ก.ชนชั้นเจ้านายและขุนนาง ข.ชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง ค.ชนชั้นปกครองและพระสงฆ์ ง.ชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง 2. คำอธิบายเกี่ยวกับมูลนาย-ไพร่ ข้อใดผิด ก.มูลนายมีศักดินาสูงกว่า 500 ไร่ ส่วนไพร่ต่ำกว่า 400 ไร่ ข.มูลนายไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไพร่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ค.ไพร่ไม่มีโอกาสเลื่อนฐานะทางสังคมเป็นมูลนายได้ ง.ลูกของมูลนาย แม้มีศักดินาต่ำกว่าเกณฑ์ก็ไม่ถือว่าเป็นไพร่ 3. ลักษณะของสังคมไทยที่ยังมีความสำคัญในปัจจุบันคือข้อใด ก.สตรีมีบทบาทสำคัญในสังคม ข.ความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ ค.การอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวใหญ่ ง.การทำอะไรตามใจ คือ ไทยแท้ 4. คำอธิบายของไพร่ในตัวเลือกใดที่ผิดความเป็นจริง ก.ไพร่ที่มีสังกัดจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐ ข.ไพร่ที่ต้องการเปลี่ยนมูลนายจะมีกฎหมายควบคุม ค.ไพร่ทุกคนต้องสังกัดกรมทองและมูลนาย ง.ไพร่มีศักดินาสูงกว่า 400 ไร่ 5. พระสงฆ์มีศักดินาจำนวนเท่าใด ก.มีเท่ากับขุนนางจำนวน 10000-400 ไร่ ข.มีมากกว่าขุนนางอยู่ในระหว่าง 10000-2400 ไร่ ค.ไม่มีศักดินา ง.มีน้อยกว่าขุนนางอยู่ในระหว่าง2400-100 ไร่ 6. สมัยอยุธยาผู้ที่รับราชการขุนนางจะได้รับฐานันดรศักดิ์อย่างไรบ้าง ก.ยศ ราชทินนาม ตำแหน่ง ข.ยศ ราชทินนาม ตำแหน่ง ศักดินา ค.ยศ บรรดาศักดิ์ ราชทินนาม ง.ยศ ราชทินนาม ตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ 7. ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านายหรือขุนนางคือไพร่ประเภทใด ก.ไพร่สม ข.ไพร่ฟ้าข้าไท ค.ไพร่ส่วย ง.ไพร่หลวง 8. " ทาสที่มีจำนวนมากและมีความสำคัญมากได้แก่ทาสประเภทใด ก.ทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพง ข.ทาสที่ไถ่มาด้วยทรัพย์ ค.ทาสในเรือนเบี้ย ง.ทาสท่านให้ 9. ทาสจะเป็นไทได้ในกรณีใด ก.นายเงินย้ายถิ่นฐานหรือเสียชีวิต ข.ทาสไปรบแทนนาย จะแพ้หรือชนะกลับมาก็เป็นไททั้งสิ้น ค.นายเงินอนุญาตให้ทาสไปบวชเป็นภิกษุ สามเณร หรือชี ง.ทาสหนีออกจากบ้านนายเงิน 10. สาเหตุใดบ้างที่ทำให้โครงสร้างทางสังคมไทยในอดีตเป็นแบบศักดินา 1. เพราะพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะเทวราชา 2. เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นแบบเกษตรกรรม 3. เพราะพระมหากษัตริย์ต้องเกณฑ์คนเข้ารับราชการในตำแหน่งสูงต่ำไม่เท่ากัน 4. เพราะขุนนางต้องการกำลังคนไว้เสริมอำนาจ ก.ข้อ 1 และ 2 ข.ข้อ 2 และ 3 ค.ข้อ 3 และ4 ง.ข้อ 1 และ 3
สังคมของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 4 ประเภทคือ
1.เจ้านาย2.ขุนนาง หรือ ข้าราชการ3.ไพร่ หรือ สามัญชน 4.ทาส
1. เจ้านาย คือผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ แต่มิได้หมายความว่าผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ทุกคนจะเป็นเจ้านายหมด ลูกหลานของพระมหากษัตริย์จะถูกลดสกุลยศตามลำดับ และ ภายใน 5 ชั่วคน ลูกหลานของเจ้านายก็จะกลายเป็นสามัญชน ราชสกุลยศจะมีเพียง 5 ชั้นคือ เจ้าฟ้า เป็นชั้นสูงสุด เจ้าฟ้าคือ พระโอรส ธิดาของพระมหากษัตริย์อันประสูติจากอัครมเหษีพระองค์เจ้า คือ พระโอรส ธิดาของพระมหากษัตริย์อันประสูติแด่พระสนม หรือเป็นพระโอรส ธิดาของเจ้าฟ้า
หม่อมเจ้า คือ พระโอรส ธิดา ของพระองค์เจ้าหม่อมราชวงศ์ คือ บุตรธิดาของหม่อมเจ้าหม่อมหลวง คือ บุตรธิดาของหม่อมราชวงศ์พอถึงชั้นหม่อมราชวงศ์และหม่อมหลวง ก็ถือว่าเป็นสามัญชนแล้วมิได้มีสิทธิพิเศษเช่นเจ้านายชั้นสูงแต่อย่างใดเพื่อเฉลิมพระเกียรติและตอบแทนเจ้านายที่ได้ทำความดีความชอบในราชการ พระมหากษัตริย์ จะทรงแต่งตั้งเจ้านายนั้น ๆ ให้ทรงกรม ซึ่งมีลำดับขั้นเหมือนกับยศของขุนนางดังนี้
ชั้นสูงสุดคือ กรมพระยา กรมพระ กรมหลวง กรมขุน กรมหมื่น ตามลำดับเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า ถ้าได้ทรงกรมจะเริ่มตั้งแต่ กรมขุน ขึ้นไป ตั้งแต่พระองค์เจ้าลงมาเมื่อได้ทรงกรม จะต้องเริ่มตั้งแต่ กรมหมื่นสิทธิพิเศษของเจ้านายคือ เมื่อเกิดมีคดี ศาลอื่น ๆ จะตัดสินไม่ได้นอกจากศาลกรมวัง และจะขายเจ้านายลงเป็นทาสไม่ได้ เจ้านายจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงานด้วยประการใด ๆ2. ขุนนาง หรือ ข้าราชการ ยศของขุนนางเรียงลำดับจากขั้นสูงสุดลงไปดังนี้
สมเด็จเจ้าพระยาเจ้าพระยาพระยาพระหลวงขุนหมื่นพันทนาย
พระมหากษัตริย์จะพระราชทานยศและเลื่อนยศ ให้ตามความดีความชอบ นอกจากยศแล้วพระมหากษัตริย์ยังพระราชทานราชทินนามต่อท้ายยศให้ขุนนางด้วย ราชทินนามจะเป็นเครื่องบอกหน้าที่ที่ได้ เช่น เจ้าพระยามหาเสนา พระยาจ่าแสนยากร มักจะเป็นขุนนางฝ่ายทหาร เจ้าพระยาจักรี พระยาธรรมา พระยาพลเทพ พระยาพระคลัง เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน สิทธิพิเศษของขุนนางคือไม่โดยเกณฑ์แรงงานและสิทธินี้ครอบคลุมไปถึงผู้เป็นลูกด้วย ขุนนางที่มีศักดินาตั้งแต่ 400 ไร่ขึ้นไป มีสิทธิแต่งตั้งทนายว่าความให้ในศาล ได้เข้าเฝ้า และมีสิทธิ์มีไพร่อยู่ในสังกัดได้
3. ไพร่ หรือสามัญชน หมายถึง ผู้ชายที่มีอายุ 18 – 60 ปี ชายฉกรรจ์ที่เป็นสามัญชนจะต้องสักเลก เพื่อสังกัดเจ้านายหรือขุนนางคนใดคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า มูลนาย หากผู้ใดขัดขืน มิยอมสังกัดมูลนาย หรือไปรายงานตัวเป็นไพร่ จะมีโทษและจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย เช่นไม่มีสิทธิ์ในการถือครองที่ดินทำกิน จะฟ้องร้องใครไม่ได้ ไพร่มี 3 ประเภทดังนี้
3.1 ไพร่สม คือ ชายที่มีอายุ 18 – 20 ปี สังกัดมูลนายที่เป็นเจ้านายและขุนนางเพื่อให้ฝึกหัดใช้งาน3.2 ไพร่หลวง คือ ชายที่มีอายุ 20 – 60 ปี มีหน้าที่รับราชการแผ่นดิน ตามการเกณฑแรงงานตามสมัยแต่ถ้ามีลูกเข้าเกณฑ์แรงงานแทนตนถึง 3 คน ก็จะไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานให้ปลดออกจากราชการได้ก่อนอายุ 60 ปี3.3 ไพร่ส่วย คือ ชายที่มีอายุ 20 – 60 ปี ที่ไม่ประสงค์เข้ารับราชการ โดนเกณฑ์แรงงาน รัฐบาลอนุญาตให้นำเงินหรือสิ่งของมาชำระแทนแรงงานได้ เรียกเงินหรือสิ่งของที่ใช้แทนแรงงานว่า ส่วย หรือเงินค่าราชการ4. ทาส มีอยู่ 7 ประเภทดังนี้4.1 ทาสสินไถ่ คือ ทาสที่ขายตัวเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงินต้องทำงานจนกว่าจะหาเงินมาไถ่ค่าตัวได้ จึงจะหลุดพ้นเป็นไท 4.2 ทาสในเรือนเบี้ย คือ ลูกของทาสที่เกิดมาในเวลาที่พ่อ แม่กำลังเป็นทาสอยู่4.3 ทาสได้มาแต่บิดามารดา คือ ลูกทาสที่ได้จากพ่อหรือแม่ของเด็กที่เป็นทาส 4.4 ทาสท่านให้ คือ ทาสที่เดิมเป็นของผู้หนึ่งแล้วถูกยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกผู้หนึ่ง 4.5 ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ คือ ผู้ที่ถูกต้องโทษต้องเสียค่าปรับแต่ไม่มีเงินให้ แล้วมีนายเงินเอาเงิน มาใช้แทนให้ ผู้ต้องโทษก็ต้องเป็นทาสของนายเงิน 4.6 ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย คือ ในเวลามีภัยธรรมชาติทำให้ข้าวยากหมากแพง ไพร่บางคน อดอยากไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ต้องอาศัยมูลนายกิน ในที่สุดก็ต้องยอมเป็นทาสของมูลนายนั้น 4.7 ทาสเชลยคือ ทาสที่ได้มาจากการรบทัพจับศึกหรือการทำสงคราม เมื่อได้ชัยชนะจะต้อน ผู้แพ้สงครามมาเป็นทาส