การบริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างเนื้อกระดูกและป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูก พบได้จากกลุ่มอาหารจำพวกผักใบเขียว ได้แก่ บล็อกโคลี่ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง คะน้า แขนงผัก และดอกกระหล่ำ
รองลงมาคือ นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ ตับ 1. บริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เนื่องจากแคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างเนื้อกระดูกและป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูก การได้รับแคลเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก โดยทั่วไปปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวันคือ 800-1200 มิลลิกรัม แต่ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรบริโภคแคลเซียมให้ได้ 1200 – 1500 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับแหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง
จำแนกตามปริมาณที่ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ พบว่า กลุ่มอาหารจำพวกผักใบเขียว ได้แก่ บล็อกโคลี่ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง คะน้า แขนงผัก และดอกกระหล่ำ กลุ่มอาหารเหล่านี้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้สูงสุด โดยดูดซึมได้มากกว่า 50% ของปริมาณแคลเซียมในอาหารที่ทานเข้าไป 2. บริโภคอาหารที่มีฟอสฟอรัสให้พอดี ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุที่มักจะทำงานร่วมกับแคลเชียม ในการสร้างและเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
อัตราส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ 1.2 :1 จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น แต่คนส่วนใหญ่จะได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่สูงกว่าแคลเซียม เนื่องจากฟอสฟอรัส พบมากในอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ซึ่งคนบางคนบริโภคอาหารในกลุ่มนี้มาก แต่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียมเลย หรือบริโภคน้อยมาก น้อยกว่าปริมาณที่ได้รับฟอสฟอรัส ก็ทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกได้ เพราะการได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากเกินไป ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมในกระดูกมาจับฟอสฟอรัสทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม
เราจำเป็นจะต้องทานอาหารที่เป็นแหล่งของฟอสฟอรัสในปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้การทำงานของแคลเซียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น แหล่งอาหารที่ให้ฟอสฟอรัส เช่น นม เนื้อ ปลา เป็ด ไก่ ไข่ เนยแข็ง ตับ ข้าวกล้อง ถั่ว ยีสต์ เป็นต้น 3. บริโภคอาหารที่มีแมกนีเซียมให้เพียงพอ แมกนีเซียมพบมากในร่างกายเป็นอันดับสองรองจากแคลเซียม หน้าที่ของแมกนีเซียมคือ ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกาย ผลิตพลังงาน สร้างโปรตีน และช่วยการหดตัวของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ แมกนีเซียม
จะช่วยในการสร้าง วิตามินดี ในรูปแบบที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในการสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน ทำให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น จึงช่วยทำให้ขยายระยะเวลาในการเสื่อมของกระดูกให้ยืดนานออกไป การได้รับแมกนีเซียม ควรควบคุมปริมาณของ แคลเซียม ควบคู่ไปด้วย โดยอัตราส่วนของ แคลเซียม ต่อ แมกนีเซียม ในอุดมคติ ได้แก่ 2 ต่อ 1 ถึง 3 ต่อ 1 โดยทั่วไปปริมาณแคลเซียม ที่ได้รับต่อวัน ควรจะอยู่ประมาณ 800 มก. แมกนีเซียม 400 มก. แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ได้รับ แมกนีเซียม เพียง 150-300 มก.
ในขณะที่แคลเซียมมีผู้หันมาบริโภคมากขึ้นเพื่อป้องกันโรคกระดูก ดังนั้นในการเสริมแคลเซียมควรจะใส่ใจกับปริมาณของแมกนีเซียมด้วยเช่นกัน เพราะหากได้รับ แคลเซียม มากเกินไปจะไปขัดขวางการดูดซึมแมกนีเซียม แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ถั่วต่างๆ ธัญพืช แป้ง และอาหารทะเล 4. บริโภคอาหารที่มีวิตามินดี เนื่องจากวิตามินดีเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อกระดูก ช่วยสร้างโปรตีนในการดูดซึมของแคลเซียม
ทำให้การดูดซึมของแคลเซียมเป็นไปโดยปกติและช่วยในการสร้างกระดูกเพิ่มขึ้น โดยปกติร่างกายควรได้รับวิตามินดี 600-800 IU/วัน แหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ น้ำมันตับปลา เนื้อปลาที่มีไขมัน ตับ และไข่แดง เป็นต้น นอกจากนี้ วิตามินดีสามารถรับได้จากแสงแดดอ่อนๆด้วย ดังนั้นเพื่อการมีกระดูกที่แข็งแรงร่างกายควรได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ทุกวันอย่างน้อยวันละ 10-15 นาที/วัน 5. หลีกเลี่ยงหรืองดบริโภคสิ่งที่เสี่ยงต่อการลดมวลกระดูก ได้แก่
การออกกำลังกายที่เหมาะสมในแต่ละวัยหมอแนะออกกำลังกายเหมาะสมกับกระดูก ระบุวัยเด็กเน้นออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกช่วยสร้างกระดูกแข็งแรงได้ วัยกลางคน-สูงอายุ ออกกำลังกายให้เหมาะสม ช่วยชะลอกระดูกบาง เลี่ยงลงน้ำหนักที่ทำให้เจ็บข้อ ชี้หากกระดูกมีปัญหามากเน้นฝึกกล้ามเนื้อ-การทรงตัว ป้องกันการล้ม
การปั่นจักรยานที่ถนอมหัวเข่าการที่เรารู้สึกปวดหัวเข่าจากการปั่นจักรยาน เป็นเรื่องที่… ผิดปกติ ! เพราะจักรยานนั้นหากใช้งานอย่างถูกต้องแล้ว มันเป็น อุปกรณ์ออกกำลังกาย ที่จะไม่เกิดแรงกดรุนแรงที่หัวเข่าจนเกิดอาการบาดเจ็บได้ แม้จะเป็นอาการปวดเข่าไม่มาก |