บริษัทฯ ประกอบธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายถ่านหินเป็นธุรกิจหลักทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยมีฐานการผลิตและจัดจำหน่ายถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจบริการการขนส่งทางทะเลในประเทศสิงคโปร์เพื่อรองรับและจัดการการขนส่งถ่านหินมายังประเทศไทยและต่างประเทศ ลักษณะของถ่านหิน การผลิตถ่านหิน (1) การสำรวจ : เริ่มตั้งแต่การศึกษาข้อมูลธรณีวิทยาผิวดินและโครงสร้างทางธรณีวิทยาเพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายในเบื้องต้นแล้วทำการเจาะสำรวจ (SCOUT DRILLING) เพื่อศึกษาการสะสมตัวของชั้นดิน หินและโครงสร้างทางธรณีวิทยาของพื้นที่เพื่อให้แน่ใจว่ามีถ่านหินสะสมตัวอยู่ รวมทั้งประเมินคุณภาพและปริมาณสำรองของถ่านหินในเชิงพาณิชย์ประกอบการตัดสินใจที่จะพัฒนาแหล่งถ่านหินดังกล่าวเพื่อเปิดการทำเหมืองต่อไป (2) การทำเหมือง : ก่อนจะเปิดการทำเหมืองจำเป็นต้องทำการเจาะสำรวจในขั้นละเอียด (DETAIL DRILLING) เพื่อหาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของพื้นที่ ได้แก่ ปริมาณสำรองและคุณภาพในแต่ละระดับของการวางตัวของชั้นถ่านหินรวมทั้งชั้นดินที่ปิดทับอยู่ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาใช้ในการกำหนดแผนแม่บทในการทำเหมือง (MINE MASTER PLAN) ซึ่งจะรวมถึงการศึกษาต้นทุนและวิธีการเปิดเหมืองตลอดจนศึกษาปริมาณและบริเวณที่จะขุดขนส่งหน้าดินหรือถ่านหินในแต่ละขั้นตอนและการเลือกเครื่องจักรเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำเหมืองด้วย (3) การแต่งแร่ : ถ่านหินที่ขุดได้จากการทำเหมืองจะต้องผ่านการแต่งแร่เพื่อให้ได้ถ่านหินที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้ใช้หรือลูกค้า ซึ่งมีขั้นตอนตั้งแต่บด ย่อย คัดขนาด รวมทั้งคัดสิ่งเจือปนออก โดยการร่อน และล้างเป็นต้น การกำหนดราคาถ่านหิน การจัดจำหน่าย กลยุทธ์ในการแข่งขัน ภาวะการแข่งขัน แนวโน้มอุตสาหกรรม สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (“COVID-19”) ยังคงมีเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกตลอดช่วงปี 2564 ซึ่งนับเป็นปีที่สองต่อเนื่องจากปี 2563 ที่เป็นปีแรกที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 อย่างไรก็ตามด้วยมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อ COVID-19 ส่งผลทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลงในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจและเพื่อให้การใช้ชีวิตของประชาชนกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ประเทศต่างๆ เริ่มปรับตัวโดยผ่อนคลายมาตรการควบคุมพื้นที่และมีการเปิดประเทศกันมากขึ้น ส่งผลทำให้การบริโภคอุปโภค ภาคการผลิตในระบบอุตสาหกรรม การส่งออกรวมถึงการท่องเที่ยวและงานบริการต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น พลวัตทางเศรษฐกิจได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งทำให้ยอดการใช้พลังงานทุกชนิดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปริมาณการใช้ถ่านหินทั่วโลกในปี 2564 ที่สูงขึ้นจากปี 2563 กว่าร้อยละ 6 หรืออยู่ที่ประมาณ 7,906 ล้านเมตริกตัน โดยเฉพาะที่ประเทศจีนมีปริมาณการใช้ถ่านหินสูงถึง 4,130 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 4 จากปี 2563 และประเทศอินเดียมีปริมาณการใช้ถ่านหินในปี 2564 ประมาณ 1,056 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13 จากปี 2563 โดยยอดรวมการใช้ถ่านหินจากทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวมีมากกว่าร้อยละ 65 หรือประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการใช้ถ่านหินของโลก ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปริมาณการใช้จากประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ เช่น ประเทศปากีสถานและประเทศบังคลาเทศที่มีอัตราการเติบโตของปริมาณการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ สำหรับในส่วนของตลาดและราคาโดยเฉพาะตลาดส่งออกของประเทศผู้ผลิตถ่านหินหลัก อาทิเช่น ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศออสเตรเลีย และประเทศแอฟริกาใต้ก็ได้ทำสถิติราคาถ่านหินสูงที่สุดในประวัติการณ์และสูงกว่าปี 2551 ที่เป็นสถิติสูงที่สุดก่อนหน้า ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการการส่งมอบถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาเดียวกัน กอปรกับแรงกดดันในภาคการผลิตถ่านหินที่มีข้อจำกัดในการที่ผู้ประกอบการทำเหมืองถ่านหินจะสามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหินที่ได้มีการปรับลดลงหรือชะลอการผลิตไปในช่วงปี 2563 ที่มีผลกระทบจากการแพร่ระบาดรุนแรงของโรคติดเชื้อ COVID-19 รวมถึงสภาวะอากาศที่มีมรสุมและฝนตกมากอย่างต่อเนื่องในขณะที่ผู้ประกอบการขาดความพร้อมและมีเครื่องจักรมีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับการเพิ่มกำลังการผลิต และปัญหาด้านระบบขนส่งโลจิสติกส์อันเกิดจากปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากจากความต้องการโดยรวม สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้ถ่านหินจากผลการศึกษาของ Energy Information Administration (“EIA”) บนพื้นฐานจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปริมาณความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้า กำลังการผลิตของแต่ละประเภทของการผลิตไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิงและราคาพลังงานชนิดต่างๆ การใช้ถ่านหินในอุตสาหกรรมอื่น การใช้ถ่านหินในการผลิตความร้อนให้กับครัวเรือนในช่วงฤดูหนาว รวมถึงผลอันจะเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่นานาประเทศได้ตกลงกันในปี 2558 เพื่อร่วมมือกันลดการปล่อยมลพิษก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อปกป้องธรรมชาติและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก โดยคาดว่าหลังจากปี 2564 จนถึงปี 2567 จะมีปริมาณการใช้ถ่านหินของทั้งโลกเพิ่มสูงขึ้นจาก 7,906 ล้านเมตริกตันในปี 2564 เป็น 8,013 ล้านเมตริกตันในปี 2567 แต่เป็นอัตราการเติบโตของปริมาณการใช้ถ่านหินที่ช้าลง โดยปริมาณการใช้ถ่านหินที่เพิ่มขึ้นจะมาจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น 135 ล้านเมตริกตัน ประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น 129 ล้านเมตริกตันและจากกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 50 ล้านเมตริกตัน ในขณะที่ปริมาณการใช้ถ่านหินลดลงจากสหภาพยุโรป 102 ล้านเมตริกตันและจากประเทศสหรัฐอเมริกา 77 ล้านเมตริกตัน การคาดการณ์ข้างต้นอยู่ภายใต้การประมาณการ Global GDP ที่ 4% (Compound Average Annual Growth Rate) จากปี 2565 ถึงปี 2567 สำหรับปัจจัยหลักที่จะส่งผลทางลบต่อการประเมินปริมาณการใช้ถ่านหินโลกดังกล่าวจะมาจากการที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจอาจจะไม่เป็นไปตามการประมาณการข้างต้นและโดยเฉพาะกับผู้ใช้รายใหญ่ประเทศจีนที่มีผลกระทบอย่างมากต่อปริมาณการใช้ถ่านหินโดยรวมอีกตัวแปรหนึ่งที่จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการปรับสัดส่วนของชนิดพลังงานคือส่วนต่างของราคาแก๊สธรรมชาติกับถ่านหินที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า สำหรับตลาดส่งออกถ่านหินยังมีโอกาสที่จะพบกับความผันผวนในอัตราที่สูงอันเนื่องจากประเทศผู้ใช้หลักโดยเฉพาะประเทศจีนที่ดำเนินการผลิตถ่านหินใช้เองในประเทศเป็นส่วนใหญ่และสามารถปรับเพิ่มหรือลดการนำเข้าถ่านหินได้จากการปรับกำลังการผลิตและการใช้ภายในประเทศของตนเองได้ รวมถึงนโยบายของรัฐ หรือจากส่วนต่างของราคาถ่านหินระหว่างตลาดในประเทศและการนำเข้าและสำหรับประเทศผู้ผลิตและส่งออกถ่านหินอย่างประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียก็มีข้อจำกัดในการปรับเพิ่มกำลังการผลิตและการลงทุนในโครงการเหมืองถ่านหินแหล่งใหม่ในขณะที่ราคาถ่านหินตกต่ำในปี 2563 กอปรกับแนวโน้มที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งจะเพิ่มปริมาณการใช้ถ่านหินในประเทศให้มากขึ้นและรัฐบาลเองมีกลไกในการกำหนดและควบคุมการส่งออกถ่านหินของประเทศที่สามารถนำมาใช้ได้ด้วย ลักษณะการประกอบธุรกิจถ่านหินธุรกิจถ่านหินในประเทศ ธุรกิจถ่านหินในต่างประเทศ PT. LANNA HARITA INDONESIA (“LHI”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย โดยบริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทางตรงร้อยละ 55 ของทุนที่ชำระแล้ว ประกอบธุรกิจทำเหมืองถ่านหินที่อำเภอ ซามารินดา และอำเภอคูเตย จังหวัดกาลิมันตันตะวันออก โดยได้รับสัมปทาน (COAL CONTRACT OF WORK) จากรัฐบาลแห่งประเทศอินโดนีเซียเพื่อผลิตถ่านหินออกจำหน่ายมีกำหนดเวลา 30 ปี (เริ่มตั้งแต่ปี 2544 ถึง 2574) โดยมีปริมาณสำรองถ่านหินคงเหลือไม่ต่ำกว่า 20 ล้านเมตริกตัน และมีกำลังการผลิตถ่านหินออกจำหน่ายปีละประมาณ 3.5 ล้านเมตริกตัน PT. SINGLURUS PRATAMA (“SGP”) เป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซียโดยบริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทางตรงร้อยละ 65 ของทุนที่ชำระแล้ว ประกอบธุรกิจทำเหมืองถ่านหินที่อำเภอคูเตย จังหวัดกาลิมันตันตะวันออก โดยได้รับสัมปทาน (COAL CONTRACT OF WORK) จากรัฐบาลแห่งประเทศอินโดนีเซียเพื่อผลิตถ่านหินออกจำหน่ายมีกำหนดเวลา 30 ปี (เริ่มตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2582) โดยมีปริมาณสำรองถ่านหินคงเหลือไม่ต่ำกว่า 43 ล้านเมตริกตัน โดยได้เพิ่มกำลังการผลิตถ่านหินออกจำหน่ายจากปี 2564 ที่ประมาณ 3.5 ล้านเมตริกตันเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 ล้านเมตริกตันในปีต่อๆไป โดย SGP ได้ดำเนินการพัฒนาถ่านหินแหล่งใหม่ (ARGOSARI BLOCK หรือ “AG”) ในพื้นที่สัมปทานเหมืองถ่านหินของ SGP เรียบร้อยแล้ว โดยได้ก่อสร้างถนนลำเลียงถ่านหิน (HAULING ROAD) และท่าเทียบเรือ (PORT AND JETTY) รวมทั้งโรงแต่งแร่และพื้นที่กองเก็บถ่านหินบริเวณท่าเทียบเรือที่สามารถกองเก็บถ่านหินได้ประมาณ 140,000 เมตริกตันและมีสายพานลำเลียงถ่านหินยาวประมาณ 1.70 กิโลเมตรทอดลงไปที่ท่าเทียบเรือในทะเล และได้เริ่มผลิตและจำหน่ายถ่านหินจากแหล่ง AG แล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา โดยวางแผนผลิตและจำหน่ายถ่านหินจากแหล่ง AG ประมาณ 2-3 ล้านเมตริกตันต่อปี ซึ่งเป็นถ่านหินคุณภาพดีที่มีค่าความร้อนสูงประมาณ 4,600-5,000 KCAL/KG (GAR) และปริมาณ SULPHUR ต่ำซึ่งคาดว่าจะทำตลาดได้ง่ายและมีอัตรากำไรที่ดี นอกจากนั้น SGP อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาถ่านหินแหล่งใหม่ (MARGOMULYO BLOCK หรือ “MG”) โดยจะเริ่มผลิตและจำหน่ายถ่านหินจากแหล่ง MG ภายในปี 2565 ที่ประมาณ 0.5 ล้านเมตริกตันก่อนที่จะเพิ่มเป็น 1-1.5 ล้านเมตริกตันในปีต่อๆไป PT. PESONA KHATULISTIWA NUSANTARA (“PKN”) เป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซียโดยบริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทางตรงร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ประกอบธุรกิจทำเหมืองถ่านหินที่เมืองบูลุงงัน จังหวัดกาลิมันตันเหนือ โดยได้รับสัมปทาน (COAL CONTRACT OF WORK) จากรัฐบาลแห่งประเทศอินโดนีเซียเพื่อผลิตถ่านหินออกจำหน่ายมีกำหนดเวลา 30 ปี (เริ่มตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2582) โดยมีปริมาณสำรองถ่านหินคงเหลือไม่ต่ำกว่า 36 ล้านเมตริกตัน และมีกำลังการผลิตถ่านหินออกจำหน่ายในปี 2564 ที่ประมาณ 3.5 ล้านเมตริกตัน และได้วางแผนผลิตถ่านหินออกจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 ล้านเมตริกตันในปี 2565 UNITED BULK SHIPPING PTE. LTD. (“UBS”) เป็นบริษัทร่วมที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ โดยบริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทางตรงร้อยละ 49 ของทุนที่ชำระแล้ว ประกอบธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลและซื้อขายถ่านหิน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและบริหารการขนส่งถ่านหินที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยและหรือส่งไปจำหน่ายยังประเทศอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ |