Show
ถึงดอกไม้จะมีหลากหลายรูปแบบ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มีการจัดจำแนกประเภทของดอกไม้เพื่อให้ศึกษาได้ง่ายขึ้น และเพื่อความอิน ก่อนเริ่มอ่านบทความนี้เราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ มองหาดอกไม้รอบ ๆ ตัวดูสักหนึ่งชนิด ลองเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วมาดูกันว่าโครงสร้างของดอกไม้ที่เราเห็นกันอยู่ประกอบด้วยอะไรบ้าง โครงสร้างของดอกและประเภทของดอกโครงสร้างของดอกไม้ประกอบด้วยโครงสร้างหลัก 4 ส่วน ได้แก่ ชั้นกลีบเลี้ยง (Calyx) ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง (Sepal) เป็นโครงสร้าง ชั้นกลีบดอก (Corolla) มีกลีบดอก (Petal) เป็นโครงสร้าง ชั้นเกสรเพศผู้ (Stamen) และชั้นเกสรเพศเมีย (Pistil) โครงสร้างของดอกไม้แต่ละส่วนจะอยู่ด้วยกันแบบนี้และมีหน้าที่แตกต่างกัน
ในบรรดาดอกไม้หลากหลายรูปแบบ เราสามารถจำแนกประเภทของดอกไม้ได้จากเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น 1. จำแนกโดยใช้ส่วนประกอบของโครงสร้างเป็นเกณฑ์ได้แก่ ดอกครบส่วนหรือดอกสมบูรณ์ (Complete flower) และดอกไม่ครบส่วนหรือดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete flower) โดยดอกครบส่วน ประกอบด้วยโครงสร้างหลัก 4 ชั้นครบถ้วน แต่ดอกไม่ครบส่วน ‘ชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือมากกว่า 1 ชั้น จะหายไป’ 2. จำแนกโดยใช้โครงสร้างชั้นเกสรเพศเป็นเกณฑ์ได้แก่ ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect flower) และดอกไม่สมบูรณ์เพศ (Imperfect flower) โดยดอกสมบูรณ์เพศจะมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ส่วนดอกไม่สมบูรณ์เพศ หนึ่งดอกจะมีแค่เกสรเพศใดเพศหนึ่ง มักแยกเป็นดอกเพศผู้ และดอกเพศเมีย เราจึงถือว่า ‘ดอกไม่สมบูรณ์เพศเป็นดอกไม่ครบส่วน’ ด้วย ระวังสับสน: แต่ดอกสมบูรณ์เพศก็เป็นดอกไม่ครบส่วนได้นะ ดอกไม้บางชนิดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ เพราะมีเกสรครบทั้งเพศผู้และเพศเมีย แต่เป็นดอกไม่ครบส่วนเพราะขาดองค์ประกอบชั้นอื่น ๆ ไป เช่น ดอกบานเย็นที่ไม่มีชั้นกลีบดอก แต่มีกลีบเลี้ยงสีสันสดใส และมีเกสรครบทั้งสองเพศ 3. จำแนกโดยใช้จำนวนของดอกบนก้านดอกเป็นเกณฑ์ได้แก่ ดอกเดี่ยว (Solitary flower) และดอกช่อ (Inflorescence flower) โดยดอกเดี่ยว (Solitary flower) 1 ดอกจะพัฒนามาจากตาดอก* 1 ตา มี 1 ดอกบนก้านดอก ในขณะที่ดอกช่อ (Inflorescence flower) ตาดอก 1 ตา มี 1 ก้านช่อ แต่ 1 ก้านช่อมีหลายก้านดอก ซึ่งดอกไม้แต่ละชนิดจะมีการแตกก้านดอกและการจัดเรียงดอกที่แตกต่างกัน เราสามารถแบ่งชนิดของดอกช่อได้เป็น 2 แบบตามลำดับการบานของดอก คือ 3.1 ดอกช่อแบบ Indeterminate ดอกย่อยชั้นล่างสุดหรือชั้นนอกสุดจะบานและแก่ก่อน 3.2 ดอกช่อแบบ Determinate ดอกย่อยชั้นบนสุดหรือในสุดจะบานและแก่ก่อน *ตาดอก คือกลุ่มเซลล์บริเวณด้านข้างของกิ่งหรือลำต้นที่มีการแบ่งตัวของเซลล์อย่างรวดเร็ว จะพัฒนาไปเป็นส่วนต่าง ๆ ของดอก ระวังสับสน: ดอกช่อที่คล้ายดอกเดี่ยว ดอกไม้บางชนิดมีลักษณะคล้ายดอกเดี่ยว แต่จริง ๆ แล้วเป็นดอกช่อ เช่น ดอกทานตะวัน ดอกเดซี่ (และดอกของพืชชนิดอื่น ๆ ในวงศ์ Asteraceae) เพราะดอกทานตะวันมีดอกย่อยเล็ก ๆ 2 ชนิด ได้แก่ ดอกรอบนอก และดอกกลางช่อ (ดอกภายใน) ติดอยู่บนปลายของก้านช่อดอกที่เป็นฐานโค้งนูน เราเรียกช่อดอกแบบนี้ว่าช่อดอกแบบกระจุกแน่น (Head) 4. จำแนกโดยใช้ตำแหน่งของรังไข่เป็นเกณฑ์ได้แก่ ดอกที่มีรังไข่อยู่เหนือฐานรองดอก (Hypogynous flower) ดอกที่มีรังไข่เสมอกับฐานรองดอก (Perigynous flower) และดอกที่มีรังไข่อยู่ใต้ฐานรองดอก (Epigynous flower) ชนิดของผลถ้าเพื่อน ๆ เข้าใจประเภทของดอกและช่อดอก เพื่อน ๆ ก็จะสามารถเดาต่อได้ว่าในอนาคตดอกไม้เหล่านี้จะเจริญกลายเป็นผลแบบไหน ซึ่งผล (Fruit) คือส่วนที่พัฒนามาจากรังไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ (หรืออาจจะไม่ได้รับการปฏิสนธิก็ได้) บางส่วนของดอกอาจจะเจริญขึ้นมาพร้อม ๆ กับผลด้วย เช่น กลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงสีเขียวที่เจริญติดกับผลของมะเขือเทศอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพืชในวงศ์มะเขือ (Solanaceae) ขอบคุณรูปภาพจาก Andrea Riezzo บน Unsplash เราสามารถจำแนกประเภทของผลได้จาก 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ลักษณะของดอกที่จะเจริญไปเป็นผล (ดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ) และจำนวนรังไข่ที่จะเจริญไปเป็นผล ประเภทของผล 3 แบบที่เราพบได้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันคือ
อ่านมาถึงตรงนี้เพื่อน ๆ คงเข้าใจถึงส่วนประกอบต่าง ๆ และประเภทของดอกไม้กันมากขึ้น แถมยังเดาได้ด้วยว่าดอกไม้หน้าตาแบบนี้จะกลายเป็นผลไม้แบบไหน ครั้งต่อไปเวลาไปเที่ยวแล้วเห็นดอกไม้ ก็อย่าลืมหยิบความรู้เรื่องโครงสร้างของดอกมาทบทวนกันบ่อย ๆ ด้วยล่ะ หรือจะโหลดแอปพลิเคชัน StartDee มาทำแบบฝึกหัดไปด้วยก็เริ่ดสุด ๆ ส่วนใครที่อยากสนุกกับวิชาชีวะต่อ คลิก การแข็งตัวของเลือด, ภูมิคุ้มกันก่อเองและภูมิคุ้มกันรับมา และ หมู่เลือดและการถ่ายเลือด ขอบคุณข้อมูลจาก:
|