วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร

วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร

ความหมายของคอมพิวเตอร์

นักวิชาการหลายท่านได้กำหนดหรือนิยามความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้หลายความหมาย แต่เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว ความหมายของคอมพิวเตอร์จะหมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งที่สามารถรับโปรแกรมและข้อมูล ประมวลผล สื่อสารเคลื่อนย้ายข้อมูลและแสดงผลลัพธ์ได้

อย่างไรก็ตามการให้นิยามความหมายของคอมพิวเตอร์นั้น ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องจดจำหรือกำหนดไว้อย่างตายตัว ขอให้ทราบว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะต้องมีส่วนประกอบพื้นฐาน 4 อย่างดังต่อไปนี้

– มีวงจรนำเข้า (input) และวงจรส่งออก (output)

– มีหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) ที่ใช้ในการคำนวณทางคณิตศาสตร์และการดำเนินการทางตรรกะ

– มีหน่วยความจำที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมและข้อมูล

– มีความสามารถในการประมวลผลชุดคำสั่ง

สิ่งใดก็ตามที่มีส่วนประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี้ครบถ้วน ก็ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในรูปลักษณ์ที่เราคุ้นเคยและจดจำว่านั่นคือคอมพิวเตอร์

ความสำคัญของคอมพิวเตอร์

ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารได้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์อุปกรณ์สื่อสารและคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาค้นคว้าและการทำธุรกิจ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทำให้องค์กรต่างๆ นำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาช่วยในการดำเนินงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกิจและให้บริการบนอินเตอร์เน็ต ตลอดจนการใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการทำงาน

ไม่เพียงแต่ในองค์กรต่างๆ เท่านั้นที่นำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน ผู้ใช้ตามบ้านโดยทั่วไป ก็ได้จัดหาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ส่วนตัวกันมากขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีราคาถูก แต่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งสามารถใช้งานได้ง่ายกว่าในอดีตมาก จนมีการประมาณการกันว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในทุกๆ ครัวเรือนเหมือนกับเครื่องรับโทรทัศน์

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว การเรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับเบื้องต้น จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในการทำงาน, การศึกษาหรือเพื่อความบันเทิง ให้มีประสิทธิภาพและความสะดวกเพิ่มมากขึ้น

คอมพิวเตอร์มีข้อดีอย่างไร ? มนุษย์เราจึงได้นำมาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องทราบคุณสมบัติพื้นฐานของคอมพิวเตอร์เสียก่อน ซึ่งมีอยู่ 5 ประการที่สำคัญดังนี้

1. ทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic machine)

คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการบันทึกข้อมูล ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ การจัดเก็บข้อมูลที่บันทึกผ่านทางแป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับให้เป็นรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้

2. การทำงานด้วยความเร็วสูง (speed)

เนื่องจากการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการดำเนินงานต่างๆ จึงสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว (มากกว่าพันล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที)

3. ความถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้ (accuracy and reliability)

คอมพิวเตอร์จะทำงานตามคำสั่งที่มนุษย์เขียนโปรแกรมหรือคำสั่งไว้ ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้

4. การเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก (storage)

คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่บันทึกเข้าไป ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้านตัวอักษร

5. การสื่อสารเชื่อมโยงข้อมูล (communication)

คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ และสามารถทำงานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าการใช้คอมพิวเตอร์แบบระบบเดี่ยว ตัวอย่างเช่น การนำคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อการสืบค้นข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น (remote computer)

จากคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์เราจะเห็นได้ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆ อย่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ หรือถ้ามนุษย์ทำได้ ก็จะใช้เวลามากและมีข้อผิดพลาดมากมาย เช่น การคำนวณตัวเลขหลายหลักเป็นจำนวนมากภายในเวลาจำกัด, การทำงานในแบบเดียวกันซ้ำๆ หลายล้านครั้ง หรือการจดจำข้อมูลตัวเลขและตัวหนังสือหลายหมื่นหน้าโดยไม่มีการลืม งานที่น่าเบื่อและยุ่งยากเหล่านี้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนได้ โดยเรามีหน้าที่เพียงเป็นผู้สั่งการเท่านั้น

เหตุผลที่นำคอมพิวเตอร์มาใช้งาน

1. สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้รวดเร็ว เช่น การใช้เครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar-code) อ่านเวลาเข้า-ออก ของพนักงาน และคิดราคาสินค้า ในห้างสรรพสินค้า
2. สามารถเก็บข้อมูลจำนวนมากๆ ไว้ในฐานข้อมูล (Database) เพื่อใช้งานได้ทันที
3. สามารถนำข้อมูลที่เก็บไว้มาคำนวณทางสถิติ แยกประเภท จัดกลุ่ม ทำรายงานลักษณะต่างๆ ได้ โดยระบบประมวลผลข้อมูล (Data Processing)
4. สามารถส่งข้อมูลจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูล (Data Communication)
5. สามารถจัดทำเอกสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบประมวลผลคำ (Word Processing) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation)
6. การนำมาใช้งานทั้งด้านการศึกษา การวิจัย
7. การใช้งานธุรกิจ งานการเงิน ธนาคาร และงานของภาครัฐต่างๆ เช่น การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานบัญชี งานบริหารสำนักงาน งานเอกสาร งานการเงิน การจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ
8. การควบคุมระบบอัตโนมัติต่างๆ เช่น ระบบจราจร, ระบบเปิด/ปิดน้ำของเขื่อน
9. การใช้เพื่องานวิเคราะห์ต่างๆ เช่น การวิเคราะห์สภาวะดินฟ้าอากาศ สภาพของดิน น้ำ เพื่อการเกษตร
10. การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจำลองรูปแบบ เช่น การจำลองในงานวิทยาศาสตร์ จำลองโมเลกุลจำลองรูปแบบ การฝึกขับเครื่องบิน
11. การใช้คอมพิวเตอร์นันทนาการ เช่นการเล่นเกม การดูหนัง ฟังเพลง
12. การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยอี่นๆ เทคโนโลยีสื่อสารข้อมูล เกิดเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

ประวัติคอมพิวเตอร์

ในระยะ 5,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนา มาใช้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด

ต่อมาประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการ คำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ซึ่งถือได้ว่า เป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยการคำนวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคงยังใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ลูกคิดของชาวจีนประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตามแนวตั้ง โดยแต่ละแถวแบ่งเป็นครึ่งบนและล่าง ครึ่งบนมีลูกปัด 2 ลูก ครึ่งล่างมีลูกปัด 5 ลูก แต่ละแถวแทนหลักของตัวเลข

พ.ศ. 2158 นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ใช้ ช่วยการคำนวณขึ้นมา เรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่ลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน เครื่องมือชนิดนี้ช่วยให้ สามารถ ทำการคูณและหาร ได้ง่ายเหมือนกับทำการบวก หรือลบโดยตรง

พ.ศ. 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Blaise Pascal ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 19 ปี ได้ออกแบบ เครื่องมือในการคำนวณโดย ใช้หลักการหมุนของฟันเฟืองหนึ่งอันถูกหมุนครบ 1 รอบ ฟันเฟืองอีกอันหนึ่งซึ่งอยู่ ทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วยในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เครื่องมือของปาสคาลนี้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชน เมื่อ พ.ศ. 2188 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากราคาแพง และเมื่อใช้งานจริงจะเกิดเหตุการณ์ที่ฟันเฟืองติดขัดบ่อยๆ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยถูกต้องตรงความเป็นจริง

เครื่องมือของปาสคาล สามารถใช้ได้ดีในการคำนวณการบวกและลบ ส่วนการคูณและหารยังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นในปี พ.ศ. 2216 นักปราชญาชาวเยอรมันชื่อ Gottfriend von Leibnitz ได้ปรับปรุงเครื่องคำนวณของ ปาสคาลให้สามารถทำการคูณและหารได้โดยตรง โดยที่การคูณใช้หลักการบวกกันหลายๆ ครั้ง และการหาร ก็คือการลบกันหลายๆ ครั้ง แต่เครื่องมือของ Leibnitz ยังคงอาศัยการหมุนวงล้อ ของเครื่องเองอัตโนมัติ นับว่า เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ดูยุ่งยากกลับเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

พ.ศ. 2344 นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าโดยใช้ บัตรเจาะรูในการบันทึกคำสั่ง ควบคุมเครื่องทอผ้าให้ทำตามแบบที่กำหนดไว้ และแบบดังกล่าวสามารถนำมา สร้างซ้ำๆ ได้อีกหลายครั้ง ความพยายามของ Jacquard สำเร็จลงใน พ.ศ. 2348 เครื่องทอผ้านี้ถือว่าเป็น เครื่องทำงานตามโปรแกรมคำสั่งเป็นเครื่องแรก

พ.ศ. 2373 Charles Babbage ถือกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2334 จบการศึกษาทางด้านคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และได้รับตำแหน่ง Lucasian Professor ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ Isaac Newton เคยได้รับมาก่อน ในขณะที่กำลังศึกษาอยู่นั้น Babbage ได้สร้างเครื่อง หาผลต่าง (Difference Engine) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้คำนวณ และพิมพ์ตารางทางคณิตศาสตร์อย่างอัตโนมัติ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2373 เขาได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อสร้างเครื่อง Difference Engine ขึ้นมาจริงๆ แต่ในขณะที่ Babbage ทำการสร้างเครื่อง Difference Engine อยู่นั้น ได้พัฒนาความคิดไปถึง เครื่องมือในการคำนวณที่มีความสามารถสูงกว่านี้ ซึ่งก็คือเครื่องที่เรียกว่าเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) และได้ยกเลิกโครงการสร้างเครื่อง Difference Engine ลงแล้วเริ่มต้นงานใหม่ คือ งานสร้างเครื่องวิเคราะห์ ในความคิดของเขา โดยที่เครื่องดังกล่าวประกอบไปด้วยชิ้นส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน คือ

ส่วนเก็บข้อมูล เป็นส่วนที่ใช้ในการเก็บข้อมูลนำเข้าและผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ

ส่วนประมวลผล เป็นส่วนที่ใช้ในการประมวลผลทางคณิตศาสตร์

ส่วนควบคุม เป็นส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างส่วนเก็บข้อมูล และส่วนประมวลผล

ส่วนรับข้อมูลเข้าและแสดงผลลัพธ์ เป็นส่วนที่ใช้รับทราบข้อมูลจากภายนอกเครื่องเข้าสู่ส่วนเก็บ และแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณให้ผู้ใช้ได้รับทราบ

เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่อง Analytical Engine มีลักษณะใกล้เคียงกับส่วนประกอบ ของระบบคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่เครื่อง Analytical Engine ของ Babbage นั้นไม่สามารถ สร้างให้สำเร็จขึ้นมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยี สมัยนั้นไม่สามารถสร้างส่วนประกอบต่างๆ ดังกล่าว และอีกประการหนึ่งก็คือ สมัยนั้นไม่มีความจำเป็น ต้องใช้เครื่องที่มีความสามารถสูงขนาดนั้น ดังนั้นรัฐบาล อังกฤษจึงหยุดให้ความสนับสนุนโครงการของ Babbage ในปี พ.ศ. 2385 ทำให้ไม่มีทุนที่จะทำการวิจัยต่อไป สืบเนื่องมาจากแนวความคิดของ Analytical Engineเช่นนี้จึงทำให้ Charles Babbage ได้รับการยกย่อง ให้เป็น บิดาของเครื่องคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2385 ชาวอังกฤษ ชื่อ Lady Auqusta Ada Byron ได้ทำการแปลเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่อง Analytical Engine จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ ในระหว่างการแปลทำให้ Lady Ada เข้าใจถึงหลักการทำงาน ของเครื่อง Analytical Engine และได้เขียนรายละเอียดขั้นตอนของคำสั่งให้เครื่องนี้ทำการคำนวณที่ยุ่งยาก ซับซ้อนไว้ในหนังสือทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์โปรแกรมแรกของโลก และจากจุดนี้จึงถือว่า Lady Ada เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก (มีภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมที่เก่าแก่ อยู่หนึ่งภาษาคือภาษา Ada มาจาก ชื่อของ Lady Ada)นอกจากนี้ Lady Ada ยังค้นพบอีกว่าชุดบัตรเจาะรู ที่บรรจุคำสั่งไว้สามารถนำกลับมาทำงานซ้ำได้ถ้าต้องการ นั่นคือหลักของการทำงานวนซ้ำ หรือเรียกว่า Loop เครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณที่ถูกพัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 19 นั้น ทำงานกับเลขฐานสิบ (Decimal Number) แต่เมื่อเริ่มต้นของศตวรรษที่ 20 ระบบคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาขึ้นจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ เลขฐานสอง (Binary Number) กับระบบคอมพิวเตอร์ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากหลักของพีชคณิต

พ.ศ. 2397 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ George Boole ได้ใช้หลักพีชคณิตเผยแพร่กฎของ Boolean Algebra ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายเหตุผลของตรรกวิทยาที่ตัวแปรมีค่าได้เพียง “จริง” หรือ “เท็จ” เท่านั้น (ใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ 0 กับ 1 ร่วมกับเครื่องหมายในเชิงตรรกะพื้นฐาน คือAND, OR และ NOT)

สิ่งที่ George Boole คิดค้นขึ้น นับว่ามีประโยชน์ต่อระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น การยากที่จะใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งมีเพียง 2 สภาวะ คือ เปิด กับ ปิด ในการแทน เลขฐานสิบซึ่งมีอยู่ถึง 10 ตัว คือ 0 ถึง 9 แต่เป็นการง่ายกว่าเราแทนด้วยเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 จึงถือว่าสิ่งนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของการ ออกแบบวงจรระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

พ.ศ. 2423 Dr. Herman Hollerith นักสถิติชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่องประมวลผลทางสถิติซึ่ง ใช้กับบัตรเจาะรู เครื่องนี้ได้รับการพัฒนา ให้ดียิ่งขึ้นและมาใช้งานสำรวจสำมะโนประชากร ของสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2433 และช่วยให้การสรุปผลสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง (โดยก่อนหน้านั้นต้องใช้เวลาถึง 7 ปีครึ่ง) เรียกบัตรเจาะรูนี้ว่า บัตรฮอลเลอริธ และชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกบัตรนี้ ก็คือ บัตร ไอบีเอ็ม หรือบัตร 80 คอลัมน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ฮอลเลอริชได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตจำหน่ายเครื่องจักรช่วยในการคำนวณ ชื่อ บริษัท คอมพิวติง เทบบูลาติง เรดคอสดิงหลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2467 ได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อบริษัทไอบีเอ็ม (International Business Machine : IBM)

พ.ศ. 2480 ศาสตราจารย์ Howard Aiken แห่งมหาลัยวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้พัฒนาเครื่องคำนวณ ตาม แนวคิด ของ Babbage ร่วมกับวิศวกรของบริษัท IBM สร้างเครื่องคำนวณตามความคิดของ Babbage ได้ สำเร็จ โดยเครื่องดังกล่าวทำงานแบบเครื่องจักรกลปนไฟฟ้า และใช้บัตรเจาะรูเป็นสื่อในการนำเข้าข้อมูลสู่ เครื่องเพื่อทำการประมวลผล การพัฒนาดังกล่าวมาเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2487 โดยเครื่องมือนี้มีชื่อว่า MARK 1 และเนื่องจากเครื่องนี้สำเร็จได้จากการสนับสนุน ด้านการเงินและบุคลากรจากบริษัท IBM ดังนั้นจึงมีอีกชื่อ หนึ่งว่า IBM Automatic Sequence Controlled Calculator และนับเป็นเครื่องคำนวณแบบอัตโนมัติเครื่องแรกของโลก

พ.ศ. 2486 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศูนย์วิจัยของกองทัพบกสหรัฐอเมริกามีความจำเป็นที่จะต้อง คิดค้นเครื่องช่วยคำนวณ เพื่อใช้คำนวณหาทิศทางและระยะทางในการส่งขีปนาวุธ ซึ่งถ้าใช้เครื่องคำนวณที่มี อยู่ในสมัยนั้นจะต้องใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงในการคำนวณ การยิง 1 ครั้ง ดังนั้นกองทัพจึงให้กองทุนอุดหนุนแก่ John W. Mauchly และ Persper Eckert จากหมาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ในการสร้างคอมพิวเตอร์ จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา โดยนำหลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) จำนวน 18,000 หลอด มาใช้ในการสร้าง ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เครื่องมีความเร็ว และมีความถูกต้องแม่นยำในการคำนวณมากขึ้น ในด้านของความเร็วนั้น เครื่องจักรกลมีความเฉื่อยของการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนประกอบ แต่คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ จะใช้อิเล็กตรอนเป็นตัวเคลื่อนที่ ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยกระแสไฟฟ้าได้ ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของแสง ส่วนความถูกต้องแม่นยำในการทำงานของเครื่องจักรกลอาศัยฟันเฟือง รอก คาน ในการทำงาน ทำให้ทำงานได้ช้า และเกิดความผิดพลาดได้ง่าย

พ.ศ. 2489 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ Mauchly และ Eckert คิดค้นขึ้นได้มีชื่อว่า ENIAC ย่อมาจาก (Electronic Numerical Integrator and Calculator) ประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2489 ถึงแม้ว่าจะไม่ทันใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ความเร็วในการคำนวณของ ENIAC ทำให้วงการคอมพิวเตอร์ขณะนั้น ยอมรับความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ และจัดได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปเครื่องแรกของโลก แต่อย่างไรก็ตาม ENIAC ทำงานด้วยไฟฟ้าทั้งหมดทำให้ในการทำงานแต่ละครั้งจึงทำให้เกิดความร้อนสูงมาก จำเป็นต้องติดตั้งไว้ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศด้วย นอกจากนี้ ENIAC ยังเก็บได้เฉพาะข้อมูลที่เป็นตัวเลขขนาด 10 หลัก และเก็บได้เพียง 20 จำนวน เท่านั้น ส่วนชุดคำสั่งนั้น ยังไม่สามารถเก็บไว้ในเครื่องได้ การส่งชุดคำสั่งเข้าเครื่องจะต้องใช้วิธีการเดินสายไฟสร้างวงจร ถ้ามีการแก้ไขโปรแกรม ก็ต้องมีการเดินสายไฟกันใหม่ ซึ่งใช้เวลาเป็นวัน

ความคิดต่อมาในการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ดีขึ้นก็คือ การค้นหาวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่อง เพื่อลดความยุ่งยาก ของขั้นตอนการป้อนคำสั่งเข้าเครื่อง มีนักคณิตศาสตร์เชื้อสายฮังกาเรียนชื่อ Dr.John Von Neumann ได้พบวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ ในหน่วยความจำของเครื่องเช่นเดียวกับการเก็บข้อมูลและต่อวงจรไฟฟ้า สำหรับการคำนวณ และการปฏิบัติการพื้นฐาน ไว้ให้เรียบร้อยภายในเครื่อง แล้วเรียกวงจรเหล่านี้ด้วยรหัสตัวเลขที่กำหนดไว้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นตามแนวความคิดนี้ได้แก่ EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) ซึ่งสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2492 และนำมาใช้งานจริงในปี พ.ศ. 2494 ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่องได้ และในเวลาใกล้เคียงกัน ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดส์ ประเทศอังกฤษ ได้มีการสร้างคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายกับเครื่อง EDVAC และให้ชื่อว่า EDSAC (Electronic Delay Storage Automatic Calculator)

ในปี พ.ศ. 2497 Mauchly และ Eckert ได้ร่วมกันสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อ ยูนิแวก (UNIVAC) ย่อมาจาก Universal Automatic Computer ซึ่งนับว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในท้องตลาด สามารถใช้เทปแม่เหล็กเป็นสื่อเก็บข้อมูลได้

สำหรับในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจในการทำงานค่อนข้างมาก จึงทำให้มีผู้คิดพัฒนาให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงมาจากเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความเร็วในการทำงานให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น มีข้อบกพร่องในการทำงานน้อย และที่สำคัญคือราคาต้องถูกด้วย

ยุคของคอมพิวเตอร์

สำหรับความเป็นมาของคอมพิวเตอร์นั้นมีผู้แบ่งยุคของคอมพิวเตอร์ตามวิวัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ออกเป็น 4 ยุคด้วยกัน ดังนี้

1. ยุคที่หนึ่ง (First Generation)

ยุคนี้เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1944 เป็นต้นมา หรือประมาณปี พ.ศ. 2494-2502 เทคโนโลยีที่ใช้สร้างคอมพิวเตอร์ในยุคนี้จะใช้หลอดสุญญากาศ และวงจรไฟฟ้า ซึ่งต้องใช้พลังความร้อนในขณะทำงานสูง ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้จึงมีขนาดใหญ่และต้องใช้เครื่องปรับอากาศมาช่วยในการระบายความร้อน นอกจากนี้ยังมีการใช้เทปกระดาษหรือบัตรเจาะรูในการรับส่งข้อมูล สำหรับปัญหาที่เกิดในยุคนี้จะเป็นปัญหาในด้านการบำรุงรักษา และการซ่อมแซมเครื่องเพื่อให้เครื่องสามารถทำงานได้ นอกจากนั้นการใช้คำสั่งในการสั่งงานก็ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะส่วนมากแล้วในการทำงานต้องสั่งงานโดยใช้ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งจะถือเป็นภาษาระดับต่ำ รหัสคำสั่งต่างๆ จะจดจำค่อนข้างยาก การใช้งานคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงานทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ส่วนงานทางด้านธุรกิจมีการเริ่มใช้ในยุคนี้เช่นกัน แต่มีการใช้ที่ค่อนข้างน้อย

2. ยุคที่สอง (Second Generation)

ยุคนี้เริ่มในปี ค.ศ. 1957 หรือประมาณปี พ.ศ. 2502-2507 ในยุคนี้ได้มีการริเริ่มนำเอาทรานซิสเตอร์ (Transistor) และไดโอด (Diodes) มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ ซึ่งมีขนาดเล็ก มีราคาถูกลงและทำงานได้เร็วขึ้น ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จึงเล็กตามลงไปด้วย ในการทำงานจะใช้วงแหวนแม่เหล็กสำหรับเก็บข้อมูล และใช้เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็กเป็นสื่อในการรับส่งข้อมูล นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มอุปกรณ์ในการรับข้อมูล และอุปกรณ์ในการแสดงผลลัพธ์อีกมากมาย มีการใช้เครื่องพิมพ์ จานแม่เหล็ก บัตรเจาะรู จอภาพ และแป้นพิมพ์เป็นเครื่องปลายทาง ในยุคนี้ได้เปลี่ยนจากการสั่งงานด้วยภาษาเครื่องเป็นการใช้สัญลักษณ์แทน จึงทำให้การสั่งงานง่ายขึ้น และมีภาษาระดับสูงบางภาษาเกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน

3. ยุคที่สาม (Third Generation)

เริ่มในปี ค.ศ. 1965 ในยุคนี้มีการนำเอาวงจรรวม (Integrated Circuit : IC) มาใช้แทนทรานซิสเตอร์ ทำให้คอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็กลงไปอีก ความเร็วก็สูงขึ้นและราคาก็ลดลงไปอีก มีการพัฒนาโปรแกรมกว้างขวางขึ้น และมีการใช้ภาษาระดับสูงมาช่วยในการเขียนโปรแกรม จึงมีหลายบริษัทเริ่มผลิตโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้ในการทำงาน

4. ยุคที่สี่ (Fourth Generation)

เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 มีการนำเอาแผงวงจรรวม (Very Large Scale Integration : VLSI) มาใช้ และมีการปรับปรุงอุปกรณ์อื่นๆ ให้มีความสามารถสูงขึ้น จึงทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนหน่วยความจำจากวงแหวนแม่เหล็กมาเป็นหน่วยความจำสารกึ่งตัวนำ มีการผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ขึ้นทำให้มีการสร้างคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (Minicomputer) และขนาดเล็ก (Microcomputer) ขึ้นมาขายเพื่อความเหมาะสมในการใช้งานในแต่ละประเภท ในยุคนี้มีประชาชนสนใจคอมพิวเตอร์มากขึ้น ทำให้มีการใช้อย่างแพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ นายแพทย์ นักธุรกิจ เป็นต้น

5. ยุคที่ห้า (Fifth Generation)

คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรู้ต่างๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (ArtificialIntelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง

บทบาทของคอมพิวเตอร์
               1. บทบาทคอมพิวเตอร์ต่องานด้านการศึกษา  ในสถานศึกษาต่าง ๆ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งาน
3  ลักษณะ  คือ
– ใช้สำหรับผู้เรียน  เพื่อค้นหาความรู้หรือข้อมูลที่สนใจจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น  การใช้คอมพิวเตอร์-
ช่วยสอน  และ  E-Learning
– ใช้สำหรับผู้สอน  เพื่อเป็นสื่อในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียน  เช่น  การนำคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับ โปรเจคเตอร์เพื่อนำเสนอข้อมูล
– ใช้สำหรับงานด้านการบริหาร  เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา  เช่น  การจัดเก็บข้อมูล เกี่ยวกับสถานศึกษาและผู้เรียน  การประมวลผลคะแนนของผู้เรียน
2. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านการสื่อสาร  ในปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ร่วมกัน
หลาย ๆเครื่องจนเกิดเป็นเครือข่าย  โดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ครอบคลุมทั่วโลกเรียกว่า
อินเตอร์เน็ต ทำให้คอมพิวเตอร์มีความสารถในการทำงานมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถทางด้าน
การติดต่อสื่อสารซึ่งไม่จำกัดเฉพาะข้อมูลที่เป็นข้อความเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่สามารถส่งข้อมูลในรูปแบบ ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายในรูปแบบของมัลติมีเดีย  เช่น  การดาวน์โหลดข้อมูลต่าง ๆ
3. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านการบริหารประเทศ  รัฐบาลมีนโยบายที่จะนำ เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหารประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นรัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์  เพื่ออำนวยความสะดวก  เพิ่มความโปร่งใส  และลดปัญหาการคอรัปชันของหน่วยงานทางราชการ
โดยสามารถแบ่งลักษณะของการทำงานเป็นการบริการประชาชน  การรับและเผยแพร่ข้อมูลระหว่างประชาชน กับรัฐบาล  และการติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐบาล  เช่น  การชำระภาษีกับ กรมสรรพากรผ่านทางเว็บไซต์

 
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน  ส่งเสริม  พัฒนา
และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
การอุตุนิยมวิทยา  และการสถิติ

4. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านสังคมศาสตร์  มีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเก็บข้อมูลและช่วย
ทำการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมศาสตร์ในด้านต่าง ๆ  ช่วยให้เราทราบข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่
ในสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้น  เช่น  การจัดทำสถิติในรูปแบบของกราฟประชากร
5. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านวิศวกรรม  มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ด้านวิศวกรรมในเกือบ
ทุกขั้นตอนของการทำงาน  เพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานที่ได้มาตราฐานระดับสากลและส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ของผู้สร้างสรรค์งานด้านวิศวกรรม
6. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านวิทยาศาสตร์  มีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับเครื่องมือทาง
วิทยาศาสตร์  เพื่อใช้เก็บข้อมูลและส่งเสริมการทำงานให้แม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น  เช่น  การใช้คอมพิวเตอร์
ช่วยในการตรวจสอบส่วนประกอบของธาตุ

 
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
เครื่อง  CHNS-O  Analyzer  เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่นำคอมพิวเตอร์ มาใช้ช่วยทดสอบและหาปริมาณธาตุ  5  ชนิด
ได้แก่  คาร์บอน  ไฮโดรเจน  ไนโตรเจน ซัลเฟอร์  และออกซิเจน

7. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านการแพทย์  การที่แพทย์มีเครื่องมือที่ทันสมัย  สามารถวางแผน
การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และช่วยลดความเสี่ยงในการรักษาผู้ป่วยแล้ว  บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงาน
ด้านการแพทย์ยังช่วยให้ข้อมูลและช่วยวินิจฉัยโรคเบื้องต้นผ่านทางเครือข่ายได้อีกด้วย
8. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านอุตสาหกรรม  มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานของ เครื่องจักร การคำนวณวัตถุดิบ  เวลาที่ใช้ในการผลิต  และผลผลิตที่ได้จากการผลิต  มีคุณภาพและมาตราฐาน ที่แน่นอนตรงต่อความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น  และยังช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานที่เสี่ยงต่ออันตราย อีกด้วย
9. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านธุรกิจ  จะเห็นได้ว่ามีการส่งเสริมบทบาทของคอมพิวเตอร์ใน
งานด้านธุรกิจในรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง  มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วย
วางแผน ด้านธุรกิจการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ  และช่วยนำเสนอสินค้าในรูปแบบของเว็บไซต์ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
10. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านธนาคาร  มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการด้านงาน สำนักงานของธนาคาร  การใช้คอมพิวเตอร์ในการเก็บข้อมูลลูกค้า  ประมวลผล  การฝากเงิน  การถอนเงิน
และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจำเป็นต้องมีการประมวลผลแบบทันที  เพื่อให้เกิดความถูกต้องและแม่นยำ
11. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านสำนักงาน เพื่อจัดทำเอกสารงานพิมพ์ งานนำเสนอข้อมูล
การเก็บข้อมูล  การคำนวณและการจัดการข้อมูลที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร  ซึ่งช่วยให้การจัดการ งานต่าง ๆในสำนักงานมีคุณภาพ  ประหยัดเวลา  และประหยัดทรัพยากร
12. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านความบันเทิง  แบ่งได้  2  ประเภท  ดังนี้
-เพลงและภาพยนตร์ ปัจจุบันผู้ใช้นิยมฟังเพลงและดูภาพยนตร์ผ่านทางคอมพิวเตอร์ เนื่องจากสะดวก
ประหยัด  ภาพและเสียงมีคุณภาพเทียบเท่ากับสื่ออื่น ๆ มีการให้บริการดาวน์โหลดเพลงและตัวอย่างภาพยนตร์ จากระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  และคอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน
– เกมคอมพิวเตอร์  มีการติดตั้งเกมไว้ในคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นคนเดียวและการเล่นผ่านเครือข่าย
คอมพิวเตอร์หรือเกมออนไลน์ซึ่งกำลังเป็นที่แพร่หลาย  เนื่องจากสามารถเล่นพร้อม ๆ กันได้หลายคน

 
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
การใช้คอมพิวเตอร์นำเสนอความรู้และความบันเทิงไปพร้อม ๆ กัน
เพื่อให้ผู้ใช้เกิดกระบวนการเรียนรู้พร้อมกับได้รับความสนุกสนาน
เรียกว่า  อีดูเทนเมนต์  (Edutainment)

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
1. ด้านการศึกษา
                – ช่วยนำเสนอข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ
– ช่วยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในแหล่งข้อมูลเดียวกัน
– ช่วยให้ผู้เรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
– ช่วยแลกเปลี่ยนและนำเสนอแนวความคิดของผู้เรียนและผู้อื่น
2. ด้านการสื่อสาร
                – ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร
– เป็นสื่อกลางในรับและส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
– ช่วยกระจายข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหนึ่งไปยังผู้ใช้ทุกคน
3. ด้านการบริหารประเทศ
                – เป็นช่องทางการรับรู้ข้อมูลจากประชาชน
– เป็นช่องทางการนำเสนอข้อมูลไปสู่ประชาชน
– ส่งเสริมการแสดงออกซึ่งประชาธิปไตย
– เพิ่มทัศนคติที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศด้านบวกให้แก่ประชาชน
4. ด้านสังคมศาสตร์
– ช่วยเก็บข้อมูลสถิติด้านสังคมศาสตร์
– ช่วยคำนวณแนวโน้มปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
– ช่วยนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของกราฟ  แผนภูมิ  หรือภาพ 3 มิติ  ทำให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูล
ต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
5. ด้านวิศวกรรม
– ช่วยออกแบบและคำนวณโครงสร้างบ้านและอาคาร
– สร้างโมเดลจำลองก่อนการสร้างโมเดลจริง
– ควบคุมการทำงานด้านก่อสร้างที่มีความละเอียดอ่อน
– ช่วยประมวลผลและประเมินสถานการณ์ที่อาจเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต
                6. ด้านวิทยาศาสตร์
– ช่วยเก็บและประมวลผลข้อมูลในงานวิจัยและการทดลองต่าง ๆ
– เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์นั้น
– ช่วยทำงานวิจัยหรืองานทดลองที่มีความละเอียดและมีขนาดที่เล็ก ๆ ได้
– สร้างแบบจำลองงานทดลองเพื่อลดความผิดพลาดจากการทดลองกับของจริง
  7. ด้านการแพทย์
– ลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและรักษาโรค
– เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ
– ช่วยลดเวลาในการักษาโรค
8. ด้านอุตสาหกรรม
– ช่วยควบคุมการผลิตชิ้นงานให้ได้ปริมาณและคุณภาพตามต้องการ
– ช่วยทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยหรืองานที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
– ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
– ช่วยคำนวณปริมาณวัตถุดิบ  สินค้า  และกำไร
9. ด้านธุรกิจ
– เป็นช่องทางในการนำเสนอสินค้า
– ช่วยตรวจสอบและสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ
– ขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ที่มีเงินทุนต่ำ
– ช่วยคำนวณตัวเลขทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ
– เพิ่มความสะดวกในการซื้อและขายสินค้าจากทั่วโลก
10. ด้านธนาคาร
– ลดขั้นตอนในการดำเนินงาน
– ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการธนาคาร  ทำให้สามารถจัดการด้านการเงินได้ทุกที่ตลอดเวลา
– ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ในส่วนกลาง  ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าได้จากทุกธนาคาร
11. ด้านสำนักงาน
                – ใช้สร้างงานนำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ
– ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เอกสาร
– ช่วยเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร

 
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
ไมโครซอฟต์  ออฟฟิศ  (Microsoft  Office)
คือ  ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดการงานในสำนักงานทั่วไป
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสำนักงานให้เป็น
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ  (Office  Automation)

12. ด้านความบันเทิง
                – ช่วยให้เกิดความสนุกสนานและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
– เพิ่มทักษะการใช้คอมพิวเตอร์
– ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
– ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมอง

 
วิทยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการดำเนินชีวิตอย่างไร
ปัจจุบันนิยมใช้ตัวอักษร  E  ในภาษาอังกฤษนำหน้างานหรือบริการรูปแบบต่าง ๆ
ซึ่งหมายถึง  การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์  (Electronic)  มาใช้ในการดำเนินการงานหรือบริการนั้น ๆ

แบบทดสอบ เรื่อง คอมพิวเตอร์ จำนวน 20 ข้อ

ข้อที่ 1) E-Learning คือบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใดมากที่สุด
ครู
นักเรียน
เจ้าหน้าที่ธุรการ
ทุกคนในโรงเรียน

ข้อที่ 2) คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อผู้สอนในด้านใดมากที่สุด
ช่วยเพิ่มทักษะให้แก่ผู้สอน
ช่วยในการตัดสินใจของผู้สอน
ช่วยถ่ายทอดความรู้จากผู้สอน
ช่วยแสดงความสามารถของผู้สอน

ข้อที่ 3) ข้อใดไม่ใช่บทบาทของคอมพิวเตอร์ต่องานด้านการศึกษา
นำเสนอเนื้อหาให้นักเรียน
จัดเก็บข้อมูลทางการศึกษา
นำเสนอเว็บไซต์ของโรงเรียน
ติดต่อสื่อสารกันระหว่างนักเรียน

ข้อที่ 4) ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
ลดการคอร์รัปชัน
เพิ่มความโปร่งใส
อำนวยความสะดวก
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี

ข้อที่ 5) ข้อใดกล่าวถึงบทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านการสื่อสารได้ถูกต้อง
เป็นการสื่อสารผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน
เป็นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์คิดค้นอุปกรณ์การสื่อสารรูปแบบใหม่
เป็นการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์การสื่อสารอื่น ๆ
เป็นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อำนวยความสะดวกให้องค์กรด้านการสื่อสาร

ข้อที่ 6) คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อการบริหารประเทศในด้านใดมากที่สุด
การประมูลออนไลน์ของกระทรวงพาณิชย์
การพิมพ์รายงานการประชุมของกระทรวงมหาดไทย
การสร้างโปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้ของกระทรวงศึกษาธิการ
การตรวจสอบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ข้อที่ 7) ข้อใดกล่าวถึงผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ถูกต้อง
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่เกิดผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลกระทบทางด้านลบเท่านั้น
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลกระทบทางด้านบวกเท่านั้น
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านบวกและด้านลบ

ข้อที่ 8) คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อสังคมศึกษาในด้านใดมากที่สุด
พัฒนาหุ่นยนต์เพื่อทำงานแทนมนุษย์
พัฒนาอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
คำนวณโครงสร้างของอาคารและที่อยู่อาศัยของคนในสังคม
เก็บข้อมูลและทำการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมศาสตร์

ข้อที่ 9) ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่ได้รับจากบทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านการแพทย์
ช่วยวินิจฉัยโรคเบื้องต้น
ลดความเสี่ยงในการรักษาผู้ป่วย
เพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการรักษา
ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้านการแพทย์

ข้อที่ 10) คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อวิทยาศาสตร์ในด้านใดมากที่สุด
การช่วยทำงานวิจัย
การเก็บและบันทึกข้อมูล
การสร้างงานเอกสารเพื่อเผยแพร่ข้อมูล
การประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือต่าง ๆ

ข้อที่ 11) ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้รับจากบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่มีต่องานด้านอุตสาหกรรม
ลดปัญหาการว่างงาน
สร้างความสามัคคีในสถานที่ทำงาน
ช่วยทำงานที่มีความเสี่ยงแทนมนุษย์
ส่งเสริมสวัสดิการสังคมให้แก่พนักงาน

ข้อที่ 12) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นบทบาทของคอมพิวเตอร์ในด้านใด
ด้านธุรกิจ
ด้านวิศวกรรม
ด้านอุตสาหกรรม
ด้านการบริหารประเทศ

ข้อที่ 13) บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านสำนักงานต้องเก็บข้อมูลอ้างอิงในทางกฎหมายเป็นระยะเวลาเท่าใด
5 ปี
10 ปี
15 ปี
20 ปี

ข้อที่ 14) ข้อใดคือลักษณะสำคัญของเกมออนไลน์
เล่นผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใช้ได้กับเครื่องเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น
มีการลงทะเบียนทุกครั้งเมื่อใช้งาน
ผ่านการตรวจสอบจากกระทรวงไอซีที

ข้อที่ 15)ข้อใดคือบทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านความบันเทิง
แชท มิวสิกวิดีโอ และเกม
แชท มิวสิกวิดีโอ และเกม
แชท เพลง และภาพยนตร์
เกม ภาพยนตร์ และมิวสิกวีดีโอ

ข้อที่ 16)ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดจากบทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านความบันเทิง
การดาวน์โหลดคลิปวิดีโอ
การสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน
การอัปโหลดข้อมูลเท็จของนักแสดง
การถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยเทคนิคพิเศษ

ข้อที่ 17)ข้อใดคือประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ในด้านการศึกษา
ช่วยกระจายข้อมูลไปยังผู้ใช้ทุกคน
ช่วยแลกเปลี่ยนแนวความคิดต่าง ๆ
ช่วยเก็บข้อมูลสถิติด้านสังคมศาสตร์
ช่วยคำนวณแนวโน้มปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อที่ 18)ข้อใดคือประโยชน์ที่สำคัญของธนาคารอิเล็กทรอนิกส์
ลดปริมาณการจ้างงาน
ช่วยวางแผนทางการเงิน
ลดขั้นตอนในการดำเนินงาน
เป็นช่องทางในการนำเสนอสินค้า

ข้อที่ 19)ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่ได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ด้านความบันเทิง
ส่งเสริมการมีมนุษยสัมพันธ์
ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมอง
ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ส่งเสริมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์

ข้อที่ 20)”กรวิทย์สามารถคุยกับน้องเอยได้ทุกที่ทั่วโลก” กรวิทย์ได้รับประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ด้านใด
การศึกษา
การสื่อสาร
ความบันเทิง
วิทยาศาสตร์

ที่มา

  • http://student.uru.ac.th/s51/51031390131/web2/file/tecm122555/www.seekan.ac.th/it_com/lesson_main.html
  • http://ku-scmicro36bkk.tripod.com/0.0.htm
  • http://www.sathukit.com/datacom1/a1.html
  • http://it.benchama.ac.th/ebook3/page/index.htm

วิทยาการคอมพิวเตอร์มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่างไร

วิทยาการคอมพิวเตอร์กับการดำเนินชีวิต เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีการคำนวณทาง คอมพิวเตอร์ และทฤษฎีการประมวลผลสารสนเทศ การศึกษานี้จะนำไปสู่การคิดค้น ทฤษฎ๊ และนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของการใช้เทคโนโลยีของคนในสังคม

คอมพิวเตอร์มีผลอย่างไรต่อการดำเนินชีวิต

คอมพิวเตอร์สามารถช่วยให้มนุษย์ทำงานต่างๆ ได้อย่างสะดวยสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะในสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า โรงพยาบาล เครื่องบิน รถยนต์ ฯลฯ คอมพิวเตอร์ช่วยจัดลำดับงาน ช่วยพิมพ์ช่วยควบคุมการขึ้นและลงของเครื่องบิน ช่วยควบคุมเครื่องมือต่างๆให้ทำงาน

เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างไร

บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ.
เทคโนโลยี ทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา.
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก.

ถ้าหากไม่มีวิทยาการคอมพิวเตอร์ในสังคมไทยจะเป็นอย่างไร

ทำให้ขาดความทันสมัย ขาดข้อมูลใหม่ๆ ไม่มีความเจริญก้าวหน้า ถ้าเราต้องการหาข้อมูลอะไรแล้วไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เราก็คงต้องไปหาที่ห้องสมุดทำให้เราหางานได้ช้าลงแต่ถ้ามีเทคโนโลยีในการช่วยหาจะทำให้เราหาได้ง่ายขึ้นสะดวกสบาย