๑. พิจารณารูปแบบการประพันธ์ ว่าเป็นวรรณกรรมประเภทใด เช่น บันเทิงคดีประเภท สารคดี นวนิยาย นิทาน เรื่องสั้น หรือเป็นสารคดีประเภทบทความ ความเรียง ตำราในสาขาวิชาต่างๆ เป็นต้น ส่วนร้อยกรองต้องวิเคราะห์ว่ามีลักษณะคำประพันธ์ประเภทใด เช่น ถ้าเป็นโคลงต้องวิเคราะห์ว่าเป็นโคลงประเภทใด (โคลงกระทู้ โคลงดั้น โคลงสี่สุภาพ
โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ) นอกจากนี้ผู้วิเคราะห์วิจารณ์จะต้องพิจารณาว่ารูปแบบกับเนื้อหาเหมาะสมกันหรือไม่ การศึกษาประวัติผู้แต่งจะทำให้ผู้อ่านทราบว่าผู้แต่งมีความรอบรู้ในเรื่องที่เขียนเพียงใด สามารถถ่ายทอดความรู้ลงไปในบทประพันธ์นั้นๆ ได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด และจุดมุ่งหมายนั้นสอดคล้องกับวิธีแต่งหรือรูปแบบการแต่งอย่างไร ๓ พิจารณาองค์ประกอบของเรื่องว่าสอดคล้องเหมาะสมกันหรือขัดแย้งกัน เช่นการวิเคราะห์ร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี ต้องวิเคราะห์โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก การดำเนินเรื่องปมขัดแย้ง การคลี่คลายเรื่องและการจบเรื่อง ตลอดจนวิเคราะห์ถึงการแสดงความคิดเห็นความสอดคล้องสมเหตุสมผล พิจารณาเนื้อเรื่องอย่างละเอียดถึงคุณค่า พฤติกรรมตัวละครเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง การใช้ภาษาเหมาะสมกับระดับบุคคลของบุคคล ๔. พิจารณาเนื้อหา การนำเสนอและพฤติกรรมของตัวละคร ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ สะท้อนภาพชีวิต สะท้อนสภาพสังคมในสมัยที่แต่งอย่างไร ๕. พิจารณาแก่นเรื่อง ว่าผู้แต่งตั้งใจที่จะสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ผู้แต่งแสดงความคิดเห็น รสนิยม และค่านิยมอย่างไร ๖. การวิจารณ์สรุปด้วยความคิดเห็นของผู้วิจารณ์เอง โดยยกข้อดีให้เห็นก่อนว่าดีอย่างไร แล้วจึงยกข้อบกพร่องว่าบกพร่องอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร การวิจารณ์ควรเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เป็นธรรมมีใจเป็นกลางไม่มีอคติ แล้วประเมินคุณค่าในภาพรวมว่าวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่วิจารณ์นั้นมีคุณค่าควรแก่การอ่านหรือควรค่าแก่การศึกษาอย่างไร ผู้อ่านสามารถนำคุณค่าที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร วรรณกรรมบางเรื่องอาจมีคุณสมบัติที่ไม่ครบถ้วนตามหลักดังกล่าว ผู้อ่านสามารถวิจารณ์ทั้งจุดเด่นและจุดด้อยได้เต็มที่ ส่วนวรรณคดีที่มีผู้วิจารณ์มาแล้วและตัดสินแล้วว่าแต่งดี ผู้วิจารณ์อาจเห็นพ้องด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ผู้วิจารณ์ต้องชี้ให้เห็นว่าดีเด่น หรือบกพร่องอย่างไร
|