นานาภาษีน่ารู้"ภาษี" เป็นคำที่สร้างอาการ "ขนลุกขนพอง" ให้หลายๆ คน อาจเพราะภาษาที่เข้าใจยากบวกกับขั้นตอนกระบวนการที่ดูซับซ้อนน่าปวดเศียรเวียนเกล้า ทำให้ "คนไทย" ขยาดไปตามๆ กัน แต่ไม่ว่าอย่างไร... "การจ่ายภาษี" ก็เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน Show
ยิ่งหาก จะทำธุรกิจ ไม่ว่าจะส่วนตัว กลุ่มบริษัท กลุ่มสหกรณ์ SMEs หรือ OTOP เป็นอันว่า ชีวิตต้องพัวพัน กับภาษีอย่างแน่นอน ดังนั้น ลองหันมาตั้งหลัก " ทำความเข้าใจ " เรื่องภาษีให้ถ่องแท้ เพื่อการจ่ายภาษีอย่างถูกต้องกันดีกว่า "เพียงจ่ายภาษีให้ครบถ้วนตามหน้าที่...คุณก็คือคนดีที่ช่วยชาติ" ยินดีที่ได้รู้จักเมื่อตั้งใจว่าจะเป็น "คนไทยที่ดี" แล้ว ก็ต้องมาทำความรู้จัก "หน้าที่" ให้ดีก่อน ... เริ่มเลย ภาษีของประเทศไทยนั้นมีโครงสร้างอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่
แค่โครงสร้างภาษี 2 แบบคงสร้างคำถามตัวเบ้อเริ่มแล้วว่าภาษีแต่ละอย่างมันคืออะไรบ้าง เพราะเยอะเหลือเกิน เอาเป็นว่าขออธิบายเฉพาะภาษีที่ได้ยินกันบ่อยๆ โดยแบ่งตามส่วนงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร กรมสรรพากรจัดเก็บ "ภาษีอากร" ในราชอาณาจักรไทย สิทธิและหน้าที่ผู้เสียภาษีอากร ภาษีอากรที่กรมสรรพากรจัดเก็บแต่ละประเภท จะกำหนดสถานะผู้มีหน้าที่เสียภาษีและวิธีการเสียภาษีแตกต่างกันแล้วแต่กรณี ภาษีที่จัดเก็บจากรายได้นั้นครอบคลุมผู้มีรายได้ที่เป็น บุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคลประเภทต่างๆ โดยมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้แตกต่างกันไป ในการเข้าสู่ระบบการเสียภาษีอากรทุกประเภทของกรมสรรพากร ผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร เพื่อใช้ติดต่อเสียภาษี นอกจากนี้ หากเป็นการประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย กรมสรรพากร กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีทุกประเภททั้งที่เป็น บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคม กิจการร่วมค้า บุคคลต่างด้าว รวมทั้งผู้จ่ายเงินได้ ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก แทนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย การติดต่อราชการกับกรมสรรพากร รวมทั้งการจัดทำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
**ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร คลิก ประเภทภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกรมสรรพากรจัดเก็บภาษี 5 ประเภท ได้แก่
"สิทธิตามกฎหมาย" ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร
"หน้าที่ตามกฎหมาย" ของผู้เสียภาษีอากร
"หน้าที่ตามกฎหมาย" ของผู้เสียภาษีอากร
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือ ภาษีที่จัดเก็บเป็นรายปีจากบุคคลทั่วไป วิสาหกิจชุมชนที่ไม่ได้มีการรวมกลุ่มเป็นนิติบุคคล คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ที่ไม่ใช่นิติบุคคล) หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ และมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะจัดเก็บเป็นรายปี ซึ่งเมื่อมีรายได้เกิดขึ้นในปีใดๆ ผู้มีเงินได้นั้นมีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนด ภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป เงินได้ที่ต้องเสียภาษีนั้น ในทางกฎหมาย เรียกว่า " เงินได้พึงประเมิน " หมายถึง เงินได้ (รายได้) ของบุคคลใดๆ หรือ หน่วยภาษีใด ที่เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
เงินได้ที่ต้องเสียภาษีนั้น ในทางกฎหมาย เรียกว่า " เงินได้พึงประเมิน " หมายถึง เงินได้ (รายได้) ของบุคคลใดๆ หรือ หน่วยภาษีใด ที่เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
ดังนั้น ผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นระหว่างปีภาษีถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ว่าเมื่อคำนวณภาษีแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้
ทั้งนี้ สามารถดูประเภทเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีได้ที่ คลิก สำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินจากการให้เช่าทรัพย์สิน วิชาชีพอิสระ การรับเหมา ธุรกิจการพาณิชย์ กฎหมายได้กำหนดให้ยื่นแบบฯ เสียภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรก ภายในเดือนกันยายนของทุกปี เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีที่ต้องชำระ และเงินได้พึงประเมินบางกรณีกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อให้มีการทยอยชำระภาษีขณะที่มีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้มีเงินได้จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการหักลดหย่อนรายการต่างๆ ที่กฎหมายได้กำหนดให้หักได้เพิ่มขึ้นหลังจากได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี ก่อนนำเงินได้ที่เหลือ ซึ่งเรียกว่า เงินได้สุทธิ ไปคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย ดูรายการที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ที่ คลิก โอ๊ะ...โอ!!! ทำไงดีเกินกำหนดเสียภาษีแล้ว
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ทั้งที่จดและไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กฎหมายต่างประเทศ มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ ใคร? ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีดังนี้
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นจะคิดจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ร้อยละ 20 และภาษีร้อยละ 10 จากกำไรสุทธิเฉพาะกรณีที่ได้จากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน 2535 ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีดังนี้
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยการคำนวณจากฐานภาษีแบบอื่นอีก คือ
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล...ที่ไหน?
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล คลิก ดูวิธีคำนวณภาษีเงินได้ คลิก ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ และต้องชำระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ทั้งนี้ เจ้าของธุรกิจต้องออกใบกำกับภาษีซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญ ให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้า บริการ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ ใคร? ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม...เมื่อไร?
สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หน้าที่เมื่อ...เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
กรณีนำเข้าสินค้า ต้องยื่นแบบใบขนสินค้าขาเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ณ ด่านศุลกากรที่มีการนำเข้าสินค้า อ่านข้อมูลเพิ่มเติม กรมสรรพสามิตภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และศีลธรรมอันดี มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐ ได้แก่
ใคร...? มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต (ภาษีตัวสินค้า)
หน้าที่ของผู้เสียภาษีจดทะเบียนสรรพสามิต 1. การจดทะเบียนสรรพสามิตโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
- ดูเอกสารคำขอจดทะเบียนสรรพสามิต แบบ ภษ.01-04 คลิก 2. การขอใบแทนใบทะเบียนสรรพสามิต
- ดูเอกสารคำขอรับใบแทนใบทะเบียนสรรพสามิต แบบ ภษ.01-05 คลิก 3. การย้ายโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
4. การโอนกิจการโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
5. การเลิกกิจการโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
ขออนุญาตต่อกรมสรรพสามิต1. การขออนุญาตซื้อเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน
2. การขออนุญาตนำเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียนเข้ามาในราชอาณาจักร
3. การขออนุญาตตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน (แก้ไขตามคู่มือของกรมสรรพสามิตเมื่อ 20 ส.ค. 2553)
การแจ้งราคา1. การแจ้งราคาขายสินค้า/บริการ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527
การชำระภาษีสรรพสามิต1. การขยายเวลาชำระภาษี
2. หลักเกณฑ์และวงเงินประกันค่าภาษี ตามประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยื่นแบบรายการภาษี พร้อมกับการชำระภาษีภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยมีหลักประกัน ดังนี้ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรายใดประสงค์จะยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับการชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมีหลักประกัน ให้ปฏิบัติ ดังนี้
3. สินค้าที่เสียภาษีโดยใช้แสตมป์สรรพสามิต หรือเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี ได้แก่
4. การคำนวณภาษี กรณีอัตราภาษีตามปริมาณ ภาษีสรรพสามิต = ปริมาณสินค้า x อัตราภาษีสรรพสามิต กรณีอัตราภาษีตามมูลค่า ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า x อัตราภาษีสรรพสามิต กรณีระบุอัตราภาษีทั้งตามปริมาณและตามมูลค่า ให้คำนวณค่าภาษีสรรพสามิตจากทั้ง 2 อัตราก่อน และให้ใช้อัตราที่คิดเป็นเงินสูงกว่า ตามมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.พิกัดภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 โดยรายรับของสถานบริการ ได้แก่
กรณีสินค้านำเข้า มูลค่า = ราคา ซี.ไอ.เอฟ. ของสินค้า + อากรขาเข้า + ค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน + ภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นตามที่จะได้กำหนดใน พ.ร.บ. (แต่ไม่รวมถึง VAT) + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเพื่อมหาดไทย ดังนั้น ภาษีสรรพสามิต = (มูลค่าดังกล่าว) x อัตราภาษีสรรพสามิต หรือ ภาษีสรรพสามิต = {(C.I.F + อากรขาเข้า + ค่าธรรมเนียมอื่นไม่รวม VAT) x อัตราภาษีสรรพสามิต) หารด้วย (1-(1.1 x อัตราภาษีสรรพสามิต)} 5. การชำระภาษีสถานบริการ
การยกเว้นหรือคืนภาษี1. การยกเว้นหรือคืนภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร
2. การขอยกเว้นสำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยจะนำไปเก็บพักไว้ที่สถานที่เก็บสินค้า
3. การลดหย่อนภาษีสรรพสามิต
บทกำหนดโทษ
ข้อมูลกรมสรรพสามิตเพิ่มเติม ภาษีศุลกากรคือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศ หรือส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร ในกรณีนำเข้าเรียกว่า "อากรขาเข้า" และในกรณีส่งออกเรียกว่า "อากรขาออก" โดยจะจัดเก็บตามราคาหรือร้อยละของมูลค่าสินค้า และจัดเก็บตามสภาพของสินค้า ตามปริมาณ น้ำหนัก ความยาว หรือปริมาตร เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีสินค้าที่จะต้อง "ชำระอากรขาออก" เพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ ไม้ และหนังโค-กระบือ นอกนั้นอัตราอากรเป็น 0% ทั้งหมด ส่วน "อากรขาเข้า" จัดเก็บตามพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งกรมศุลกากรได้นำระบบฮาร์โมไนซ์มาใช้ในการจัดหมวดหมู่ของสินค้า โดยแบ่งย่อยเป็นหมวด ตอน ประเภท และประเภทย่อย คือแบ่งเป็น 21 หมวด 91 ตอน แต่ละตอนจะประกอบด้วยประเภทและประเภทย่อยแตกต่างกัน ซึ่งการระบุสินค้าตามระบบฮาร์โมไนซ์จะกำหนดเป็นเลข 10 หลัก โดยที่ 7 หลักแรกจะเป็นเลขที่กำหนดโดยองค์การการค้าโลก ส่วนเลข 3 หลักหลัง
เป็นรหัสสถิติที่กำหนดโดยแต่ละประเทศ ดังนั้น เมื่อจะนำสินค้าใดเข้าหรือส่งสินค้าใดออก คุณต้องตรวจสอบให้ถูกต้องชัดเจนก่อนว่าสินค้านั้นๆ จัดอยู่ในพิกัดใด อัตราอากรเท่าใด เพื่อที่จะนำไปคิดคำนวณภาษีอากรที่คุณต้องจ่ายนั่นเอง อีกทั้งคุณต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนตามกฎหมายศุลกากร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกให้ครบถ้วน ดังนี้ 1. ลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกผู้ผ่านพิธีการศุลกากรผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออกจะต้องไปแสดงตนขอลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกผู้ผ่านพิธีการศุลกากร สียก่อน ซึ่งจะเป็นการลงทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ เพราะระบบจะจดจำว่าคุณได้ขอเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกแล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ก็สามารถขออนุญาตนำเข้า-ส่งออกสินค้าได้
1.1 กรณีการขออนุญาตเป็นตัวแทนออกของตัวแทนออกของ (customs broker) คือ นิติบุคคลที่ทำหน้าที่ในการเป็นผู้ติดต่อกับกรมศุลกากรแทนผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออก หรือเป็นนายหน้าในการจัดการผ่านพิธีการศุลกากรนั่นเอง
2. พิธีการศุลกากรนำเข้าและส่งออกการจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใดๆ ก็ตาม ผู้นำเข้าส่งออก (หรือตัวแทนออกของ) จะต้องทำพิธีการศุลกากรนำเข้าและส่งออกด้วย ซึ่งช่องทางสำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า ได้แก่ ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ และทางไปรษณีย์ ทั้งนี้ การจัดเตรียมเอกสารและปฏิบัติตามขั้นตอนพิธีการศุลกากรในการนำเข้าสินค้า มีดังนี้ 2.1 พิธีการนำเข้าประเภทใบขนสินค้าขาเข้าเป็นแบบพิมพ์ที่กรมศุลกากรกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องยื่นต่อกรมศุลกากรในการนำเข้าสินค้า ซึ่งจำแนกออกเป็น 9 ประเภท ตามลักษณะการนำเข้า (1) แบบ กศก. 99/1 ใบขนสินค้าขาเข้า พร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าทั่วไปทุกประเภทที่กรมศุลกากรไม่ได้กำหนดให้ใช้ใบขนสินค้าประเภทอื่น (2) แบบ กศก. 102 ใบขนสินค้าขาเข้าพิเศษ พร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าทางอากาศยานหรือพิธีการอื่นที่กรมศุลกากรกำหนด สำหรับของที่นำเข้าในลักษณะเฉพาะ เช่น การนำเข้าสัตว์เลี้ยงมีชีวิต เป็นต้น (3) แบบ กศก. 103 คำร้องขอผ่อนผันรับของ/ส่งของออกไปก่อน ใช้สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าก่อนปฏิบัติพิธีการครบถ้วนตามที่กรมศุลกากรกำหนด (4) แบบ A.T.A. Carnet ใบขนสินค้าสำหรับนำของเข้าหรือส่งของออกชั่วคราว ใช้สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าชั่วคราวประเภทต่างๆ ตามที่ระบุในอนุสัญญา (5) แบบ JDA (Joint Development Area) ใบขนสินค้าสำหรับพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (6) แบบใบแนบ 9 ใบขนสินค้าถ่ายลำ ใช้สำหรับพิธีการสินค้าถ่ายลำ (7) แบบที่ 448 ใบขนสินค้าผ่านแดน ใช้สำหรับพิธีการสินค้าผ่านแดน (8) ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการนำรถยนต์และจักรยานยนต์เข้ามาในประเทศหรือส่งออกชั่วคราว (9) ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับเรือสำราญและกีฬาที่นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการนำเรือสำราญและกีฬาเข้ามาในประเทศหรือส่งออกชั่วคราว เอกสารที่ควรจัดเตรียมในการนำเข้าสินค้า
ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการนำเข้าสินค้า1. ผู้นำเข้าหรือตัวแทนบันทึกข้อมูลบัญชีราคาสินค้า (Invoice) ทุกรายการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองหรือผ่าน Service Counter โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะแปลงข้อมูลบัญชีราคาสินค้าให้เป็นข้อมูลใบขนสินค้าโดยอัตโนมัติ และให้ผู้นำเข้าหรือตัวแทนส่งเฉพาะข้อมูลใบขนสินค้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร 2. เครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรจะตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นในใบขนสินค้าที่ส่งเข้ามา เช่น ชื่อและที่อยู่ผู้นำของเข้า เลขประจำตัวผู้เสียภาษี พิกัดอัตราศุลกากร ราคา เป็นต้น ถ้าพบว่าข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้าที่ส่งมาไม่ถูกต้อง เครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรจะแจ้งกลับไปยังผู้นำเข้าหรือตัวแทนเพื่อให้แก้ไขให้ถูกต้อง 3. เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรตรวจสอบข้อมูลในใบขนสินค้าที่ส่งมาถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะออกเลขที่ใบขนสินค้าขาเข้า พร้อมกับตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ ที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ เพื่อจัดกลุ่มใบขนสินค้าขาเข้าในขั้นตอนการตรวจสอบพิธีการเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้ แล้วแจ้งกลับไปยังผู้นำเข้าหรือตัวแทน เพื่อจัดพิมพ์ใบขนสินค้า ใบขนสินค้าขาเข้าที่ไม่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Green Line) สำหรับใบขนสินค้าประเภทนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์จะสั่งการตรวจ หลังจากนั้น ผู้นำเข้าหรือตัวแทนสามารถนำใบขนสินค้าขาเข้าไปชำระค่าภาษีอากรและรับการตรวจปล่อยสินค้าได้ ใบขนสินค้าขาเข้าที่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Red Line) สำหรับใบขนสินค้าประเภทนี้ ผู้นำเข้าหรือตัวแทนต้องนำใบขนสินค้าไปติดต่อกับหน่วยงานประเมินอากรของท่าที่นำของเข้า 4. ผู้นำเข้าหรือตัวแทนต้องจัดเก็บข้อมูลบัญชีราคาสินค้าตามวรรคแรกในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์เป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 6 เดือน เพื่อใช้สำหรับการตรวจสอบใบขนสินค้าหลังการตรวจปล่อย โดยให้สามารถจัดพิมพ์เป็นรายงานเมื่อกรมศุลกากรร้องขอ ดังนี้ 4.1 IMPORT/EXPORT INVOICE LIST BY DECLARATION ITEM 4.2 IMPORT/EXPORT INVOICE LIST BY INVOICE ITEM 4.3 IMPORT/EXPORT INVOICE LIST 2.2 พิธีการส่งออกในการส่งออกสินค้า ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศที่กรมศุลกากรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกกำหนดไว้ให้ครบถ้วน เช่นเดียวกับการนำเข้า ประเภทใบขนสินค้าขาออกเป็นแบบพิมพ์ที่กรมศุลกากรกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องยื่นต่อกรมศุลกากรในการส่งออกสินค้า ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ประเภท ตามลักษณะการส่งออก ดังนี้ 1. แบบ กศก.101/1 ใบขนสินค้าขาออก ใช้สำหรับการส่งออกในกรณี ดังต่อไปนี้
2. แบบ กศก.103 คำร้องขอผ่อนผันรับของ/ส่งของออกไปก่อน ใช้สำหรับการขอส่งสินค้าออกไปก่อนปฏิบัติพิธีการใบขนสินค้าขาออกในลักษณะที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ในประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ.2544 3. แบบ A.T.A. Carnet ใบขนสินค้าสำหรับนำของเข้าหรือส่งของออกชั่วคราว ใช้สำหรับพิธีการส่งของออกชั่วคราวในลักษณะที่กำหนดในอนุสัญญา 4. ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการส่งออกรถยนต์และจักรยานยนต์ชั่วคราว เอกสารที่ผู้ส่งออกควรจัดเตรียมในการส่งออกสินค้า
ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการส่งออกสินค้า
ใบขนสินค้าขาออกที่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Red Line) สำหรับใบขนสินค้าประเภทนี้ ผู้ส่งออกหรือตัวแทนต้องนำใบขนสินค้าไปติดต่อกับหน่วยงานประเมินอากรของท่าที่ผ่านพิธีการ ใบขนสินค้าขาออกที่ไม่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Green Line) สำหรับใบขนสินค้าขาออกประเภทนี้ ผู้ส่งออกสามารถชำระค่าอากร (ถ้ามี) และดำเนินการนำสินค้าไปตรวจปล่อยเพื่อส่งออกได้เลยโดยไม่ต้องไปพบเจ้าหน้าที่ประเมินอากร น่ารู้...เรื่องการส่งออกสินค้า
ดูเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
|