พระเจ้าตากสินเลือกไปตั้งมั่นที่ใด

เวลาเที่ยง วันเสาร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ ศักราช 1128 พุทธศักราช 2309 (วันที่ 3 มกราคม 2309) ฝนตกห่าใหญ่ เป็นชัยมงคลฤกษ์

พระยาตากพาพรรคพวกทหารไทยจีน ราวๆ 500 คน ฝ่าสายฝน ออกจากค่ายวัดพิชัย มุ่งหน้าตะวันออก พร้อมด้วยเหล่าทหารไทยจีน มีนายทหารคนสำคัญคือ พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี หมื่นราชเสน่หา เป็นต้น

มีคำถามเสมอว่า เหตุใดพระเจ้าตากจึงตัดสินใจมุ่งหน้า “หนี” มาทางตะวันออก เหตุผลตรงไปตรงมาที่สุดคือฝากตะวันออกของกรุงศรีอยุธยามีกองกำลังของพม่าน้อยที่สุด ส่วนทางเหนือ ใต้ และตะวันตก เต็มไปด้วยกองทัพขนาดใหญ่ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทั้งสิ้น

นอกจากนี้การ “หนี” ได้ถึงชายทะเล หากเกิดเหตุคับขันประการใด ยังสามารถมุ่งหน้าออกทะเลได้ หรืออย่างน้อยก็ยังสามารถเข้าไปพึ่งพิงกรุงกัมพูชา ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพันธมิตรกันอยู่ หนึ่งในพรรคพวกที่หนีมาพร้อมกันยังมี นักองค์ราม ซึ่งลี้ภัยการเมืองมาอยู่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่น่าจะพอรู้ทางหนีทีไล่ด้านตะวันตกเป็นอย่างดี

ส่วนข้อสันนิษฐานว่า ชายทะเลตะวันออก เต็มไปด้วยชุมชน “แต้จิ๋ว” ซึ่งเป็นเชื้อสายเดียวกับพระเจ้าตาก และอาจจะเป็น “แหล่งทุน” ในสงครามกู้ชาตินั้น ยังเป็นเรื่องชวนสงสัยอยู่

ข้อแรก นาทีที่พระเจ้าตาก “หนี” นั้น อาจจะยังไม่คิดถึงการทำสงครามกู้ชาติในทันที

ข้อต่อมา ในนาทีนั้นน่าจะยังไม่มีใครรู้จัก “พระยาตาก” ขุนนางบ้านนอกหัวเมืองเหนือ ที่เพิ่งจะรับราชการเป็นพระยาได้ไม่เท่าไหร่ จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจ “เอาด้วย” เพราะอย่างน้อยหัวเมืองฟากตะวันออกขณะนั้นก็ยัง “ดูทิศทางลม” ไม่เข้ากับใครทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุนนางบ้านนอกอย่าง “พระยาตาก” จะมั่นใจได้อย่างไรว่า มีการสนับสนุนรออยู่ทางทิศตะวันออก

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การต่อต้านกองกำลังพระยาตากโดยคนไทยด้วยกัน ซึ่งส่วนมากเป็นผู้นำท้องถิ่น ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันจะหยุดผ่อนม้า วางดาบ เลยทีเดียว

พระเจ้าตากสินเลือกไปตั้งมั่นที่ใด
“สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกู้ชาติ” วาดโดย สนั่น ศิลากรณ์ พิมพ์ครั้งแรกเป็นปกนิตยสารฟ้าเมืองไทย ปีที่ 17 ฉบับที่ 875 วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2528

บนเส้นทาง “หนี” จากวัดพิชัย ผ่านบ้านหันตรา กำลังจะมุ่งหน้าสู่บ้านข้าวเม่า บ้านสัมบัณฑิต กองกำลังพม่าที่รู้ข่าว ก็ยกทัพตามมาต่อตี แต่ก็ต้องล่าทัพกลับไป เพราะสู้พระยาตากและพรรคพวกไม่ได้

พรรคพวกทหารไทยจีนของพระยาตากเวลานั้นมี พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี กับคนอีกราว 500-1,000 คน

วันแรก ของการเดินทัพผ่าน บ้านหันตรา แล้วหยุดลงตอนเที่ยงคืน ที่ บ้านสัมบัณฑิต เวลาเดียวกันนั้น กองกำลังพระยาตากก็ได้เห็นเพลิงลุกไหม้ในพระนคร “แสงเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ” จากการถูกปืนใหญ่ระดมยิงเข้าพระนคร แต่กองทัพพม่าก็ยังบุกเข้าเมืองไม่ได้

จุดนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะเป็นช่วงเวลาพิสูจน์เจตนารมณ์ของพระยาตากว่าจะหนีหรือจะสู้

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) บอกว่าในคืนที่เห็นเพลิงไหม้พระนครนี้เอง ที่พระยาตากคิดที่จะ “แก้กรุงเทพมหานคร”

แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวไว้ช้ากว่านี้ประมาณครึ่งเดือน คือพระยาตากประกาศ ”กู้ชาติ” เมื่อเข้าเขตเมืองระยองไปแล้ว

ความต่างของข้อมูลตรงนี้ คือตัวตัดสินความมุ่งหมายในใจของพระเจ้าตาก ว่า “หนี” เอาตัวรอด หรือ “หนี” ตั้งหลัก แต่ไม่ว่าการตัดสินใจเริ่มแรกจะเป็นอย่างไร ตอนท้ายก็ได้เฉลยแล้วว่าทรงตัดสินใจทำอย่างไร

ปมสำคัญที่น่าคิดก็คือ หากพระเจ้าตากต้องการหนีเอาตัวรอด เหตุใดจึงต้องพาทหารอีกนับพันคนไปด้วย เพราะการหนีด้วยจำนวนคนน้อยน่าจะคล่องตัวกว่า อีกเรื่องหนึ่งคือ หลวงศรเสนี ที่หนีมาพร้อมกันแต่แรกนั้น กลับตัดสินใจที่จะ “พาพรรคพวกหนีไปทางอื่น” ทั้งนี้จะเป็นเพราะหลวงศรเสนีไม่เห็นด้วยกับเส้นทางหนี ซึ่งเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดขณะนั้น หรือเป็นเพราะรู้เจตนาของพระเจ้าตากจึงขอปลีกตัวไปทางอื่น

วันที่ 2 ของการเดินทัพ กองกำลังพระยาตากหยุดพักแรมที่ บ้านพรานนก ที่นี่มีเหตุต้องปะทะกับกองทัพพม่าจำนวน 2,000 คนอีกครั้งหนึ่ง และสามารถโจมตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไปได้อีก สร้างขวัญและกำลังใจให้กับไพร่พลเป็นอันมาก การรบครั้งนี้พระยาตากขึ้นม้าออกรบพร้อมกับนายทหารอีก 4 ม้า เหล่าทหารม้า ถือเอาวันนี้เป็น “วันทหารม้า” ตรงกับวันที่ 4 มกราคม 2309

แต่ก่อนจะถึงบ้านพรานนกนี้ มีตำนานท้องถิ่น เกิดขึ้นที่ บ้านโพสาวหาญ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า นางโพ ได้นำกำลังคนออกรบอย่างกล้าหาญจนกระทั่งตัวตาย พระยาตากจึงตั้งชื่อบ้านนามเมืองไว้เป็นเกียรติประวัติ แต่ชื่อที่บันทึกอยู่ในพระราชพงศาวดารเรียกต่างกันว่าบ้านโพธิ์สามหาว หรือ โพสังหาร

ที่ผ่านมา เวลาเราอธิบายถึงการที่พระเจ้าตากตีฝ่าวงล้อมออกจากกรุงศรีอยุธยา เรามักอธิบายเพียงว่า เพื่อมุ่งไปยังเมืองจันทบุรี ไปจัดเตรียมกำลังเพื่อกลับมากอบกู้อยุธยา แต่เราไม่เคยตั้งคำถามว่า ทำไมพระเจ้าตากจึงพากองทัพและครอบครัวพลเรือนของพระองค์ตีฝ่าวงล้อมออกจากกรุงศรีอยุธยา และทำไมต้องตีฝ่าออกไปในค่ำคืนวันนั้น

Advertisment

วันที่พระเจ้าตากตีฝ่าวงล้อม ระบุไว้ใน พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) (ประชุมพงศาวดาร เล่ม 40 ภาค 65-66), (กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2528), หน้า 1-2.

1. หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและกองทัพ ได้กอบกู้เอกราชคืนมาหลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายจนยากแก่การบูรณะให้ดีดังเดิม

2. เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเกิดจากการรวมตัวของแคว้นละโว้กับแคว้นสุพรรณภูมิ จึงทำให้มีบริเวณที่กว้างขวางมากเกินกว่าจำนวนกำลังกองทัพที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีอยู่

3. ก่อนจะเกิดสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ไทยได้ทำสงครามกับพม่าถึง 6 ครั้ง ทำให้ข้าศึกรู้ลู่ทางภูมิประเทศและจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี ทำให้เสียเปรียบและยากในการป้องกันพระนคร

4. ถึงแม้กรุงศรีอยุธยาจะตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และยังมีแม่น้ำอื่นๆอีกมากมายไหลผ่าน แต่อยู่ห่างจากทะเลมากเกินไป ไม่สะดวกต่อการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ

5. กรุงธนบุรีเป็นเมืองขนาดเล็ก พอเหมาะกับกำลังพลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จะป้องกันรักษาได้

6. หากเกิดกรณีที่ข้าศึกมีกำลังที่มากกว่าจะรักษาราชธานีไว้ได้ ก็อาจย้ายไปตั้งมั่นที่เมืองจันทบุรีที่มั่นคงกว่าโดยทางเรือ เพื่อรวบรวมกำลังผู้คน อาวุธ เสบียงอาหาร

7. กรุงธนบุรีมีป้อมปราการที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สามารถใช้ป้องกันข้าศึกได้

8. กรุงธนบุรีมีทำเลที่ตั้งเหมือนกรุงศรีอยุธยา คือ ตั้งอยู่บนเกาะ และยังมีสภาพเป็นที่ลุ่ม มีบึงน้อย บึงใหญ่อยู่รายล้อมทั่วไป ทำให้ข้าศึกไม่สามารถโอบล้อมพระนครได้โดยง่าย

9. กรุงธนบุรีอยู่ใกล้ปากน้ำ สะดวกแก่การค้าขายกับชาวต่างประเทศ เรือสินค้าต่างๆ สามารถเข้าจอดเทียบท่าได้โดยไม่ต้องขนถ่ายสินค้าลงเรือเล็กอย่างสมัยอยุธยา ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

10. กรุงธนบุรีเป็นเมืองเก่า มีวัดต่างๆ จำนวนมากที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างวัดขึ้นมาใหม่ให้สิ้นเปลือง เพียงแต่บูรณปฏิสังขรณ์บ้างเท่านั้น

11. กรุงธนบุรีเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยสภาพของพื้นที่เป็นที่ลุ่ม มีดินดี มีคลองและแม่น้ำหลายสาย มีน้ำใช้ตลอดปี เหมาะแก่การทำเกษตร ทำนา ปลูกข้าว ทำสวนผักและสวนผลไม้

12. กรุงธนบุรีมีที่ตั้งที่ไม่ห่างจากกรุงศรีอยุธยามากนัก จึงทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชอำนาจปกครองกรุงศรีอยุธยาแล้ว และยังสามารถป้องกันกรุงศรีอยุธยาจากชุมนุมอื่นๆ และกองทัพพม่าได้ง่าย

“ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง”

เมืองใดที่พระยาวชิรปราการเลือกที่จะไปตั้งเป็นฐานที่มั่นเพื่อสู้กับกองทัพพม่า

ปี พ.ศ. 2200 ได้ย้ายมาสร้างเมืองใหม่ที่บ้านลุ่ม ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรีและหลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งยังเป็นพระยาวชิรปราการ ได้นำกำลังพลประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมาทางทิศตะวันออกและยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นเวลา 5 เดือน เพื่อเป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารและไพร่พล จากนั้น ...

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตีฝ่าวงล้อมของพม่าไปตั้งมั่นที่ใด

เมื่อตีฝ่าวงล้อมของกองทัพพม่าได้แล้ว พระยาตากสินก็นำสมัครพรรคพวกที่ยังเหลืออยู่เดินทางไปนครนายก ปราจีนบุรี ระยอง โดยทรงมีจุดมุ่งหมายสู่จันทบุรี โดยหวังที่จะใช้เมืองจันทบุรี เป็นที่พำนักซ่องสุมผู้คนเพื่อเตรียมสู้รบกอบกู้อิสรภาพกลับคืนมา จากพม่าต่อไป

เพราะเหตุใดพระเจ้าตากสินจึงเลือกยึดเมืองจันทบุรี

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จันทบุรี เป็นเมืองที่มีชุมชนชาวแต้จิ๋วเข้ามาตั้งรกรากอยู่หนาแน่น ย่อมมีความคุ้นเคยกับพระยาตาก ในฐานะที่เป็นจีนเชื้อสายเดียวกัน การเดินทางไปเมืองจันทบุรีก็คือ การเดินทางกลับไปสู่ดินแดนที่ตนรู้จัก และรู้สึกปลอดภัยในหมู่คนที่รู้จักมักคุ้นและไว้ใจ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ เมื่อใด

พ.ศ. 2277