัวอย่าง
เพื่อความสะดวก ท่านสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ที่ กองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ถ.พหลโยธิน ติดกับแดนเนรมิต) เนื่องจากมีสำนวนแจ้งความของผู้เสียหายอื่นอยู่แล้ว 5. เตรียมตัวรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันมีข้อมูลที่บ่งชี้ได้มากว่า ทางบริษัทธุรกิจสินเชื่อจะใช้วิธีการตามทวงหนี้มากกว่าการฟ้องศาล เพราะศาลอาจยึดตามแนวคำพิพากษาที่ชี้ว่าดอกเบี้ยรวมกับค่าธรรมเนียมแล้วเกินกฎหมายหมายกำหนดที่ร้อยละ 15 ต่อปีเป็นโมฆะ ลูกหนี้ไม่ต้องชำระ เมื่อคุณได้ทำตามข้อ 1-4 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากมีการทวงหนี้คุณไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น รอจนกว่าเจ้าหนี้เขาจะตัดสินใจฟ้องคุณ หากเจ้าหนี้ไม่ฟ้องศาล แต่มีการทวงหนี้และมีการละเมิดสิทธิของคุณอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ หากมีการฟ้องศาลและมีหมายศาลมาถึงก็ไม่ต้องหลบหนีนำเอกสารที่คุณได้ทำไปถึงบริษัทนำไปชี้แจงต่อศาลเพื่อยืนยันเจตนาบริสุทธิ์และขอรับการพิจารณาในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม |