Show 6. การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดเป็นประจำ�จะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร อาหารที่มีรสเค็มจัดมีส่วนประกอบของโซเดียมคลอไรด์มาก เมื่อโซเดียมคลอไรด์เข้าสู่ ร่างกายจะแตกตัวเป็นไอออน ได้แก่ Na + และ Cl - ซึ่งปกติในร่างกายจะมีปริมาณ Na + และ Cl - สมดุลอยู่แล้ว แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะทำ�ให้ความเข้มข้นของ Na + และ Cl - ในเลือด เพิ่มขึ้น ไตต้องรักษาสมดุลโดยการดูดกลับน้ำ�จากของเหลวในท่อหน่วยไตเข้าสู่หลอดเลือด เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเข้มข้นของ Na + ในเลือด ปริมาณเลือดจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจ ต้องสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายเร็วขึ้น ความดันเลือดจึงสูง ซึ่งความดันเลือดที่สูงขึ้นนี้จะเพิ่ม แรงดันที่โกลเมอรูลัสที่ทำ�หน้าที่กรองสาร ทำ�ให้หลอดเลือดฝอยอาจเกิดรอยรั่วหรือฉีกขาด อาจทำ�ให้เกิดการรั่วของโปรตีน และเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมากับปัสสาวะ ซึ่งส่งผลให้เกิด โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทที่ 17 | ระบบขับถ่าย ชีววิทยา เล่ม 4 220 นอกจากแป้งและน้ำตาลแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าการกินเค็มก็อาจนำพาเราไปสู่จุดที่เป็นโรคอ้วนได้เหมือนกันรสเค็ม = อ้วนขึ้นได้จากข้อมูลของ เครือข่ายคนไทยไร้พุง ของ สสส. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ระบุว่า “รสเค็มเป็นรสที่ส่งผลต่อการกินมากที่สุด รสชาติเค็มเปรียบเหมือนยาเสพติดโดยเร่งการผลิตโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองส่งผลต่ออารมณ์ความพึงพอใจ ความสุข ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร เมื่อติดรสชาติเค็มแล้วหากไม่ได้รสชาติเค็มก็จะรู้สึกว่าอาหารไม่อร่อย รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสีย นอกจากนี้ผู้ที่ติดรสชาติเค็มเพียงแค่นึกถึงอาหารที่มีรสชาติเค็มก็สามารถทำให้เกิดความรู้หิวและอยากอาหารขึ้นมา จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ที่ชอบกินเค็มอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ชอบกินเค็ม เนื่องมาจากพอความรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น กินก็มากขึ้น โอกาสการได้รับพลังงานที่มาจากอาหารก็จะมากขึ้นตามไปด้วย” อันตรายจากการกินเค็มผู้ที่ชอบกินอาหารเค็มจะเสี่ยงต่อการได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ซึ่งคือการไม่ได้สัดส่วนของเกลือและน้ำในร่างกายส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับความดันโลหิต ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้การได้รับโซเดียมสูงในระยะยาวยังเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะกระดูกผุ และโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร การที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบรับประทานเค็มอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเริ่มจากทีละขั้นตอนช้าๆเพื่อให้ร่างกายได้ปรับเปลี่ยนและเกิดความเคยชินจะทำให้ได้ผลในระยะยาวที่ดีกว่า เช็กลิสต์ คุณเป็นคน “ติดเค็ม” หรือเปล่า?
วิธีลดอาการ “ติดเค็ม”
เกลือ มากกว่าแค่ให้รสเค็ม
เกลือมีประวัติศาสตร์คู่กับมนุษย์มายาวนาน มนุษย์รู้จักวิธีการทำเกลือมาตั้งแต่ ประมาณ 10,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในอดีตเกลือเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เพราะถือเป็นสิ่งหายากในสังคม มนุษย์ เนื่องจากแหล่งผลิตเกลือมีน้อย ปริมาณการผลิตไม่มากนัก ดังนั้น ผู้คนในโลกจำต้องแสวงหาเกลือมาบริโภค เพราะเกลือเป็นเครื่องปรุงรสโบราณที่ทุกบ้านเรือนต้องใช้ เกลือจึงกลายเป็นสิ่งของที่ผู้คนนำไปแลกเปลี่ยนเอาสินค้าอย่างอื่น จนอาจกล่าวได้ว่าเกลือเป็นสินค้าชิ้นแรกที่มนุษย์มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน เกลือเป็นคำเรียกทั่วไปของสารประกอบที่ประกอบด้วยไอออนบวกของโลหะ (รวมทั้งไฮโดรเจนไอออน) และไอออนลบของอโลหะ แต่หากพูดถึงเกลือที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายใน ชีวิตประจำวันและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในที่นี้หมายถึง เกลือแกงหรือ Sodium Chloride (NaCl) โดยเมื่อละลายน้ำแล้วจะแตกตัวให้ โซเดียมไอออน (Na+) และ คลอไรด์ไอออน (Cl-) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะโซเดียมไอออน (Na+) นั้นเป็นส่วนประกอบของของเหลวที่สำคัญในร่างกาย และมีหน้าที่ใน การรักษาระดับความดันออสโมติกของน้ำ ระหว่างภายในและนอกเซลล์ไว้ โดยโซเดียมจะกระจายตัวอยู่ในส่วนของน้ำนอกเซลล์ ประมาณร้อยละ 97.7 ดังนี้ พลาสมา (Plasma), เนื้อเยื่อและกระดูกอ่อน, กระดูก, ช่องว่างระหว่างเซลล์และของเหลวผ่านเซลล์ ส่วนโซเดียมที่เหลืออีกร้อยละ 3.3 นั้นอยู่ภายในเซลล์ ระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันของโซเดียม ไอออน (Na+) นี้เองเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมปริมาณของน้ำและการเคลื่อนที่ย้ายน้ำในร่างกาย จากรูปแสดง ปริมาณน้ำทั้งหมดในร่างกายของชาย น้ำหนัก 70 กิโลกรัม
ที่อยู่ในสภาวะสมดุล โดยโซเดียมไอออน (Na+) จะอยู่ภายนอกเซลล์มากกว่าในเซลล์ ปกติแล้ว โซเดียมไอออน (Na+) จะเกิดการแลกเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา โดยโซเดียมไอออน (Na+)ภายนอกเซลล์จะแพร่เข้าสู่ภายใน ส่วนโซเดียมไอออน (Na+) ภายในจะไหลออกนอกเซลล์ ผ่านการปั๊ม(Pump) และเกิดไปพร้อมกับการแลกเปลี่ยนโพแทสเซียมไอออน(K+) ร่างกายรักษาปริมาณของโซเดียมไอออน (Na+) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยปรับอัตราการขับถ่ายให้ใกล้เคียงกับจำนวนที่ได้รับ ปกติแล้วร่างกายได้รับ โซเดียมไอออน (Na+) จากส่วนประกอบของอาหารในปริมาณที่มากเกินพอ ประมาณวันละ 100-300 มิลลิโมล หรือ 5-15 g ส่วนมากจะอยู่ในรูปของเกลือแกง (NaCl) โดยเฉพาะ ในอาหารปรุงแต่งที่มีรสเค็ม (salted food) และจากเครื่องปรุงรสเช่น กะปิและน้ำปลา เป็นต้น และปริมาณโซเดียมไอออน (Na+) ที่ได้รับจากอาหารในแต่ละวันยังแตกต่างกันตามชนิดอาหาร ดังนั้นปริมาณ Na+ ที่ขับถ่ายออกมาในปัสสาวะในแต่ละวันจึงแตกต่างกันด้วย ส่วนการกำจัดโซเดียมส่วนเกินนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายได้ 3 ทาง คือ 1. การขับโซเดียมผ่านทางไต การขับโซเดียมไอออน (Na+)
ออกทางไตเป็นทางสำคัญและร่างกายมีกลไกควบคุมการขับถ่ายอย่างมีประสิทธิภาพดีที่สุด โดยจะขับโซเดียมไอออน (Na+) ออกในรูปของปัสสาวะ ซึ่งโซเดียมไอออน (Na+) ประมาณร้อยละ 50 ของโซเดียมไอออน (Na+) ส่วนเกินจะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะในวันแรก ส่วนที่เหลือจะถูกขับถ่ายออกหมดใน 3-4 วันต่อมา ในทางตรงข้ามถ้าร่างกายไม่ได้รับ โซเดียมไอออน (Na+) ไตจะสงวนโซเดียมไอออน (Na+) ไว้ จนปริมาณที่ออกมาทางปัสสาวะลดลงเหลือวันละ 5-10 มิลลิโมลได้ ถ้าขาด ติดต่อกันนานถึง 7 วัน 2. การขับโซเดียมผ่านทางเหงื่อ ร่างกายจะสูญเสียโซเดียมไอออน (Na+) ทางเหงื่อวันละประมาณ 25 มิลลิโมล การขับโซเดียมไอออน (Na+) ออกทางเหงื่อนั้น เป็นผลจากร่างกายต้องการขับความร้อนออกมา (โดยใช้น้ำเป็นตัวนำความร้อน) เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้ปกติ การที่โซเดียมถูกขับออกมากับเหงื่อจึงไม่มีผลต่อการควบคุมจำนวนโซเดียมในร่างกาย 3. การขับโซเดียมผ่านทางอุจจาระ ปกติร่างกายขับโซเดียมไอออน (Na+) ออกทางอุจจาระน้อยมาก ประมาณวันละ 5-10 มิลลิโมล แต่การเสียโซเดียมไอออน (Na+) ผ่านทางนี้ในจำนวนมากนั้น อาจเกิดได้ในรายที่มีอาการท้องเดินหรืออาเจียนอย่างรุนแรง เนื่องจากน้ำในระบบทางเดินอาหารมีความเข้มข้นของอิเล็คโตรไลท์ (electrolyte) สูงมากกว่าในพลาสม่าและยังถูกขับออกมาจำนวนมากประมาณ 8 ลิตรต่อวัน ซึ่งการสูญเสียน้ำในทางเดินจำนวนมาก จะส่งผลให้มีการขับโซเดียมไอออน (Na+) เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นการได้รับโซเดียมไอออน (Na+) ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมนั้น ล้วนเป็นผลเสียต่อร่างกายทั้งสิ้น แต่จากผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถาบันโภชนศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้รับโซเดียมมากกว่าสองเท่า ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งมีผลให้เกิดภาวะโซเดียมไอออน(Na+) เกิน ผลของการได้รับโซเดียมไอออน (Na+) สูง มีดังนี้
เมื่อมีปริมาณโซเดียมไอออน (Na+) มากเกินในร่างกาย จะมีผลทำให้น้ำภายนอกเซลล์ (ECF) เพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก โซเดียมไอออน (Na+) มีผลทำให้ osmolality ในพลาสมาเพิ่มมากขึ้น จึงดึงน้ำออกจากเซลล์และกระตุ้นให้มีการกระหายน้ำและดื่มน้ำเพิ่มขึ้นมาก และการที่น้ำออกจากเซลล์เข้ามาในพลาสมาจึงทำให้ น้ำในหลอดเลือด (intravascular fluid, IVF) เพิ่มขึ้น
และถ้าเพิ่มขึ้นมากจะทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำในอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจ ทำให้มีน้ำคั่งในปอดและเกิดการบวมน้ำได้ ร่างกายจึงต้องแก้ไขด้วยการเพิ่มการขับโซเดียมไอออน (Na+) ออกทางไต ให้มากขึ้นและปรับให้มีการดูดกลับของ Na+ ลดลง 2. เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 1. กลไกการปรับความดันโลหิตที่เกิดขึ้นโดยรวดเร็ว หมายถึง กลไกที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการปรับ ได้แก่ 1.2 กลไกทางฮอร์โมนและสารเคมี เป็นกลไกควบคุมความดันโลหิตที่เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วโดยอาศัยบทบาทของฮอร์โมนและสารเคมีด้วยซึ่งได้แก่ nor epinephrine- epinephrine system, rennin-angiotensin system และ vasopressin(ADH) 1.2.1 ฮอร์โมน nor epinephrine และ epinephrine ซึ่งมีผลต่อระบบไหลเวียน คือ ทำให้หัวใจทำงานเพิ่มขึ้น หลอดเลือดส่วนใหญ่ในร่างกายหดตัวทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ความดันโลหิตสูงขึ้นซึ่งเป็นการเพิ่มcardiacoutput และความต้านทานส่วนปลาย1.2.2 ระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน (renin-angiotensin system) เป็นกลไกของการปรับความดันโลหิตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกชนิดหนึ่งและยังสามารถควบคุมในระยะยาวได้อีกด้วยถือเป็นระบบที่มีความสำคัญมาก โดยถูกกระตุ้นเมื่อมีระดับความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง โดยระบบเรนิน-แองจิโอเทนซินนั้น มีผลต่อการปรับเปลี่ยนระดับความดันโลหิตสูง, มีอิทธิพลต่อหลอดเลือดเป็นอย่างมากมากและมีฤทธิ์ในการกระตุ้นมากกว่านอร์อิพิเนฟรินประมาณ 200 เท่า โดยการทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวและยับยั้งการขับออกของเกลือและน้ำที่ไตจึงมีผลกระตุ้นการผลิตและหลั่งฮอร์โมนอันโดสเตอโรนซึ่งไปยับยั้งการขับเกลือและน้ำ 2. กลไกการปรับความดันโลหิตที่ต้องใช้เวลานาน หมายถึง กลไกที่ใช้เวลานานในการปรับระดับความดันโลหิต
ซึ่งเกิดขึ้นช้ากว่ากลไกของระบบประสาท ได้แก่ การควบคุมปริมาตรของเลือดโดยกลไกทางหลอดเลือดฝอยและกลไกทางไต 3. ส่งผลให้เกิดผลเสียต่อไต
คุณอาจคาดไม่ถึงว่าเกลือในปริมาณที่มากเกินความต้องการจะมีผลร้ายแรงต่อร่างกายขนาดไหน Dr.Marlelo Agama นักฟิสิกซ์ชาวฟิลิปปินส์ กล่าวว่า “ไตเป็นอวัยวะที่ช่วยในการปรับระดับโซเดียมในร่างกายคนเรา เมื่อปริมาณโซเดียมสูงเกินไป ไตจะขับถ่ายออกมา ในทางกลับกันถ้าร่างกายต้องการโซเดียม ไตจะทำงานโดยดูดสสารนั้นกลับสู่เลือด แต่เมื่อใดที่ไตทำงานผิดปกติไม่สามารถขับโซเดียมได้ในปริมาณที่เหมาะสม จนร่างกายมีปริมาณโซเดียมสะสมสูง น้ำในร่างกายก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น นั่นหมายถึงว่าระดับเลือดก็จะสูงขึ้นด้วย เมื่อปริมาณเลือดสูงขึ้น เลือดต้องวิ่งผ่านไปยังเส้นเลือดมากขึ้น เป็นผลให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งหัวใจก็ต้องสูบฉีดหนักขึ้น เพราะปริมาณเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้หัวใจต้องเต้นเร็วขึ้น" ความดันโลหิต (Blood Pressure) หมายถึง แรงที่กระทำโดยเลือดบนหน่วยพื้นที่บนผนังเลือด โดยความหมายทั่วไป ความดันโลหิตจะหมายถึง ความดันของเลือดแดง (arterial blood
pressure) ซึ่งวัดค่าออกมาเป็นหน่วยมิลลิเมตรของปรอท ความดันสูงสุดในหลอดเลือดแดงเกิดตรงกับหัวใจบีบตัว (systole) แล้วดันเลือดเข้าสู่เอออร์ตาเรียกว่า systoric blood pressure ส่วนความดันต่ำสุดในขณะหัวใจคลายตัว (diastole) เรียกว่า diastolic blood pressure ผลต่างระหว่างความดันทั้งสอง เรียกว่า pulse pressure ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าของ Pulse Pressure ได้แก่ ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อการบีบตัว 1 ครั้ง (stroke volume) และความสามารถในการยืดขยายของผนัง หลอดเลือดแดง Mean arterial pressure (MAP) ความดันเลือดแดงเฉลี่ย เป็นค่าของความดันโลหิตระหว่างความดันโลหิตซิสโตลิกและความดันโลหิตไดแอสโตลิก เนื่องจากในรอบ การทำงานของหัวใจช่วงล่างบีบตัวจะใช้เวลาสั้นกว่าช่วงเวลาคลายตัว ดังนั้นในการพิจารณาค่าของความดันเลือดแดงเฉลี่ย จึงไม่ใช่ค่ากึ่งกลางระหว่าความดันซิสโตลิก และความดัน แอสโตลิก แต่ค่าของความดันเลือดแดงเฉลี่ยจะอยู่ค่อนมาทางความดันไดแอสโตลิกเล็กน้อยมีค่าโดยประมาณจากสูตรดังนี้ (Thelan, Davie&Urden,1990) MAP = diastolic B.P.+ 1 pulse pressure |