วัจนภาษา-อวัจนภาษา อย่าสับสนวัจนภาษา (Verbal language)คือการสื่อสารด้วยถ้อยคำ อาจเป้นคำพูดหรือตัวอักษรก็ได้ เป็นการสื่อสารผ่านการฟัง การพูด การอ่าน การขียน ซึ่งจะต้องใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมอวัจนภาษา(Averbal language)คือการสื่อสารที่ไม่ใช้ถ้อยคำ อาจสื่อสารกันด้วย สีหน้า ท่าทาง แววตา น้ำเสียง สัญลักษณ์ หรือปริภาษา(การใช้เสียงที่ไม่ใช่คำพูด เช่น ไซเรน เสียงนกหวีด แตรรถ เป็นต้น) อวัจนภาษาอาจใช้เพื่อเสริม เน้น หรือแทนคำพูดลองทำข้อสอบเพื่อทดสอบความเข้าใจดูนะคะ๑. ข้อใดมีคำที่แสดงวัจนภาษาก. แม้มากผิกิ่งไม้ ผิวใครจะใคร่ลองมัดกำกระนั้นปอง พลหักก็เต็มทนข. นิ่งเงียบสงบงำ บ่มิทำประการใดปรากฏประหนึ่งใน บุรว่างและร้างคนค. ปรึกษาหารือกัน ไฉนนั้นก็ทำเนาจะเรียกประชุมเรา บแลเห็นประโยชน์เลยง. ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไปหมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนันหนอเฉลย คำตอบที่ถูกคือข้อ ค นักเรียนจะเห็นว่ามีคำว่า ปรึกษาหารือ ซึ่งการปรึกษาหารือกันนั้นจำเป็นต้องใช้คำพูด หากใช้สีหน้า ท่าทาง กริยาอาการคงไม่สามารถหารือกันได้แน่๒. ข้อใดไม่มีวัจนภาษาก. บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียงบ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกันข. บ้างกะเกณฑ์ผู้คนอลหม่านนายบ้านเที่ยวเร่งเรียกหาค. บ้างบ่าวเข้าคนละบ่าพานายวิ่งประเจียดเครื่องเปลื้องทิ้งไว้เกลื่อนกล่นง. บ้างชวนชักพรรคพวกพี่น้องยักย้ายเงินทองไปเที่ยวฝังเฉลย คำตอบที่ถูกคือข้อ คข้อ ก. มีคำว่า ถุ้งเถียง แสดงว่าใช้วัจนภาษาข้อ ข. มีคำว่า เรียกหาแสดงว่าใช้วัจนภาษาข้อ ง. มีคำว่า ชวนชัก แสดงว่าใช้วัจนภาษาส่วนข้อ ค. ไม่มีการพูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น พากันวิ่งหนีอลหม่าน จึงนับว่าข้อนี้ไม่มีวัจนภาษา Show
อวัจนภาษา หมายถึง เป็นการสื่อสารโดยไม่ใช้ถ้อยคำ ทั้งที่เป็นภาษาพูดและภาษาเขียน เป็นภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารกัน โดยใช้อากัปกิริยา ท่าทาง น้ำ เสียง สายตาหรือ ใช้วัตถุ การใช้สัญญาณ และ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ หรือแสดงออกทางด้านอื่นที่สามารถรับรู้กันได้ สามารถแปลความ หมายได้และทำความเข้าใจต่อกันได้ ตัวอย่างเช่น 1.สายตา (เนตรภาษา) การแสดงออกทางสายตา เช่น การสบตากันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารก็มีส่วนช่วยในการตีความหมาย เช่น การสบตาแสดงออกถึงความจริงใจ การหรี่ตาแสดงออกถึงความสงสัย ความไม่แน่ใจ ฯลฯ การแสดงออกทางสายตาจะต้องสอดคล้องกับการแสดงออกทางสีหน้า การแสดงออกทางสีหน้าและสายตาจะช่วยเสริมวัจนภาษาให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น และใช้แทนวัจนภาษาได้อย่างดี
2.กิริยาท่าทาง (อาการภาษา) การแสดงกิริยาท่าทางของบุคคล สามารถสื่อความหมายได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด หรือใช้เสริมคำพูดให้มีน้ำหนักมากขึ้นได้ ได้แก่ กิริยาท่าทาง การเคลื่อนไหวร่างกายและอากัปกิริยาท่าทางต่าง ๆ สามารถสื่อความหมายได้มากมาย เช่น การเคลื่อนไหวมือ การโบกมือ การส่ายหน้า การพยักหน้า การยกไหล่ การยิ้มประกอบ การพูด การยักไหล่ การยักคิ้ว อาการนิ่ง ฯลฯ
3.น้ำเสียง (ปริภาษา) เป็นอวัจนภาษาที่แฝงอยู่ในภาษาพูด ได้แก่ สำเนียงของผู้พูด ระดับเสียงสูงต่ำ การเปล่งเสียง จังหวะการพูด ความดังความค่อยของเสียงพูด การตะโกน การกระซิบ น้ำเสียงช่วยบอกอารมณ์และความรู้สึก นอกจากนี้ยังช่วยแปลความหมายของคำพูด เช่น การใช้เสียงเน้นหนักเบา การเว้นจังหวะ การทอดเสียง สิ่งเหล่านี้ทำให้คำพูดเด่นชัดขึ้น การพูดเร็ว ๆ รัว ๆ การพูดที่หยุดเป็นช่วง ๆ แสดงให้เห็นถึงอารมณ์กลัว หรือตื่นเต้นของผู้พูด เป็นต้น 4.สิ่งของหรือวัตถุ (วัตถุภาษา) สิ่งของหรือวัตถุต่าง ๆ ที่บุคคลเลือกใช้ เช่น ของใช้เครื่องประดับ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ปากกา แว่นตา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นอวัจนภาษาที่สื่อความหมายได้ทั้งสิ้น
5.เนื้อที่หรือช่องว่าง (เทศภาษา) ช่องว่างของสถานที่หรือระยะใกล้ไกลที่บุคคลสื่อสารกัน เป็นอวัจนภาษาที่สื่อสารให้เข้าใจได้ เช่น ระยะห่างของหญิงชาย พระกับสตรี คนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนสองคนนั่งชิดกันบนม้านั่งตัวเดียวกัน ย่อมสื่อสารให้เข้าใจได้ว่า ทั้งสองคนมีความสนิทสนมเป็นพิเศษ เป็นต้น 6.กาลเวลา (กาลภาษา) หมายถึง การสื่อความหมายโดยให้เวลามีบทบาทสำคัญ เวลาแต่ละช่วงมีความหมายในตัว คนแต่ละคน และคนต่างวัฒนธรรมจะมีความคิดและความหมายเกี่ยวกับเวลาแตกต่างกัน เช่น การตรงต่อเวลาวัฒนธรรมตะวันตกถือว่ามีความสำคัญมาก การไม่ตรงต่อเวลานัดหมายเป็นการแสดงความดูถูก เป็นต้น 7.การสัมผัส (สัมผัสภาษา) หมายถึง อวัจนภาษาที่แสดงออกโดยการสัมผัสเพื่อสื่อความรู้สึก อารมณ์ ความปรารถนาในใจของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร เช่น การจับมือ การ แลบลิ้น การลูบศีรษะ การโอบกอด การตบไหล่ ซึ่งสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของแต่ละสังคม เช่นคนไทยถือมิให้เด็กสัมผัสส่วนหัวของผู้ใหญ่ เป็นต้น |