Samsung a กับ s ต่างกันยังไง

Samsung a กับ s ต่างกันยังไง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในบรรดามือถือทุกแบรนด์นั้น Samsungถือว่าเป็นมือถือแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากมายทั่วโลกอีกแบรนด์หนึ่ง และมียอดขายทั่วโลกติดอันดับ 1 มาตลอดหลายปี ซึ่ง มือถือ Samsung นั้นค่อนข้างจะมีการออกสินค้ามาแยกย่อยหลายรุ่นหลายระดับ ยืดหยุ่นต่อการใช้งานด้านต่าง ๆ
และแต่ละตัวก็มีฟังก์ชั่นเด็ด ๆ ต่างกัน ทำให้หลายคนอาจจะเลือกไม่ถูก ไม่รู้จะซื้อรุ่นไหนดี รุ่นไหนจะเหมาะกับความต้องการที่เราใช้จริง ๆ วันนี้เราก็เลยรวบรวม มือถือ Samsung ที่จำหน่ายในช่วงปี 2022 มาให้ดูกัน จะมีรุ่นไหนน่าสนใจและราคาเท่าไรบ้าง ไปดูกันเลย

Samsung a กับ s ต่างกันยังไง

1. Samsung Galaxy S20

Samsung a กับ s ต่างกันยังไง

★★★★★

ยี่ห้อ/รุ่น Samsung Galaxy S20
ขนาดของซีพียู Octa-Core
Exynos 990
ขนาดของหน้าจอ ขนาด 6.2 นิ้ว 120Hz display
หน่วยความจำ RAM 8 GB LPDDR5/ROM 128 GB
ความจุของแบตเตอรี่ 4,000mAh Fast charge25w/Fast wireless charging 2.0
ความละเอียดกล้องหน้า 10 MP / Dual Pixel AF f 2.2 /Telephoto : 64MP, PDAF f/2.0, OIS
ความละเอียดกล้องหลัง 12 MPF/1.8 Super speed Daul Pixel

Samsung Galaxy S20 Series ถือว่าเป็นเรือธงที่หลายคนต้องการอย่างแท้จริงและคราวนี้ออกมาถึง 3 รูปแบบทั้งน้องเล็ก กลาง และใหญ่ ใน มือถือ Samsung Galaxy S20 ทุกรุ่นคือ หน่วยประมวลผล (Snapdragon 865 หรือ Exynos 990 แล้วแต่ประเทศที่วางขาย), ความละเอียดหน้าจอ 3200X1440, หน้าจอรีเฟรช 120Hz, ระบบปฏิบัติการ Android 10

เปรียบเทียบความแตกต่างส่วนความแตกต่างของกล้อง ต้องจับคู่แยกคือ S20/S20+ ใช้กล้องหลังชุด 3 ตัว ที่มีรายละเอียดแตกต่างกับ S20 Ultra พอสมควร นั่นคือกล้องหลักกับกล้องซูมต่างกัน

  • กล้องหลัก 12MP F1.8 มุมมอง 79 องศา (S20 Ultra ใช้ 108MP)
  • กล้องซูม 64MP F2.0 มุมมอง 76 องศา (S20 Ultra ใช้ 48MP F3.5)
  • กล้องมุมกว้าง 12MP F2.2 มุมมอง 120 องศา (ตัวเดียวกับ S20 Ultra)

S20/S20+ สเปกเรือธง ที่ขาดแค่กล้องซูม 10x เป็นมือถือสเปกเรือธงที่เหมือนกับ Galaxy S20 Ultra แทบทุกอย่าง ตั้งแต่หน่วยประมวลผลรุ่นท็อป, จอ 120Hz, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่, รอม One UI รุ่นใหม่ล่าสุด จุดต่างของ S20/S20+ กับรุ่น Ultra คือกล้อง ถึงแม้สเปกจะตามหลังอยู่หลายจุด แต่ในแง่การใช้งานจริงแล้ว สิ่งที่ขาดคือความสามารถในการซูม 3x vs 10x เท่านั้น เพราะพวกการถ่าย 108MP/8K ก็แทบไม่ได้ใช้กันบ่อยนัก

สิ่งที่ S20/S20+ เหนือกว่ารุ่น Ultra คือน้ำหนักที่เบากว่ากันมาก และการวางโมดูลกล้องที่ไม่ได้ “ปูด” จนโอเวอร์เหมือนกับ S20 Ultra ส่วนราคานั้นต่างกันเยอะพอสมควร ถ้าอ้างอิงราคาอย่างเป็นทางการของซัมซุงเอง

จุดเด่น
  • หน้าจอแสดงผล Infinity-O ทำให้หน้าจอใหญ่ขึ้นแต่ขนาดเครื่องยังจับถือสะดวก รวมถึงชนิด Dynamic AMOLED 2X ที่ให้ความสดใสของสีสันมากขึ้นกว่าเดิม
  • กล้องที่มีมาให้ถือว่าฟีเจอร์ครบทั้งภาพนิ่งและการถ่ายวิดีโอ ทั้งซูมสูงสุด 100 เท่า, วิดีโอ 8K และฟีเจอร์ Single Take
  • หน่วยประมวลผล Exynos 990 ถือว่าใช้งานได้เต็มที่
  • แบตเตอรี่ให้มามีความจุเพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน ทั้งยังมี Fast Charge ที่ชาร์จได้เร็วไม่ต้องรอนาน

ข้อสังเกต
หน้าจอ Refresh Rate 120Hz ใช้ได้ที่ความละเอียด FHD+
Galaxy S20 Ultra รองรับ 5G เพียงแค่รุ่นเดียวในตระกูลนี้ (อ้างอิงจากรุ่นที่ขายในไทย)

1. ดีไซน์และการออกแบบของตัวเครื่อง

ดีไซน์และการออกแบบถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเพราะจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลเพื่อให้เข้ากับลักษณะของมือถือเรามากที่สุด โดยเฉพาะขนาดของหน้าจอที่จะมีตั้งแต่ 4 นิ้วไปจนถึงขนาดที่ใหญ่กว่า 6 นิ้ว ซึ่งขนาดยิ่งเล็กก็จะยิ่งถนัดมือและพกพาไปได้ง่ายมากขึ้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยหน้าจอที่ค่อนข้างจะเล็กเกินไป หากหน้าจอขนาดประมาณ 5 นิ้วขึ้นไปจะเหมาะแก่การดูวิดีโอ, พิมพ์แชท หรือเล่นเกมได้สะดวกและเป็นขนาดที่พอดีสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ตำแหน่งการทำงานของปุ่มบนหน้าจอยังมีความแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น เช่น ปุ่มด้านล่างหน้าจอของแบรนด์ Samsung จะเป็นปุ่มแอพฯ ล่าสุดในด้านซ้าย, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับในด้านขวา ส่วนสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ อาจจะเป็นปุ่มย้อนกลับในด้านซ้าย, ปุ่ม Home และปุ่มแอพฯ ล่าสุดในด้านขวา เป็นต้น ดังนั้นเราจึงต้องลองสัมผัสเครื่องจริงเพื่อความคุ้นเคยของแต่ละแบรนด์

2. สเปกและฟีเจอร์การใช้งาน

ฟีเจอร์ในแต่ละแบรนด์ก็แตกต่างกันไป อย่างใน Galaxy Note จะมี S Pen เพิ่มเข้ามา รองรับการใช้งานด้านเอกสาร โน้ตต่าง ๆ หรือสมาร์ตโฟนที่รองรับการสแกนนิ้วบนหน้าจอ รวมถึงการชาร์ตเร็วและชาร์ตไร้สายก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งในปัจจุบัน ด้วยอุปกรณ์แก็ดเจ็ตรองรับการชาร์ตไร้สายเพิ่มมากขึ้น

3. รองรับสัญญาณ 4G LTE หรือไม่

ในปัจจุบันนี้สัญญาณอินเทอร์เน็ต 4G LTE ถือเป็นสัญญาณหลักที่สมาร์ทโฟนในปัจจุบันต้องรองรับเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความรวดเร็วในการเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญในการดูว่าสมาร์ทโฟนที่เราต้องการเลือกซื้อนั้นรองรับสัญญาณ 4G หรือไม่ คือการค้นหาสเปคบนอินเทอร์เน็ตหรือการสอบถามผู้ให้บริการนั้นๆ เพื่อความแน่ใจ

4. ความละเอียดและฟังก์ชั่นของกล้อง

สำหรับความละเอียดของกล้องส่วนใหญ่ที่เหมาะสมบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบันจะอยู่ตั้งแต่ 8 ล้านพิกเซลสำหรับด้านหลัง ส่วนด้านหน้าจะอยู่ที่ความละเอียดตั้งแต่ 5 ล้านพิกเซลขึ้นไป

นอกจากนี้ยังต้องดูฟังก์ชั่นและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เช่น ขนาดรู้รับแสง, ไฟแฟลช LED, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) หรือระบบป้องกันภาพสั่นไหว เป็นต้น รวมไปถึงหากสมาร์ทโฟนของคุณรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K แล้ว

สมาร์ทโฟนของคุณต้องมีหน่วยความจำภายในที่ค่อนข้างเยอะหรือมีการเพิ่ม SD Card เนื่องจากการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับนี้จะต้องใช้พื้นที่ในการบันทึกวิดีโอที่เยอะพอสมควร

5. ขนาดความจุแบตเตอรี่

ในการใช้งานสมาร์ทโฟนในปัจจุบันของแต่ละคนจะเน้นการทำงานไปที่การฟังเพลง, ดูวิดีโอ และการใช้สื่อออนไลน์ ดังนั้นความจุแบตเตอรี่ก็ควรจะมีเยอะตามไปด้วย โดยเราก็แนะนำให้แบตเตอรี่มีความจุใกล้เคียงหรือมากกว่า 3,000 mAH รวมไปถึงการรองรับเทคโนโลยีเพิ่มความเร็วในการชาร์จ (Quick Charge) เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการรอให้แบตเตอรี่เต็มนั่นเอง

6. ดูว่าเราจะใช้งานในด้านไหน

โดยปกติแล้วทุกคนคงมีการใช้งานในแต่ละวันที่ไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน เช่น บางคนชอบถ่ายรูป, ใช้ทำงานทั่วไป หรือเล่นเกม เป็นต้น ก็ควรเลือกสมาร์ทโฟนที่มีหน่วยความจำภายในเยอะพอสมควร รวมไปถึง CPU ที่มีความเร็วในการประมวลผลกราฟิกต่างๆ และความจุแบตเตอรี่มีความจุเยอะด้วยเช่นกัน แต่หากคนไหนที่ใช้งานแค่เล่นโซเชียลมีเดียทั่วไป อาจจะเลือกสมาร์ทโฟนในระดับกลางที่ราคาไม่สูงมากก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว

7. ดูว่าเราจะใช้งานในด้านไหน

หลังจากได้ระบบที่ต้องการ ได้ยี่ห้อหรือแนวหน้าตาที่ชอบแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนตอนนี้ต้องมานั่งเครียดดูเรื่องงบประมาณ
แต่เชื่อมั้ยว่า “เครื่องราคาถูกอาจจะไม่ถูกเสมอไปและเครื่องราคาแพงอาจจะไม่แพงเสมอไป”

นั่นหมายความว่า
ด้วยเครื่องสมัยนี้ มักจะมีหน้าตาคล้ายๆ กันตามซีรีย์ของตัวมันเองซ้ำ ๆ แต่จะมีหลากหลายขนาดหลากหลายรุ่นหลากหลายราคาให้เลือกแทน ตั้งแต่รุ่นถูกยันรุ่นแพง แต่มันอาจจะมีรุ่นแบบ “ถูกควรทิ้ง” คือใช้ไปหงุดหงิดไป บางครั้งถูกกว่าเครื่องอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ลดต้นทุนซะแทบใช้งานกันไม่ได้เลยทีเดียว เพิ่มงบขึ้นสักหน่อยได้ของดีกว่าเป็นเท่าตัว

8. เลือกที่โปรโมชั่น ร้านค้า และสิทธิพิเศษ

อยากแนะนำว่าอย่าพลาดกัน นั้นคือเรื่องสิทธิของตัวเอง โปรโมชั่นและของแถมต่างๆ มันคือมูลค่าที่หมายถึงความคุ้มค่าที่มาก มันอาจจะทำให้คุณได้เครื่องสมาร์ทโฟนในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ หรือได้สิทธิพิเศษที่คุ้มกับค่าเครื่องที่เสียไปได้

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ Smartphone นั้น มีหลากหลายค่ายได้เปิดตัวแข่งขันกันมากมาย ซึ่งมีจุดเด่นหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Camera Phone ที่มีจุดเด่นเรื่องกล้องถ่ายรูป หรือ การถ่ายภาพ Gaming Phone ที่มีจุดเด่นเรื่องความไหลลื่นในการเล่นเกม เพื่อตอบโจทย์คอเกมทั้งหลาย อีกทั้งช่องทางในการซื้อมือถือนั้นไม่ยากอีกต่อไป มีหลากหลายช่องทางสำหรับคนงบน้อย ไม่ว่าจะเป็น ซื้อมือถือพร้อมโปรโมชั่นรายเดือนกับเครือข่ายมือถือ หรือจะเป็นผ่อน 0% กับ บัตรเครดิต ที่ร่วมรายการ อีกทั้งยังมีร้านค้ามือถือชั้นนำจัดโปรโมชั่นลดราคาทุกๆเทศกาล เรียกได้ว่าสมัยนี้มือถือนั้น หาซื้อได้ไม่แพงอีกต่อไป แล้วเพื่อนๆล่ะ? เล็ง Smartphone จากแบรนด์ไหนกันอยู่ ยังไงก็ลอง เปรียบเทียบสเปค รวมถึงราคาและฟังก์ชั่นการใช้งานดูกันก่อน “จะซื้อทั้งที ต้องคุ้มทั้งคุณภาพและราคาด้วย”