จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี Show ศาสนาพราหมณ์ (อังกฤษ: Brahmanism) หรือ ศาสนาพระเวท (อังกฤษ: Vedic religion; สันสกฤต: वैदिकधर्म) เป็นศาสนาของชาวอินเดียโบราณซึ่งใช้กลุ่มภาษาอินโด-อารยัน ราว 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช[1][2][3] โดยยึดคัมภีร์พระเวทเป็นหลักความเชื่อและแนวปฏิบัติ[4] และมีพัฒนาการจนเป็นศาสนาฮินดูในเวลาต่อมา[5][1] จึงถือว่าศาสนาพระเวทเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฮินดู[6] โดยมีสำนักพราหมณ์ต่าง ๆ เป็นผู้สืบทอดพระเวทมาจนปัจจุบัน[7] แม้พระเวทจะมีหลักคำสอนที่ลึกซึ้งมีแบบแผน แต่ไม่แน่ชัดว่าหลักคำสอนนั้นส่งผลในทางปฏิบัติของชาวบ้านเพียงใด[7] มีหลักฐานชี้ว่าในศาสนาพระเวทมีสองสายที่ขัดแย้งกัน สายหนึ่งเน้นพิธีกรรมที่มีรูปแบบหยุมหยิม ค่าใช้จ่ายมาก ขั้นตอนซับซ้อน แต่อีกสายกลับตั้งคำถามกับเรื่องเหล่านี้ แล้วเน้นความหมายของพิธีกรรมต่อคุณค่าภายในใจและความจริงสากลมากกว่า ทั้งสองสายมีอิทธิพลต่อศาสนาแบบอินเดียทั้งศาสนาเชน ศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดูโดยเฉพาะ[8][9] นักวิชาการบางคนมองว่าศาสนาพระเวทป็นการผสมผสานความเชื่อของชาวอินโด-อารยันในเอเชียกลางกับชาวฮารัปปาในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ[10] อ้างอิง[แก้]เชิงอรรถ
พราหมณ์หลวงขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ศาสนาฮินดูในประเทศไทย เป็นศาสนาชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย พ.ศ. 2558 มีศาสนิกชนราวร้อยละ 0.03 จากประชากรทั้งหมดในประเทศ[1] กระนั้นศาสนาฮินดูยังคงมีบทบาทเด่นและแฝงตัวอยู่ในสังคมไทยมาตลอด[2] แม้ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูอย่างสูง หากมีเทศกาลเนื่องในศาสนาฮินดู ก็จะมีพุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนเข้าร่วมในพิธี[3] ทั้งนี้ศาสนาฮินดูในไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดียใต้อย่างชัดเจน[4] ปัจจุบันยังสามารถพบอิทธิพลฮินดูได้ทั่วไป เช่น วรรณกรรม รามเกียรติ์ ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก รามายณะ ของฮินดู[5] และสัญลักษณ์ของประเทศคือครุฑ เป็นพาหนะของพระวิษณุ เทพเจ้าฮินดูองค์หนึ่ง[6] อย่างไรก็ตามพราหมณ์ไทยเองได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากศาสนาผีและศาสนาพุทธ เช่นข้อปฏิบัติของพราหมณ์ การบวงสรวง และการบูชาผี ทำให้มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง[2][7][8][9] ประวัติ[แก้]ยุคแรกเริ่ม[แก้]ในอดีตดินแดนของประเทศไทยในปัจจุบันได้รับอิทธิพลศาสนาฮินดูจากจักรวรรดิเขมรและอาณาจักรศรีวิชัยซึ่งเคยเรืองอำนาจมาก่อน[8] ประชากรในแถบประเทศไทยรู้จักศาสนาฮินดูมานานกว่า 1,000–2,000 ปี[10] เดิมเรียกว่าศาสนาไสย(ะ) ก่อนเปลี่ยนไปเรียกศาสนาพราหมณ์ในช่วงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา[2] ดังปรากฏการสร้างศาสนสถานอย่างปราสาทขอมแพร่หลายทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบางส่วนของภาคกลาง มีรูปเคารพเทพเจ้าต่าง ๆ เช่น พระวิษณุ พระศิวะ พระพรหม พระคเณศ และพระอินทร์ เป็นต้น[11] และปรากฏชุมชนฮินดูกระจายทั่วไปในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทย[10] ทั้งนี้ศาสนาฮินดูเข้าสู่ไทยหลายทาง โดยผ่านทางชาวเขมรจากอาณาจักรฟูนันช่วงพุทธศตวรรษที่ 6 และยังผ่านนักเดินเรือชาวอินเดียใต้เป็นหลัก ดังจะพบหลักฐานเทวรูปพระวาสุเทพ ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 9 ถือเป็นหลักฐานของศาสนาฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[12] ใน จารึกศาลสูง ภาษาเขมร หลักที่ 1 ระบุถึงการให้อิสระแก่ประชาชนชาวละโว้ในการนับถือศาสนาทั้งลัทธิไศวะ เถรวาท และมหายาน ส่วน จารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี กล่าวถึงการนับถือลัทธิไวษณพที่แพร่หลายจากเขมรสู่ละโว้[13] และ จารึกกัมรเตงอัญศรีชัยวรมัน ระบุถึงการนับถือพระวิษณุ (ในจารึกเรียก "ศรีบรมวาสุเทพ") เป็นเทพเจ้าประจำเมืองด้วย[14] แต่กระนั้นชาวละโว้ส่วนใหญ่ยังคงนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทตามอย่างทวารวดีอย่างเหนียวแน่น[13] ศาสนาฮินดูมีอิทธิพลเฉพาะชนชั้นสูง ขณะที่ชนชั้นล่างลงมานับถือศาสนาพุทธหรือผี[9][15] จารึกฐานพระอิศวรเมืองกำแพงเพชร เมื่อ พ.ศ. 2053 ระบุว่ามีความพยายามในการที่จะผสานความเชื่อระหว่างศาสนาพุทธ ศาสนาไสย และศาสนาพระเทพกรรม ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน[16] ทว่าในกาลต่อมา ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทกลายเป็นศาสนาที่ประชากรส่วนใหญ่ในแถบนี้หันไปนับถือ เพราะศาสนาพุทธนั้นเรียบง่าย ปรับตัวเข้ากับศาสนาผีและวัฒนธรรมไทยพื้นเมืองได้ จึงกลายเป็นที่นิยมและแพร่หลายในกลุ่มชนชั้นสูงและชาวบ้านทั่วไป[17] อย่างไรก็ตามศาสนาฮินดูยังคงกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มชนชั้นสูง เพราะมีประโยชน์ต่อนโยบายการปกครอง แม้พระมหากษัตริย์นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังคงพิธีกรรมฮินดูเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และการแสดงตนว่ามีอารยะ ด้วยเหตุนี้พราหมณ์ในสังคมไทยจึงมีบทบาทเชิงพิธีกรรมเท่านั้น[9][18] ศาสนสถานของพราหมณ์หลายแห่งจึงถูกเปลี่ยนเป็นพุทธสถานแทน[19][20][21] ในยุคอาณาจักรสุโขทัย มีการสร้างเทวสถานอุทิศแก่เทวรูป แต่ผู้คนเริ่มหันไปนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทตั้งแต่รัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นต้นมา[22] และในอาณาจักรอยุธยา มีการอ้างถึงพระราชพิธีอินทราภิเษกในกฎมนเทียรบาล และมีวรรณกรรมสำหรับพิธีกรรมสำคัญคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ[23] รวมทั้งคติเทวราชา ที่เชื่อว่ากษัตริย์สืบเชื้อสายจากเทพเจ้า ดังพบการเฉลิมพระปรมาภิไธยให้พ้องกับพระนามของพระเป็นเจ้า เช่น รามาธิบดี สุริเยนทราธิบดี นารายณ์ หรือราเมศวร เป็นต้น[9] ศาสนาฮินดูมีบทบาทเด่นขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โดยเฉพาะในยุคราชวงศ์ปราสาททอง พราหมณ์หลวงสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในราชสำนักได้อย่างโดดเด่นเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้ทรงให้ความสำคัญกับพระราชพิธีอินทราภิเษก การดูฤกษ์ยาม รวมทั้งมีพิธีพราหมณ์ปรากฏในพงศาวดารมาจนตลอดรัชกาล และรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็มีการประกอบพระราชพิธีพราหมณ์บูชาเทพเจ้าต่าง ๆ อย่างประณีตซับซ้อน[24] โดยไม่ได้กล่าวถึงคุณแห่งพระรัตนตรัยเลย[25] และในกวีนิพนธ์ คำฉันท์สรรเสริญพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปราสาททอง ก็ไม่ได้กล่าวถึงการอุปถัมภ์ศาสนาพุทธไว้เลย แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของศาสนาฮินดูเหนือศาสนาพุทธในราชสำนักช่วงนั้น[24] สุดท้ายช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทที่แฝงตัวอยู่ในสังคมเมือง ได้กลับมามีบทบาทเด่นอีกครั้ง เพราะการปฏิบัติตนในศาสนาพุทธเป็นการสั่งสมบารมีและแสดงสถานภาพทางสังคมของบุคคล[26] ส่วนดินแดนแถบปัตตานี ชาวฮินดูเริ่มหันไปนับถือศาสนาพุทธช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 แต่ยังคงธรรมเนียมฮินดูบางอย่างไว้ กระทั่งพุทธศตวรรษที่ 19 ก็หันไปนับถือศาสนาอิสลาม และเริ่มทำลายศาสนสถานเดิม[27] แต่ยังคงหลงเหลืออิทธิพลไว้บางประการเช่น กริชที่มีรูปเทพเจ้าฮินดู, พิธีตอเลาะบาลอ อันเป็นพิธีสวดขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากชุมชน, การแสดงวายัง, การทำบุหงาซีเระ[28] พิธีปูยอปาตา เป็นพิธีบูชาทะเล และพิธีปูยอบือแน เป็นพิธีบูชาทุ่งนาหรือนางโพสพ[29] รวมทั้งเรื่องเล่าปรัมปรา ที่ชาวบ้านเคยต้องส่งหญิงสาวไปบวงสรวงแก่พญาครุฑแถบเพิงผาเขายาลอ[30] ยุคหลัง[แก้]หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ร่องรอยและเอกสารของศาสนาฮินดูในไทยถูกทำลายลงไปมาก[23][31] ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่เคยประทับอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ทรงพบชุมชนพราหมณ์ที่นั่น และมีพระราชดำริว่าพราหมณ์ที่กรุงเก่านั้นถูกพม่ากวาดต้อนสูญหายไปหมดสิ้นแล้ว จึงเชิญพราหมณ์เมืองนครกลับไปสร้างกรุงธนบุรีด้วยกัน[8] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะฟื้นฟูพระราชพิธีตลอดจนขนบธรรมเนียมตามโบราณราชประเพณีขึ้น ศาสนาฮินดูได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง[23] ทรงสร้างเทวสถานสำหรับพระนครและเสาชิงช้าเมื่อ พ.ศ. 2327[32] (ส่วนเอกสารของนอร์มัน บาร์ตเลต์ระบุว่าโบสถ์พราหมณ์สร้างใน พ.ศ. 2323 ตรงกับยุคธนบุรี)[33] ทำให้มีพราหมณ์ปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนักสืบมาจนถึงปัจจุบัน โดยในยุครัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ความเชื่อในระบบจักรวาลวิทยาของฮินดูส่งผลต่อการรังสรรค์จิตรกรรม ศิลปกรรม และวรรณคดีของไทย[23] เทพเจ้าฮินดูต่าง ๆ แปรสภาพเป็นผู้พิทักษ์พุทธศาสนา ดังจะพบภาพเทพฮินดูที่บานประตูหน้าต่างของพุทธศาสนสถาน ทำหน้าที่เป็นทวารบาล[34] ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา พระราชพิธีพราหมณ์ที่ยังเหลืออยู่ถูกแทรกด้วยพิธีสงฆ์และการทำบุญของศาสนาพุทธตามพระราชนิยมอย่างชัดเจน กระนั้นพระราชพิธีพราหมณ์เองก็ถูกจำกัดแต่ในราชสำนัก[35] และพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพราหมณ์บางพิธีถูกยกเลิกไปในยุครัตนโกสินทร์นี้[36][37][38] แต่ยังคงความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นอวตารของพระนารายณ์ (คือพระวิษณุ)[39] เดิมคติพราหมณ์ไทย พระวิษณุไม่มีพุทธาวตารอย่างในอินเดีย หากแต่มีสมณาวตาร และนับถือพระพุทธเจ้าไว้สูงสุด แต่หลังการอพยพของชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูสู่ไทยช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ก็ได้นำคติพุทธาวตารเข้ามาด้วย โดยให้พระพุทธเจ้ามีสถานะเท่ากับเทพฮินดู ซึ่งผิดแผกไปจากระบบจักรวาลวิทยาของไทยที่มองว่าพระพุทธเจ้าอยู่เหนือเทพเจ้าองค์ใด ๆ[40] ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชนิพนธ์ ลิลิตนารายณ์สิบปาง มีการระบุ "พุทธาวตาร" เป็นครั้งแรก แต่พระองค์มิได้ระบุรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับอวตารนี้เลย หากแต่ทรงกล่าวยกย่องพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า[41][42] นอกจากนี้พระองค์ยังลดบทบาทของเทพสตรีทั้งหลายลง รวมทั้งมีพระราชนิยมให้พระพิฆเนศวรเป็นเทพแห่งศิลปวิทยา ซึ่งแท้จริงแล้วบทบาทเป็นของพระสุรัสวดี ซึ่งเป็นเทวนารี มีเพียงพราหมณ์ที่สักการะบูชาเทพสตรีต่าง ๆ ในฐานะชายาของพระเป็นเจ้า หากแต่ไม่มีพิธีกรรมหรือเทศกาลพิเศษอย่างบุรุษเทพ[43] หลังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งมีการยกเลิกกรมพิธีพราหมณ์ สังกัดกระทรวงวัง ทำให้พระราชพิธีหยุดชะงัก และบางพระราชพิธีถูกยกเลิกไป ไม่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีก[36][44] พราหมณ์ในกรุงเทพมหานครจำนวนมากกลับคืนภูมิลำเนา เทวสถานประจำพระนครจึงถูกทิ้งไว้ให้ทรุดโทรม เทวรูปบางส่วนสูญหายไปในช่วงอุทกภัยใน พ.ศ. 2485 จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีพราหมณ์ขึ้นมาใหม่ช่วง พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น[45] ปัจจุบันศาสนาฮินดูยังมีบทบาทในพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ความสวัสดิมงคล และเทศกาลต่าง ๆ อยู่[46][47] เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมพวาย-ตรีปวาย สงกรานต์ และลอยกระทง[10][48] ชาวไทยทั่วไปรับรู้ศาสนาฮินดูผ่านวรรณกรรมและแนวคิดอย่างศาสนาพุทธ ทำให้ทราบถึงวิธีการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามประเพณีฮินดูค่อนข้างน้อย[2] ความเชื่อ[แก้]
คติพราหมณ์ไทยนับถือว่าพระอิศวร (คือพระศิวะ) เป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด มักมีเทวโองการให้พระนารายณ์ (คือพระวิษณุ) ลงไปปราบเภทภัยอยู่บ่อยครั้ง[49] ในเทวสถานประจำพระนครมีการตั้งศิวลึงค์สององค์คู่กัน คาดว่ากระทำตามธรรมเนียมอินเดียตอนใต้[50] พราหมณ์ไทยนับถือพระอิศวรและพระนารายณ์เป็นหลัก คือพราหมณ์พิธีนับถือพระอิศวร และพราหมณ์พฤฒิบาศนับถือผีปะกำ (ภายหลังถูกเกณฑ์ไปนับถือพระนารายณ์) และมองว่าพระพรหมเป็นเทพในศาสนาพุทธ[51] ทั้งได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากศาสนาผีและพุทธ ซึ่งอย่างแรกเป็นศาสนาพื้นเมืองดั้งเดิม และอย่างหลังเป็นศาสนาที่ชนส่วนใหญ่นับถือ เช่นข้อปฏิบัติของพราหมณ์ การบวงสรวง และการบูชาผี ทำให้มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง[2][7][8] นอกจากนี้ใน โลกบัญญัติ, โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี และ ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ซึ่งคัมภีร์ศาสนาของไทย มีเรื่องราวของพระอิศวรได้รับการเทศนาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพระอิศวรยอมรับพระพุทธศาสนา และมีรูปพระพุทธเจ้าประดับอยู่บนพระเศียรของพระอิศวร[52][53] และปัจจุบันชุมชนพราหมณ์บางแห่งมีการสักการะรูปพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ของศาสนาพุทธ ด้วยสำคัญว่าเป็นเทวรูปพระอิศวร[54][55] ใน คัมภีร์นารายณ์ยี่สิบปาง ระบุว่า พระวิษณุไม่มีพุทธาวตาร หากแต่เป็นสมณาวตารผู้แย่งศิวลึงค์จากอสูรตรีบุรำ[56][57] (คือบุตรสามคนของตารกาสูร ใน ปุราณะ)[58] สอดคล้องกับระบบจักรวาลวิทยาของไทยเชื่อว่าพระพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธอยู่เหนือเทพเจ้าองค์ใด ๆ[40] ส่วน คัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ระบุว่า มเหศวรเทวราชเป็นวิญญาณของผู้ทำกุศลแล้วไปจุติเป็นเทวดา และอนาคตจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีสถานภาพต่ำกว่าพระศากยมุนี[57] และมีการจัดชั้นให้เทพเจ้าฮินดูมีฐานะเป็นผู้อารักขาพุทธสถาน[40] โดยอิงตามคัมภีร์ทางพุทธศาสนา[2] ในบางครั้งอาหารหรือเครื่องเซ่นสรวงในการสังเวยเทพเจ้าหรือแม้แต่วรรณกรรมฮินดูอย่าง รามเกียรติ์ ยังแฝงไปด้วยหลักธรรมในพุทธศาสนา[59][60] เทพเจ้าฮินดูในไทยจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากประเทศต้นทาง เช่น พระวิศวกรรมตามตำราอินเดียจะมีพระกายสีขาว มีสามพระเนตร ทรงชฎา สวมชุดสีทอง และถือคทา แต่ในคติไทย พระวิศวกรรมจะมีพระกายสีเขียว โพกผ้าขาว ถือหางนกยูง[61] ส่วนพระคเณศแบบไทย ก็จะทรงเครื่องอย่างไทย ร่างแบบบางพุงไม่พลุ้ย บ้างก็มีงาครบทั้งสองข้าง ต่างจากแบบอินเดียที่พุงพลุ้ยและมีงาข้างเดียว[62] นอกจากนี้ยังมีการสร้างเทพพื้นเมืองที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์ฮินดูอินเดียใด ๆ โดยหยิบยืมรูปลักษณ์ของเทพฮินดูมาใช้ เช่น พระวิษณุ ถูกสร้างเป็น พระนารายณ์เทวกรรม เป็นเทพแห่งช้าง มีหกกร ประทับนั่ง ถือบ่วงบาศนาคราช[63] และเทพอีกองค์หนึ่งคือพระคเณศ ถูกสร้างเป็นพระเทวกรรม เป็นเทพเกี่ยวกับช้าง และพระโกญจนาเนศวร์ เป็นเทพผู้ให้กำเนิดช้าง ซึ่งพัฒนาจากผีพื้นเมืองคือผีปะกำ[2][64][65] ทั้งยังสับสนด้านเทววิทยาที่ระบุว่าพระขันทกุมารเป็นเทพองค์เดียวกับพระคเณศ[66][67] กล่าวคือเป็นพระขันทกุมารเมื่อมีเศียรเป็นคน และเป็นพระคเณศเมื่อมีเศียรเป็นช้าง[62] ขณะที่พระมเหศวรีถูกนับว่าเป็นชายาอีกองค์ของพระนารายณ์[43] พราหมณ์ในไทยมีการใช้ขนมต้มขาว, ขนมหม้อแกง, ขนมคันหลาว และขนมหูช้าง ส่วนแถบปัตตานีในอดีตจะใช้ตือปงนอแน ในการเซ่นสรวงบูชาพระคเณศหรือพระภูมิแทนขนมโมทกะ[59][68][69] และนับถือพระคเณศเป็นเทพแห่งศิลปะและเทพแห่งช้าง แต่แท้จริงแล้วพระองค์เป็นเทพแห่งการเริ่มต้นใหม่และความสำเร็จ[70] พราหมณ์ในไทย มีการรวมความเชื่อระหว่างพระภูมิกับผีเจ้าที่รวมกัน โดยจัดให้พระภูมิเป็นเทพ หากดูแลศาลดีจะให้คุณ แต่ถ้าดูแลไม่ดีก็จะถูกลงโทษ โปรดเครื่องเซ่นเป็นอาหารคาวหวาน เนื้อสัตว์ และเหล้าอยู่ ต่างจากเทพฮินดูทั่วไปที่เกือบทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ[71] ส่วนหมู่ศาลเทพเจ้าฮินดูบริเวณแยกราชประสงค์ไม่ใช่เทวาลัยอย่างฮินดู แต่เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่แทนศาลเจ้าที่ของศาสนาผีโดยหยิบยืมรูปลักษณ์ของเทพฮินดูมาใช้ เพราะเป็นแหล่งธุรกิจใหญ่ ศาลจึงต้องมีขนาดที่ใหญ่เช่นกัน[72] และถือว่าเทพฮินดูสูงชั้นกว่าผีของศาสนาดั้งเดิม[73] ร่างทรงในไทยมักกล่าวอ้างว่ามีเทพเจ้าฮินดูเข้าทรงตนเอง แต่โดยมากมีความรู้เกี่ยวกับฮินดูกระท่อนกระแท่น ทราบเพียงชื่อเทพเจ้า แต่นอกนั้นแทบไม่มีอะไรเป็นฮินดูเลย บางรายตั้งสำนักของตนทำนองเทวาลัย หรือไปเรียนภาษาและพิธีกรรมอย่างฮินดูก็มี[74] บางคนที่พูดภาษาสันสกฤตไม่ได้ ก็จะสร้างภาษาของตนเองแล้วอนุมานว่าคือ "ภาษาเทพ" นอกนั้นก็มีการเต้นระบำรำฟ้อนของเหล่าร่างทรง[75] ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนเข้าถึงการบูชาเทพเจ้าฮินดูมากขึ้น โดยมากจะเชื่อถือด้านทรงเจ้าเข้าผี การเซ่นสรวงบูชา และไสยศาสตร์เร้นลับ จนยากที่จะควบคุม[3] พิธีกรรม[แก้]ภาพพระเป็นเจ้าคติพราหมณ์บนเครื่องประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ เดิมพิธีกรรมมีมาจากความเชื่อเรื่องผีและเจ้า ที่มีพื้นเพจากสังคมกสิกรรม เพราะธรรมชาติส่งผลจากการทำมาหากินของผู้คนในอดีต ดังนั้นจึงเกิดพิธีกรรมเซ่นสรวง ไหว้ หรือบูชาสิ่งเร้นลับ เมื่อรับศาสนาฮินดูเข้ามาในหมู่ชนชั้นปกครอง ประเพณีต่าง ๆ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ดูยิ่งใหญ่น่าเลื่อมใส โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ยกระดับเจ้านายให้สูงส่งกว่าคนชนชั้นล่างลงไป[76] หลังการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยา วัฒนธรรมและประเพณีพราหมณ์หลายอย่างสูญหายไป ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ จึงมีการฟื้นฟูธรรมเนียมพราหมณ์ขึ้นมาใหม่[36] ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียใต้ บางอย่างก็รับมาจากอินเดียเหนือ[77] ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการปรับปรุงประเพณีบางประการให้เหมาะสมกับกาลสมัย[36][44] แต่จากการละเลยของพราหมณ์ ทำให้พระราชพิธีแบบพราหมณ์เริ่มสาบสูญไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่า "... เมื่อพราหมณ์ประพฤติศาสนาของตัวเสื่อมคลายลง จนไปตรงกับคำนุ่งคำกู การพิธีซึ่งไม่มีประโยชน์ และไม่มีใครบังคับให้ทำจึงได้ละเลยเสีย [...] จะป่วยกล่าวไปไยในพิธีพราหมณ์ ซึ่งหลวมโพรกมาแต่เดิมแล้ว..." และ "...การพิธีที่เป็นส่วนของผู้ถือศาสนาทำเอง เมื่อความศรัทธาเสื่อมคลายลง ก็ทำให้ย่อ ๆ ลงไปจนเลยหายไปได้..."[78] สุดท้ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีการยกเลิกกรมพิธีพราหมณ์ สังกัดกระทรวงวัง ทำให้พระราชพิธีหยุดชะงัก และบางพระราชพิธีถูกยกเลิกไป ไม่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีก[36][44] ปัจจุบันพิธีกรรมของพราหมณ์ไทยส่วนใหญ่เป็นพระราชพิธีในราชสำนักเพื่อเสริมความศักดิ์สิทธิ์ในแผ่นดิน[9] พิธีกรรมบูชายัญถูกยกเลิกไปจนสิ้น คงเหลือแต่การสาธยายพระเวท พิธีมงคลต่าง ๆ ควบคู่ไปกับศาสนาพุทธ[44] พระราชพิธี[แก้]พระราชพิธี หมายถึง งานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดไว้ตามพระราชประเพณี ซึ่งจะเสด็จไปประกอบพิธี บางพระราชพิธีจะเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราชกรณียกิจจึงจะมีหมายกำหนดการ และมีผู้เข้าเฝ้า เว้นแต่เป็นการส่วนพระองค์หรือการภายใน[79] พระราชพิธีพัฒนามาจากพิธีกรรมการบูชาธรรมชาติและผี เมื่อรับศาสนาฮินดูและพุทธเข้ามาจึงพัฒนาพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ดูยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานของพระเจ้าแผ่นดิน[76] พระราชพิธีที่เป็นพิธีอย่างฮินดูใน พระราชพิธีสิบสองเดือน ส่วนใหญ่ถูกยกเลิกไปแล้ว งานที่ยังมีอยู่ก็ถูกรวมเข้ากับพระราชพิธีของศาสนาพุทธ ซึ่งมีดังนี้[36][44][80]
มีพระราชพิธีที่สำคัญที่ยังดำรงอยู่คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือพิธีสถาปนาพระมหากษัตริย์ว่ามีพระราชอำนาจเหนือแผ่นดินอย่างเป็นทางการ ตามความเชื่อของพุทธและฮินดู เช่น การสรงน้ำมุรธาภิเษก และการเปิดประตูศิวาลัยอัญเชิญพระอิศวรเพื่อประทานพร ถวายสังวาลพราหมณ์เพื่อแสดงพระองค์ว่าเป็นพราหมณ์ ถวายพระมหาพิชัยมงกุฎเพื่อเป็นการประกาศปกครองประเทศ โดยมีพราหมณ์หลวงเป็นผู้ประกอบพระราชพิธี[44][81] พระราชพิธีฉัตรมงคล หมายถึง พระราชพิธีฉลองพระเศวตฉัตรสิริราชกกุธภัณฑ์ พระแสงประจำรัชกาล ทำในวันซึ่งตรงกับวันบรมราชาภิเษกเสวยราชสมบัติตามราชประเพณี ในพระราชพิธี พราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุดเครื่องบูชาเทพยดาประจำนพปฏลมหาเศวตฉัตร โดยมีพราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนและเจิมนพปฏลมหาเศวตฉัตร[82][83] พระราชพิธีพระบรมศพหรือพระศพเจ้านาย มีการก่อสร้างพระเมรุมาศสำหรับประดิษฐานพระบรมโกศหรือพระโกศเจ้านาย ซึ่งเกี่ยวพันกับความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุของฮินดู และความเชื่อเรื่องพระมหากษัตริย์เป็นการแบ่งภาคของพระเป็นเจ้าลงมาบำรุงโลก เมื่อสวรรคตหรือสิ้นพระชนม์จะถือว่าขึ้นไปจุติเป็นเทวดาบนชั้นฟ้า[84] ในอดีตข้าราชบริพารและราษฎรต้องโกนศีรษะไว้อาลัย ซึ่งเป็นธรรมเนียมการปลงศพของชาวอินเดียฮินดู[85] นอกจากนี้ยังมีพิธีบวงสรวงพระบรมรูปของพระราชบุพการี ตั้งโต๊ะเครื่องบวงสรวงสังเวยตามคติพราหมณ์ โดยมีพระมหาราชครูพิธี ประธานพระครูพราหมณ์อ่านโองการบวงสรวงหน้าพระบรมรูป โดยมีโหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์[86] และพิธีในอดีตอีกอย่างคือ พิธีกลบบัตรสุมเพลิง เป็นพิธีที่ทำให้พื้นดินบริสุทธิ์ หากมีใครเลือดตกยางออกหรือตายในพระราชฐานชั้นในนับว่าเป็นเสนียดจัญไร ต้องแก้ไขด้วยการให้พราหมณ์พฤฒิบาศปลูกศาลเพียงตา ขุดดินบริเวณที่มีเลือดหรือคนตายกว้างสองศอก ยาวสองศอก และลึกศอกเศษ จากนั้นนำแกลบกลบลงในหลุมสูงหนึ่งศอกแล้วก่อไฟ หยิบเครื่องสังเวยใส่ในกองเพลิงแล้วอ่านโองการ เสร็จแล้วเกลี่ยดินกลบหลุม[87] ประเพณีราษฎร์[แก้]ศาสนิกชนจะประกอบพิธีกรรมในศาสนสถาน เพราะเชื่อว่าเทวสถานเป็นที่สิงสถิตของพระเป็นเจ้า มีการประกอบพิธีประจำวันเรียกว่า ยัชญะ เช่น การบูชาตามคำสอนพระเวทหรือการศึกษาพระเวท และการบูชาไฟด้วยการเผาสิ่งต่าง ๆ ลงไป เป็นต้นว่า เนย งาดำ กำยาน ผงไม้จันทน์ เพื่อบูชาเทวดา[44] หรือปรากฏพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การทำขวัญ การไหว้ครู และการบวงสรวงสังเวย จะมีการทำบายศรี หากเป็นการบวงสรวงสังเวยจะมีเครื่องมัจฉมังสาหาร คืออาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ปรุงสุก หรือกระยาบวช คืออาหารที่ไม่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ บางพิธีจะต้องมีพราหมณ์มาประกอบพิธีให้ โดยการอ่านชุมนุมเทวดาและคำประกาศบวงสรวง ส่วนการไหว้ครูจะมีการตั้งเครื่องบูชา เครื่องมือช่างหรือหัวโขน บายศรี และกระยาบวช ในพิธีจะมีบูชาและสรงน้ำเทวรูป อัญเชิญเทพเจ้าและครูผู้ล่วงลับมารับเครื่องสังเวย[88] โดยหัวโขนในการไหว้ครูจะมีการตั้งหัวโขนเทพฮินดูจำนวนมาก แต่ในโองการถวายเครื่องสังเวยจะกล่าวถึงพระปรคนธรรพ (คือรูปพ่อแก่) และพระพิราพ ส่วนบทไหว้ครูมีเพลงหน้าพาทย์สำหรับพระนารายณ์และพระอิศวรเท่านั้น[51] ธรรมเนียมเรื่องการไว้จุกของเด็กไทย หลังผ่านพิธีโกนผมไฟ จะเว้นผมบริเวณส่วนกระหม่อม เพราะถือเป็นส่วนกะโหลกที่บางที่สุด จะปล่อยให้ยาวแล้วขมวดมุ่นไว้กลางศีรษะเหมือนผมของเทพเจ้า เพราะคติพราหมณ์เชื่อว่าเด็กจะได้รับการคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า เมื่ออายุได้ 11-13 ปี จึงเข้าพิธีโกนจุก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามสู่วัยผู้ใหญ่ ในราชสำนักจะเรียกพระราชพิธีโสกันต์ (สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป) และพิธีเกศากันต์ (สำหรับพระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า) โดยจะมีพิธีพราหมณ์และพิธีสงฆ์พร้อมกันเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว คงเหลือแต่การโกนจุกของชาวบ้านที่เทวสถานสำหรับพระนคร[89] ในคติพราหมณ์ไทย พราหมณ์เป็นผู้ตั้งศาลพระภูมิ อิงจากแนวคิดที่พระอิศวรประทับอยู่ในวิมานบนเขาพระสุเมรุดุจมณฑลจักรวาล ซึ่งพระภูมิเป็นเทวดาเหมือนกัน จึงตั้งด้วยเสาเดียว ผิดกับศาลเจ้าที่ของศาสนาผีซึ่งมีสี่เสา[90] ในภาคใต้ มีพิธีกรรมบูชานางโพสพที่ตกทอดมาจากพระราชพิธีธานยเทาะห์ เรียกว่า ลาซัง หรือ ปูยอบือแน ในกลุ่มพุทธศาสนิกชนจะมีการนำฟางข้าวมาสร้างหุ่นเรียกว่า "โต๊ะชุมพุก" เป็นหุ่นชาย-หญิง โดยจะสร้างศาลเพียงตาขนาดเล็กบริเวณปลายนาสำหรับประกอบพิธี มีการอัญเชิญเทพแห่งข้าวมารับเครื่องเซ่นเพื่อขอพร และจัดงานแต่งให้หุ่นโต๊ะชุมพุก ก่อนจะตัดเชือกที่มัดหุ่นชุมพุกขึ้นฟ้าเป็นอันเสร็จพิธี บางแห่งจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงขนมจีน จัดเลี้ยงพระทั้งเช้าทั้งเพล และจัดแสดงการละเล่นต่าง ๆ ส่วนกลุ่มอิสลามิกชน จะกระทำในช่วงเช้า โดยจะนำอาหารคาวหวานไปไว้ที่ปลายนาเพื่อทำพิธี มีการเชิญโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม และโต๊ะปาเก ไปสวดดอออขอพรจากพระเป็นเจ้า จากนั้นจะบริจาคซะกาตแก่ผู้นำศาสนา และมีการจัดเลี้ยงอาหาร รวมทั้งจัดการละเล่นในช่วงบ่าย[91] การแบ่งกลุ่ม[แก้]พราหมณ์ไทย[แก้]พราหมณ์คือผู้มีหน้าที่และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ต้องมีชาติกำเนิดในวรรณะพราหมณ์ และต้องผ่านพิธีกรรมอุปนยสังสการและฝึกฝนวิชาความรู้เสียก่อนจึงจะเป็นพราหมณ์ได้ พราหมณ์สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ ต่างจากพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ ที่ต้องเว้นจากการครองเรือนตามแนวคิดพรตนิยม (asceticism)[92] ไทยในอดีตมีการแบ่งพราหมณ์ไว้สี่ตระกูล คือ พราหมณ์รามราช พราหมณ์พฤฒิบาศ พราหมณ์มหันต์ และพราหมณ์นาฬีวรรณ อพยพมาจากอินเดียมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรสุโขทัย ตั้งถิ่นฐานที่เมืองละโว้, เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช[93] ซึ่งพราหมณ์มีลักษณะที่ต่างไปจากพราหมณ์อินเดีย อย่างเช่น พราหมณ์พฤฒิบาศ มีต้นสายมาจากเมืองเขมร ซึ่งจะทำพิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง[94] ส่วนพราหมณ์นาฬีวรรณ หรือนาลิวัน จะทำพิธีกรรมโล้ชิงช้า รำเขนง หรือเป็นพราหมณ์สยายผมในกระบวนแห่พระบรมศพ[95] และพราหมณ์รามราช คือพราหมณ์ในแถบเมืองนครศรีธรรมราชและเพชรบุรี มีบรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองราเมศวรัม รัฐทมิฬนาฑู[96] ในหนังสือ เรื่องนางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เมื่อ พ.ศ. 2457 ระบุชาติภาษาต่าง ๆ โดยมีพราหมณ์กลุ่มต่าง ๆ ปรากฏในนั้นด้วย ได้แก่ พราหมณ์วัยธึก พราหมณ์เวรำมะเหศร พราหมณ์อะวะตาร พราหมณ์บรมเทสันตรี พราหมณ์พญารี พราหมณ์พฤฒิบาศ พราหมณ์พาราณสี และพราหมณ์อรรคีศะณเวศ[97] ในพระนิพนธ์ สาส์นสมเด็จ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกคำกราบทูลของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ความว่า "...พราหมณ์ (ในเมืองเรา) แต่ก่อนนี้มี ๓ ชั้น ชั้นสูงเรียก "ไวยทึก" เกล้ามวยบนกระหม่อม ชั้นกลางเรียก "เทสันกรี" เกล้าผมท้ายผมตก ชั้นต่ำเรียก "นาลิวัน" เปลือยผม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าตรัสติการเกล้าผมบนกระหม่อมว่าเหมือนเด็ก ๆ ดูน่าเกลียด ตรัสสั่งว่าเลิกเสียเถิด แต่นั้นมาก็เลิกเกล้าเมาลี คงเหลือแต่สองอย่าง..." และ "...สันนิษฐานว่า "ไวยทึก" เห็นจะเป็น "ไวทิก" คือผู้ทรงเวท เห็นจะเป็นพราหมณ์ครูมาแต่นอก "เทสันกรี" เห็นจะเป็น "เทศนฺตฺริก" คือพราหมณ์ในประเทศ ลูกพราหมณ์เกิดเมืองนี้ "นาลิวัน" ยังคิดไม่เห็นว่าคืออะไร"[98] และในพระนิพนธ์ นิราศนครวัด ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า ในกรุงเทพมหานครมีพราหมณ์อยู่สามจำพวกคือ พราหมณ์พิธีเมืองนคร พราหมณ์โหรดาจารย์เมืองพัทลุง และพราหมณ์พฤฒิบาศจากกรุงกัมพูชา ทรงกล่าวอีกว่าพราหมณ์พิธีเมืองนครมีบรรพบุรุษจากเมืองรามนคร พราหมณ์โหรดาจารย์เมืองพัทลุงมาจากเมืองพาราณสี แต่พระองค์ไม่ทราบที่มาของพราหมณ์พฤฒิบาศจึงตรัสถามพระครูพราหมณ์กรุงกัมพูชา ท่านตอบกลับมาว่า "มาแต่พนมไกลาส" พระองค์จึงไม่ทราบที่มาที่ไปของพราหมณ์พฤฒิบาศ[99] แม้พราหมณ์ไทยจะมีบรรพบุรุษมาจากอินเดีย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปพวกเขาก็มีรูปพรรณและวิถีชีวิตเช่นชาวไทยทั่ว ๆ ไป[100] ดังพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า "...เมื่อมาพิเคราะห์ดูพราหมณ์ทุกวันนี้ และสังเกตความนับถือของไทยเราทุกวันนี้ พราหมณ์เลวกว่าพระมากหลายเท่า [...] การซึ่งเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด เพราะเราเห็นว่าพราหมณ์นั้นไม่ผิดกับคน ๆ ธรรมดาเลย เวลาจะไปไหนหรืออยู่บ้านเรือน ไม่ได้เข้าวังหรือไปในการมงคล ก็นุ่งผ้าสีต่าง ๆ อย่างคนเราธรรมดา แปลกแต่ไว้ผมยาวเกล้ามวยที่ท้ายทอย การที่เป็นเช่นนี้เพราะความเรียวของพราหมณ์ ซึ่งมาอยู่ในประเทศอื่นไม่มีตระกูลพราหมณ์มาก ก็เสื่อมทรามลงไป ตระกูลก็เจือปนกับคนในพื้นเมือง ความประพฤติก็หันเหียนไปตามคนในพื้นเมือง..."[78] ปัจจุบันพราหมณ์ไทยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือพราหมณ์หลวงกับพราหมณ์พื้นเมือง แต่หลังการปฏิรูปการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2437 เป็นต้นมา อิทธิพลพราหมณ์ตามหัวเมืองเริ่มเสื่อมลง แต่เหล่าพราหมณ์เองรับศาสนาพุทธเข้ามา เพราะมองว่าสามารถปฏิบัติร่วมกันได้[54] ทั้ง ๆ ที่ทั้งศาสนาฮินดูและพุทธมีความเชื่อที่ต่างกันมาก คือฮินดูเป็นพหุเทวนิยม ขณะที่ศาสนาพุทธเป็นแบบอเทวนิยม[17] และพลวัตทางสังคมที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้บวชเป็นพราหมณ์น้อยลงตามลำดับ[54] บ้างก็ว่าพราหมณ์ใช้ชีวิตไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป ผิดกับพระสงฆ์ที่ได้รับความนิยมมากกว่า ดูเคร่งครัดน่าเลื่อมใสกว่า[78] พราหมณ์พื้นเมือง[แก้]เสาชิงช้าบริเวณวัดเพชรพลี ซึ่งเดิมเป็นชุมชนพราหมณ์แหล่งใหญ่ในเพชรบุรี พราหมณ์พื้นเมืองมีการสืบทอดทางสายเลือด และมีความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมไม่มากนัก ปัจจุบันเหลือพราหมณ์เพชรบุรี พราหมณ์สุราษฎร์ธานี พราหมณ์นครศรีธรรมราช พราหมณ์ตรัง และพราหมณ์พัทลุง ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่น้อยมากหรือบางแห่งอาจสูญไปแล้ว เช่นที่จังหวัดระยองและจันทบุรี[100] โดยพราหมณ์ที่ยังคงมีอยู่ เช่น พราหมณ์นครศรีธรรมราช มีประวัติความเป็นมายาวนาน สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจากอินเดียใต้ไม่ต่ำกว่าพุทธศตวรรษที่ 10 มีร่องรอยการนับถือลัทธิไศวะ และลัทธิไวษณพ พบศาสนสถานที่ยังหลงเหลืออยู่ในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชและสิชล ได้แก่ หอพระอิศวร, ฐานพระสยม, โบสถ์พราหมณ์ และโบราณสถานเขาคาของลัทธิไศวะ และหอพระนารายณ์ของลัทธิไวษณพ ซึ่งเกือบทั้งหมดล้วนได้รับการบูรณะใหม่ในชั้นหลัง[101] แต่ก็พบว่าศาสนสถานหลายแห่งถูกแปรเป็นวัดพุทธ[102] พราหมณ์เพชรบุรีถือเป็นชุมชนพราหมณ์เก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน[103] โดยมีบรรพบุรุษอพยพขึ้นไปจากนครศรีธรรมราช[9] มีอัตลักษณ์คล้ายกับพราหมณ์ในกรุงเทพฯ และนครศรีธรรมราชคือไว้ผมมุ่นตรงท้ายทอย นุ่งผ้าขาว นับถือพระอิศวรเป็นหลัก รวมทั้งมีเสาชิงช้าประกอบพิธี[100] กรมหลวงอภัยนุชิต และกรมหลวงพิพิธมนตรี (ภายหลังเป็นกรมพระเทพามาตุ) พระมเหสีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็มีพระราชชนนีเป็นหญิงเชื้อพราหมณ์บ้านสมอปรือ เมืองเพชรบุรี[104] ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช พราหมณ์ที่นี่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างดี พูดจาพาทีไพเราะ นิยมรับประทานเนื้อปู ปลา และหอย[105] แม้จะเป็นชุมชนพราหมณ์ขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันเหลือสกุลทียังบวชพราหมณ์เพียงสกุลเดียวคือภวังคนันท์[100] พราหมณ์พัทลุง บรรพบุรุษอพยพมาจากอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11[106] ปัจจุบันมีพราหมณ์ราว 3-4 คน มีขนบธรรมเนียมต่างจากพราหมณ์แหล่งอื่นในประเทศไทย พวกเขายังประกอบพิธีกรรมปีใหม่พราหมณ์ (หนึ่งค่ำเดือนสี่) มีธรรมเนียมการฝังศพพราหมณ์ด้วยการนั่งตายที่ป่าช้าแขกชี มีการโกนศีรษะและไว้ปอยผมขนาดน้อยที่ท้ายทอย และสวมหมวกสีขาวแทนการโพกศีรษะ สวมโจงกระเบน สวมเสื้อตัวยาว สวมสายยัชโญปวีต ห้อยประคำที่ทำจากเขาวัว และสวมแหวนโคนนทิ หากจะบวชเป็นพราหมณ์ต้องมีพระภิกษุเชื้อสายพราหมณ์มาประกอบพิธี และบวชในช่วงปีใหม่พราหมณ์เท่านั้น[100] โดยพราหมณ์พัทลุงจะไม่บริโภคเนื้อวัว และปลาไหล[54] ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเรียกปราชญ์ประจำชุมชนว่าหมอพราหมณ์ ซึ่งต้องเป็นผู้รักษาศีล เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและพิธีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับความสิริมงคล[107] เป็นกลุ่มคนพื้นเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากชนชั้นพราหมณ์ของศาสนาฮินดู ซึ่งต่างไปจากพราหมณ์ในภาคอื่น ๆ ชาวอีสานมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าฮินดูบ้าง เช่น พระอินทร์ พระพรหม และพระยม แต่มีอิทธิพลน้อยมากหากเทียบกับศาสนาพุทธหรือศาสนาผี[15] พราหมณ์หลวง[แก้]ส่วนพราหมณ์หลวงจะกระทำพิธีกรรมทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ โดยมากบรรพบุรุษมีเชื้อสายอินเดียภาคใต้[2][108] เรียกว่า พราหมณ์รามเหศร์[109] แต่การตัดขาดจากแผ่นดินแม่ ทำให้รับวัฒนธรรมไทยอย่างสูง และมีวัตรปฏิบัติต่างจากพราหมณ์อินเดีย[66] มีการสืบสายเลือด ถ่ายทอดองค์ความรู้กันในตระกูล และต้องผ่านการบวชที่เทวสถานสำหรับพระนครที่กรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียว และบวชปีละครั้งในช่วงตรียัมพวาย[8] ผู้จะเป็นพราหมณ์หลวงได้จะต้องได้รับการยอมรับจากหัวหน้าคณะพราหมณ์ราชสำนักจึงได้บวช เรียกว่า บวชสามสาย หากได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะเป็นพราหมณ์ราชสำนัก จะถูกส่งชื่อไปยังกองพระราชพิธี บรรจุเป็นพราหมณ์ราชสำนัก เมื่อพระครูพราหมณ์เห็นชอบ จึงได้บวชเรียกว่า บวชหกสาย จากนั้นจึงเสนอชื่อต่อกองพระราชพิธี และส่งต่อสำนักพระราชวัง เพื่อนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป[110] ปัจจุบันมีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน รังสิพราหมณกุล) เป็นประธานพระครูพราหมณ์[111] ศาสนิกชนจะเรียกว่า "หลวงพ่อ" หรือ "คุณพระ"[48] การบวชของพราหมณ์หลวงต่างจากอินเดีย เพราะทำอย่างการอุปสมบทของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ กล่าวคือผู้ที่จะขอบวชพราหมณ์ต้องเอาบริขารไปกราบขอบวชกับพระครูพราหมณ์ เปรียบพระอุปัชฌาย์ แล้วพระครูพราหมณ์จะมอบสายธุรำหรือธุหร่ำ (คือสายยัชโญปวีต) คล้องอย่างอังสะ[112] ศึกษาษัฎศาสตร์หรือเวทางคศาสตร์ 6 ประการ ได้แก่ ศึกษาศาสตร์, ฉันทศาสตร์, ไวยากรณศาสตร์, นิรุกติศาสตร์, โชยติษศาสตร์ และกัลปศาสตร์[48] พราหมณ์หลวงสามารถแต่งกายด้วยชุดสุภาพในยามปกติ[113] แต่เมื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พราหมณ์จะสวมเสื้อราชปะแตนและโจงกระเบนสีขาว หากมีพระราชพิธีหรือต้องเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระมหากษัตริย์ พราหมณ์จะสวมครุย และเมื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะเปลี่ยนเป็นเฉวียงบ่า อันเป็นธรรมเนียมการแสดงความเคารพของคนอินเดียโบราณ[114] พราหมณ์ต้องไว้ผมมวย ไม่ตัดหรือเล็มผมออก เพราะเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่อยู่ของเทวดา[113] หากทำก็จะถือว่าขาดจากการเป็นพราหมณ์ และจะต้องมัดผมไว้ตลอด ไม่ปล่อยผมในที่สาธารณะนอกเสียจากพระราชพิธีพระบรมศพหรือพระศพเท่านั้น[115] พราหมณ์หลวงยังคงธรรมเนียมกราบพระอย่างโบราณ ซึ่งตกทอดมาตั้งแต่กรุงเก่า เช่นการนุ่งห่มผ้า การใช้ผ้ากราบ และการนั่งกระหย่งไหว้[114] ใน พ.ศ. 2560 มีพราหมณ์หลวงจำนวน 16 คน[8][111] พราหมณ์หลวงจะเกษียณออกจากราชการเมื่ออายุ 60 ปี สามารถต่ออายุราชการได้ หรือขอลาออกจากราชการก็ได้ หากประกอบความดีความชอบก็จะได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และบรรดาศักดิ์ชั้นต่าง ๆ[48] นอกจากภาษาไทย พราหมณ์หลวงจะต้องศึกษาภาษาทมิฬและสันสกฤตสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตำรับตำราทางศาสนาปรากฏทั้งอักษรไทย และอักษรคฤนถ์ บ้างเรียกอักษรเฉียงพราหมณ์[31] โดยอักษรอย่างหลังนี้ ถูกใช้เขียนภาษาไทย ทมิฬ และสันสกฤตตั้งแต่สมัยอยุธยา ปัจจุบันหลงเหลือในรูปแบบของสมุดไทยดำ โดยมากถูกคัดลอกขึ้นใหม่ในชั้นหลัง[116] ในอดีตพราหมณ์มีหน้าที่ถวายพระอักษรแก่พระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งแต่งตำรา และวรรณคดี เช่น จินดามณี ซึ่งเป็นตำราเรียนภาษาไทยแบบแรกของไทย[31] พราหมณ์หลวงทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ หากแต่บูชาเทพเจ้าฮินดูไปด้วย[40] ถือศีลห้าของศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด[113] รวมทั้งต้องแสดงความเคารพพระสงฆ์อย่างสูง[7] ปฏิบัติบูชาตามลัทธิไศวะเป็นหลักเช่นเดียวกับพราหมณ์เพชรบุรีและนครศรีธรรมราช[100] ทั้งนี้พราหมณ์หลวงจะมีข้อห้ามในการรับประทานอาหารต่างจากพราหมณ์อินเดียซึ่งส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ แต่พราหมณ์ไทยสามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้[117] พราหมณ์หลวงมีอาหารเฉพาะกลุ่มเช่น ข้าวเวท คือข้าวที่หุงด้วยน้ำอ้อยและนม หรือหุงด้วยกะทิ[118] รับประทานเนื้อสัตว์อย่างปลา ไก่ หรือหมู และอาหารห้าธาตุ[119] แต่ห้ามกินปลาไหล วัว หนู และสัตว์ต้องห้ามตามพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา[7] ในช่วงพระราชพิธีตรียัมพวาย พราหมณ์จะต้องถือพรตรับประทานอาหารมังสวิรัติตลอดพิธีนาน 15 วัน[48] ชาวฮินดูจากเอเชียใต้[แก้]พราหมณ์เชื้อสายอินเดียขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีการปรากฏตัวของชาวอินเดียหรือที่เรียกรวม ๆ ว่าแขก มาตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาดังปรากฏในเอกสารของชาวต่างประเทศ ส่วนชาวอินเดียร่วมสมัยอพยพเข้าประเทศไทยช่วง พ.ศ. 2463 และช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19[120] ปรากฏในเอกสารช่วงรัตนโกสินทร์เรียกชนกลุ่มนี้ว่า พราหมณ์ฮินดู หรือ ฮินดู่[109] พราหมณ์แขกเหล่านี้อพยพมาจากรัฐอุตตรประเทศและทมิฬนาฑู[100] ไม่มีบทบาทหรือยุ่งเกี่ยวกับพระราชพิธีในราชสำนัก เพราะถูกมองว่าเป็นคนต่างด้าว และคงประพฤติตามธรรมเนียมของตนโดยไม่เปลี่ยนไปตามกระแสวัฒนธรรมไทย[121] มักทำพิธีแก่ชุมชนเชื้อสายอินเดียด้วยกัน และเป็นพราหมณ์ต่อกันไม่กี่รุ่น[100] มีศาสนสถานสำคัญคือวัดพระศรีมหาอุมาเทวี, วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช ย่านเสาชิงช้า, วัดวิษณุ สมาคมฮินดูธรรมสภา แถบยานนาวา,[122] วัดเทพมณเฑียร สมาคมไทย-ฮินดู เชียงใหม่, วัดอินเดีย มูลนิธิภูเก็ตตันดายูดาปานี[123] สมาคมตรีนาถ ไทย-เนปาล และมูลนิธิศรีภคะวัตธรรม สนาตน มันทีร์ (ไทย-เนปาล)[124][125] สามารถจำแนกประเภทของกลุ่มศาสนิกได้จากศาสนสถาน คือ วัดพระศรีอุมาเทวีจะเป็นศูนย์รวมของชาวฮินดูเชื้อสายทมิฬ[126][127][128] และเบงกอล, วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช เป็นศูนย์รวมของชาวสินธ์และปัญจาบ และวัดวิษณุ สมาคมฮินดูธรรมสภา เป็นศูนย์รวมของชาวอุตตรประเทศ[129] อย่างไรก็ตามทั้งพราหมณ์ไทยและพราหมณ์อินเดียจะแยกอยู่กันคนละพวก แต่เมื่อประชาคมฮินดูอินเดียเพิ่มจำนวนขึ้นจึงมีการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ กับพราหมณ์ไทยในนามองค์กรศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแห่งประเทศไทย โดยให้พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน รังสิพราหมณกุล) เป็นประธาน แต่พราหมณ์ทั้งสองกลุ่มจะปกครองศิษย์และศาสนิกชนของตนไม่ก้าวก่ายกัน[109] ประชากรศาสตร์[แก้]พ.ศ. 2542 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ระบุจำนวนผู้นับถือศาสนาฮินดูในไทยว่ามีไม่ถึง 4,000 คน[130] พ.ศ. 2548 มีผู้นับถือศาสนาฮินดูในไทยจำนวน 52,631 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.09 ของประชากรทั้งหมด[131] พ.ศ. 2553 มีผู้นับถือศาสนาฮินดูในไทยจำนวน 41,808 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของประชากรทั้งหมด[132] และ พ.ศ. 2558 มีผู้นับถือศาสนาฮินดูในไทยจำนวน 22,110 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.03 ของประชากรทั้งหมด[133] ส่วนสำนักวิจัยพิวประมาณการว่า พ.ศ. 2552 มีผู้นับถือศาสนาฮินดูในไทยราวร้อยละ 0.1 ถือเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดของไทย และคาดการณ์ไว้ว่า พ.ศ. 2593 จะมีผู้นับถือศาสนาฮินดูร้อยละ 0.2[134] ศาสนสถาน[แก้]ตามคติฮินดูจะมีการสร้างศาสนสถานสำหรับอุทิศแก่พระเป็นเจ้าเป็นจุดศูนย์กลาง มีวิหารล้อมรอบสี่ด้าน เปรียบเป็นศูนย์กลางจักรวาล ในอดีตส่วนใหญ่มักทำด้วยศิลา และโคปุระเป็นซุ้มประตูใหญ่อยู่ด้านล่างสุดสำหรับทำสมาธิ เมื่อเข้าสู่เทวสถานในชั้นถัดมาจะมีพระมหามนเทียรเป็นที่ประทับของกษัตริย์และเป็นที่พักของผู้แสวงบุญ และชั้นบนสุดเรียกว่ามหาปราสาท เป็นที่ประทับของพระเป็นเจ้า โดยมากจะประดิษฐานศิวลึงค์[135] ทั้งนี้สามารถจำแนกประเภทของศาสนสถานออกเป็นสองยุคใหญ่ ๆ คือ[136]
อิทธิพล[แก้]จิตรกรรมรูปเทวดาในเรื่อง รามเกียรติ์ บุหรงฆาเฆาะซูรอ (กากสุระ) ในพิธีแห่นกของปัตตานี วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูอยู่หลายประการ ทั้งด้านขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และวรรณกรรม แต่ธรรมเนียมหลายประการก็สาบสูญไปแล้ว[137] เช่น พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์, พระราชพิธีศิวาราตรี[138] และการโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมพวาย-ตรีปวาย[137][139] บางธรรมเนียมก็ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู เช่น ประเพณีเจี๊ยะฉ่าย หรือประเพณีถือศีลกินผักของจังหวัดภูเก็ต ในงานจะมีขบวนแห่ที่ประกอบไปด้วยม้าทรง มีการทรมานร่างกายตนเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น มีดกรีดลิ้น หรือนำวัสดุต่าง ๆ แทงบนใบหน้าหรือร่างกาย เพื่อให้ทราบว่าเทพเจ้าลงมาจุติแล้วจึงไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ[140] ลักษณะใกล้เคียงกับประเพณีไทปูซัม ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระขันทกุมารของชาวทมิฬ ซึ่งผู้เข้าร่วมพิธีจะแบกกาวาดีและเจาะตามร่างกายด้วยห่วงแหลมอย่างเดียวกัน[141] ส่วนดินแดนแถบปัตตานีก็ยังมีอิทธิพลฮินดูอยู่บ้าง คือ การทำบุหงาซีเระ และพิธีแห่นก เดิมใช้สำหรับต้อนรับอาคันตุกะของเจ้าผู้ครอง แต่ต่อมาถูกดัดแปลงไปใช้ในพิธีสำคัญ เช่น พิธีสุหนัต หรือประกวดแข่งขันความสวยงาม ถือเป็นธรรมเนียมฮินดูเพียงไม่กี่อย่างที่ยังหลงเหลืออยู่ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง[142][143] ก.ศ.ร. กุหลาบ เขียนไว้ในหนังสือ ต้นเหตุเสาชิงช้า ระบุว่า "พุทธ์กับไสยย่อมอาศรัยแก่กัน" และ "...จนทุกวันนี้ก็ยังมีขนบธรรมเนียมของไทยทำการมงคลอันใด ก็พอใจใช้พระสงฆ์แกมกับพราห์มณ์ปนกันอยู่หลายชนิด...บางทีไม่ใช้พราหมณ์ก็มีบ้าง แต่ยังคงสิ่งของเครื่องมงคลในมณฑลพิธีนั้น แต่ล้วนเปนสิ่งของตามแบบอย่างของพราหมณ์ทั้งสิ้น..."[144] ด้านประติมานวิทยา สังเกตจากตำราเทวรูปและเทวดานพเคราะห์ พบว่าไทยได้รับอิทธิพลศาสนาฮินดูตั้งแต่ยุคฟื้นฟูจักรวรรดิวิชัยนครในแถบอินเดียใต้เป็นต้นมา[137] ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการหล่อเทวรูป 39 องค์สำหรับใช้ในพระราชพิธี และยังมีการดัดแปลงเทวรูปตามธรรมเนียมไทยคือมีการสร้างเทวรูปที่มีพระพุทธรูปประทับอยู่บนพระเศียร[77] ส่วนวรรณกรรมก็ได้รับอิทธิพลจากอินเดียตอนใต้ เช่น รามเกียรติ์ และทศาวตารของพระวิษณุของไทยก็ตรงกับคติฮินดูของอินเดียใต้[137] โดยสรุปแล้วประเทศไทยมีการรับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูมานาน ต่อมาได้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อดั้งเดิม และศาสนาพุทธจนกลายเป็นเอกลักษณ์ในตนเอง[137] อ้างอิง[แก้]เชิงอรรถ[แก้]
บรรณานุกรม[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|