ความ คาด หวัง ของตนเอง มี อะไรบาง

ความ คาด หวัง ของตนเอง มี อะไรบาง

ดาโคต้า จอห์นสัน (Dakota Johnson) เป็นนางเอกที่สวยและมากด้วยความสามารถ แต่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ก็คือ.. ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพระเอกรุ่นใหญ่ แอนโตนิโอ แบนเดอราส (Antonio Bandares) กลายเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอ

ความ คาด หวัง ของตนเอง มี อะไรบาง

ประโยคของเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่เราเองก็รู้สึกแบบเธอเป๊ะๆๆๆ อยากมีใครที่ใช่ คุยกันรู้เรื่องและเล่าเรื่องของวันนี้ที่เจอให้เขาฟัง สำหรับผู้หญิงที่ต้องออกไปสู้โลกทุกวัน สู้คนเดียว ต้องเข้มแข็งให้ได้ อ่อนแอยังไงก็ต้องเก็บเอาไว้ ความรู้สึกอยากมีใครสักคน อาจไม่ใช่ว่าเขาต้องมาดูแล มาหาเงิน หาบ้านอะไรให้ แต่คือความรู้สึกที่ละทุกอย่างของวันออกไป แล้วเข้าไปซุกในแขนของเขาหันไปบอกกับเขาว่า “วันนี้แย่จัง เหนื่อยจัง” เขาอาจจะดึงเราเข้าไปกอดให้แน่นขึ้น เอามือลูบหัวเรา แล้วบอกเราว่า “ผมรู้ว่าคุณเหนื่อย แต่เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นนะ” ข้อดีของการมีคนรักที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คือเขาจะรู้ทุกโมเมนท์ของชีวิตเรา ว่าช่วงไหนเราเป็นยังไง เขาจะซัพพอร์ตจิตใจเราได้ทัน และคอยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งคู่คิด เป็นคนรักที่จูงมือเราไปสูดอากาศดีๆ แล้วเพียงไม่กี่นาที โลกทั้งโลกก็หายไป เรารู้สึกสบายใจและช่างผ่อนคลายเหลือเกิน เหมือนที่เจนนิเฟอร์ อนิสตันเคยบอกหลังจากเลิกกับจัสติน เธอโรซ์สามีของเธอเมื่อปี 2018 ว่า “ไม่มีใครที่เรดาร์ฉันกระดิกได้ แต่ฉันว่าถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่ฉันพร้อมจะแชร์ชีวิตของฉันกับใครอีกคนแล้ว” เจนนิเฟอร์บอกว่า “ในความสัมพันธ์ เรื่องโรแมนซ์ไม่ใช่สิ่งสำคัญ” สำหรับเธอเลย เธอรักในการเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องพึ่งพิงผู้ชาย เธอคือผู้หญิงที่สร้างตัวเองมาด้วยตัวเอง เจนบอกว่าความสัมพันธ์ของเธอจะเริ่มขึ้นได้เพียงมี “บทสนทนาที่ลื่นไหลตั้งแต่ได้คุยกันครั้งแรก” นั่นเป็นสัญญาณที่ดี “เขาต้องมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่เยอะไป มีอารมณ์ขัน แล้วก็ขอร้อง ขอร้องเลยนะว่า เขาต้องใจดีกับผู้คนด้วย” […]

ความ คาด หวัง ของตนเอง มี อะไรบาง

คำถามคาใจตัวเองทุกครั้งที่เริ่มคบใคร ไปไม่รอดแล้วยังเป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้! Q: “ฉันมีเพื่อนผู้หญิงเยอะเลยนะ แต่ยากมากจะมีเพื่อนผู้ชายที่สนิท แล้วพอคบใครหลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนกับพวกเขาไม่ได้ ไม่ได้เลิกกันไม่ดีนะ แต่ไม่ชินที่จะมีเพื่อนผู้ชาย เลยทำให้ฉันคบผู้ชายเยอะ คบแล้วเลิกๆ และหายกันไปเลยตลอดเวลา แล้วพอมาชอบเพื่อนตัวเอง หรือชอบผู้ชายที่ทำงาน ก็ไม่กล้าไปต่อ กลัวจะเสียเพื่อนไปเลยแล้วไง?” A: ซื่อตรงกับตัวเองที่สุดก่อน ว่าจริงๆ คุณต้องการผู้ชายที่ดีจริงสำหรับชีวิตด้วย! เหมือนกับว่าคุณคิดว่าคุณน่ะคงไม่ดีพอจะเป็นเพื่อนกับใครได้ และคงมีอะไรผิดๆ ในความสัมพันธ์ที่ทำให้รักษาความเป็นเพื่อนไว้ไม่ได้ เราอยากให้คุณยอมรับตรงๆ กับตัวเองก่อนว่า “คุณต้องการความสัมพันธ์ที่ดี และผู้ชายที่รักคุณ” ลองเขียนคุณสมบัติเริ่ดๆ ในตัวคุณสัก 10 ข้อ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตา รูปร่างนะ และบอกเลยว่าทุกคนที่คุณจะเจอต่อไปนี้ เขาจะได้รับสิ่งดีของคุณเช่นนั้น แล้วลองมองหาผู้หญิงที่คุณชื่นชม ว่าเธอช่างสามารถเป็นเพื่อนกับผู้ชายที่เคยคบได้  ดูวิธีที่เธอคุยกับพวกเขา ดูบุคลิก รอยยิ้ม ท่าทาง ลองเรียนรู้แล้วลองเอาไปใช้เวลาเดทกับใคร ที่สำคัญเวลาเดทกับใครเปิดกว้างกับเขาไปเลยว่า คุณอยากรเรียนรู้จักเขา อยากเป็นเพื่อนกับเขาให้ดีก่อน ต้องใจแข็งไว้นะถ้าเขาจะมาขออะไรที่เป็นทางกายกับเรา เอาให้ชัวร์ในความเป็นเพื่อนแล้วค่อยไปต่อจะดีกว่า สุดท้ายเลยอยากบอกว่าลองไปโฟกัสชีวิตด้านอื่นด้วย ให้เราเอนจอยกับตัวเอง เป็นเพื่อนกับตัวเองให้ดี ถ้าเรามัวแต่เคลิ้มถึงหนุ่มในออฟฟิศ หรือเพื่อนของเพื่อน หรือบางทีอาจเผลอไปเคลิ้มแฟนเพื่อน เราก็อาจกลายเป็นคนคลั่งรัก และคาดหวังในความสัมพันธ์เกินไป จนมองข้ามความเข้ากันได้ […]

ความ คาด หวัง ของตนเอง มี อะไรบาง

เป็นมุมเรื่องงานที่บางทีก็ลืมมองตัวเองไป ขอยอมรับและโล่งๆ กับตัวเองพิจารณาอีกครั้ง “เราคิดว่าเราเก่ง” หรือที่ผ่านมา “หัวหน้าเราน่ะเก่ง” กันแน่! เป็นหนึ่งในคำเตือนที่เราว่าสุดจะดึงเราให้กลับมามองตัวเอง เจฟฟ์ อาร์ แดเนียล กูรูเรื่องงานในอเมริกาเตือนคำทำงานที่เปลี่ยนงานเพื่อจะจั๊มเงินเดือนมาว่า “บางครั้งคนเราก็คิดว่าตัวเองเก่งเกินความสามารถจริง” เขาบอกว่าหลายๆ คนทำงานความเก่งของเขาไม่ใช่ตัวเขาเองล้วนๆ แต่เป็นเพราะ “เขามีหัวหน้าที่เก่ง” หรือมี “ทีมงานที่เก่ง” “คนทำงานที่อาจจะโชคดีหรือโชคร้ายนี่ล่ะ ที่มีหัวหน้าเก่งกาจไปหมด แถมยังใจดูปกป้องทุกสิ่งให้ เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาหลบอยู่ข้างหลังหัวหน้าคนนั้นมาตลอด พอมาถึงตอนที่หัวหน้าแยกวงไป เขาก็จะเคว้งคว้าง ตอนนี้ล่ะที่เขาต้องเลือกงานใหม่ เขาเลยจั๊มตัวเองให้สูงไปเลย ซึ่งอาจทำให้ร่วงลงมาได้ ถ้าไม่ประเมินการทำงานของตัวเองให้ดีก่อน” เจฟฟ์บอกว่าคนเรามีเหมือนกันที่โชคดีมีหัวหน้าคอยปาดทุกเรื่องให้ เขายืนอยู่ข้างหลังหัวหน้าคนนั้น แต่สายตากลับเข้าไปสวมเป็นหัวหน้า เวลาเขาเปลี่ยนงานเขาใช้สายตานี้ล่ะที่พาเขาไป ไม่ว่าจะเป็นการขอเงินเดือนให้มากกว่าที่เดิมมากๆ ขอตำแหน่งและอีกหลายสิ่งที่เขาคิดว่าเขาสมควรจะได้ เขาลืมมองไปว่า “เขาอาจไม่เก่งพอ” เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา เรื่องยากๆ ที่ทำให้โปรไฟล์เขาดูดีน่ะ เป็นหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมทีมปาดให้ทั้งนั้น เจฟฟ์เลยมอบ 3 คำเตือนที่อยากให้ทุกคนที่กำลังจะเปลี่ยนงาน ถามตัวเองดังๆ ก่อนว่า… สุดท้ายถ้าเรายังคิดว่าเราสมควรได้รับอะไรที่เริ่ดกว่าเดิมมากจริงๆ ถ้าเราเก่งจริงลุยเลย แต่ถ้าไม่ใช่คิดเผื่อด้วยว่า เราจะได้รับความกดดันจากงานใหม่นั้นขนาดไหน เพราะถ้าพลาดเราอาจเสียความมั่นใจไปเลย อย่าลืมคิดด้วยว่าบางครั้งสิ่งที่มาเหนือความเก่งอีกอย่าง ก็คือเรื่องของบารมี พลัง ความมั่นใจ […]

ยิ่งคนอื่นรวมไปถึงคนใกล้ชิด คนในครอบครัวมีความคาดหวังกับตัวเราเท่าไหร่ นี่ก็สามารถเป็นได้ทั้งแรงผลักดันและแรงกดดันได้เช่นกัน เมื่อเหนื่อยล้าและเกิดความเครียดจนทำให้ “กดดัน” ตัวเอง ซึ่งคิดว่าเรื่องนี้สามารถเกิดได้กับทุกคน ในเกือบทุกวัยจริงๆ ตั้งแต่วัยเด็กต้องเรียนได้เกรดดีๆ ทำคะแนนให้ได้เยอะๆ โตมาอีกเข้าสู่วัยรุ่นก็ต้องเรียนหนัก เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหรือแม้กระทั่งวัยทำงานที่ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันและอีกหลายๆ เหตุการณ์ในชีวิต และต้องยอมรับเลยว่ายุคสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันยิ่งทวีคูณแรงกดดันไปอีกและนี่ไม่เป็นผลดีต่อสภาวะจิตใจของตัวคุณเลย


คุณเคยทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความคาดหวังของคนอื่นจนลืมไปว่าตัวเองต้องการอะไรไหม? เพราะถ้าความคาดหวังที่คนอื่นมีต่อเราไม่ได้ตรงกับความสุขของตัวเอง คุณเองก็จะต้องแบกรับความหวังโดยที่ไม่ได้มีความสุขจริงๆเลย

ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนดูคลิปวีดีโอที่พูดโดยคนไทย คุณ Gina Jeenafu ในหัวข้อ “High Expectation without high pressure” เธอมีแนวคิดที่ดีมากจริงๆ

แรงกดดันมีมากเกินไป ส่งผลอะไรบ้าง?

นี่เป็นภัยเงียบที่ไม่ควรละเลย เพราะหากกดดันตัวเองมากจนเกินไป ก็อาจนำไปสู่โรคทางจิตเวชได้ ยิ่งเป็นคนที่เปราะบางระดับหนึ่งหรือเป็นคนที่ต้องทนกับแรงกดดันมานานแล้วยังไม่มีทางออก สิ่งนี้สามารถนำไปสู่โรคซึมเศร้า วิตกกังวล และเครียดสะสมได้

สังเกตตนเองว่าคุณได้รับแรงกดดันมากเกินไปไหม?

  • เกิดความรู้สึกแง่ลบกับสิ่งที่ทำ เช่น ทำงานคุณรู้สึกไม่สนุก ไม่มีความสุขในสิ่งที่ทำ
  • สังเกตเรื่องมุมมองความคิด เมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอ งานนี้มันยากเกินไป เริ่มคิดว่าคนอื่นคาดหวังกับเราแต่เราคงทำไม่ได้ และมีความคิดเชิงลบมาตลอด
  • สังเกตร่างกาย เริ่มหายใจไม่อิ่ม ปวดหัว นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท

ความ คาด หวัง ของตนเอง มี อะไรบาง

จัดการกับความกดดันที่เผชิญยังไงดี?

  • อยากให้ลองมองย้อนกลับไปว่า เราทำสิ่งนี้เราทำไปเพื่ออะไร? ทำเพื่อให้เขาชมว่าเราเก่ง ทำเพื่อให้คนอื่นยอมรับ แล้วเราจำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นเลยหรือ?
  • ลองปลีกตัวเองจากโลกโซเชี่ยลบ้างเพราะในโลกของสื่อคุณอาจจะเสพข่าว หรือข้อมูลมากมายที่สามารถสร้างความกดดัน การเปรียบเทียบ และความคาดหวังที่ตามมา
  • ลองคิดว่าเราหลงลืมอะไรไปไหม ซึ่งส่วนใหญ่สิ่งที่หลงลืมคือ “สติ” เมื่อคุณมัวแต่โฟกัสกับปัญหาจนลืมว่าที่จริงแล้วเราสามารถแก้ปัญหานั้นได้นะ ลองค่อยๆคิดไปทีละขั้น
  • ระบายความกดดันที่มีให้ใครสักคนฟัง ตัวกระตุ้นที่สามารถทำให้คุณกลับมามีกำลังใจคือ การระบาย การมีที่ปรึกษาที่ดีที่คุณสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังได้และร่วมด้วยช่วยกันหาทางออกของปัญหา

ท้ายนี้อยากฝากทุกคนไว้ว่า “Don’t put too much pressure on yourself” อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปจนสุดท้ายกลายเป็น ทำร้ายตัวเองเลย รักและใจดีกับตัวเองให้มากๆ และหากคุณไม่ชอบที่ใครมาคาดหวังในตัวคุณ คุณก็ต้องเรียนรู้ในการไม่คาดหวังในตัวคนอื่นด้วย


สามารถอ่านบทความอื่นๆของ CLEO ที่:

  • Love-Hate Relationship ความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งชัง!
  • แจกพิกัด 6 ร้าน Fine Dining เชียงใหม่ บรรยากาศดี ออกเดททั้งทีต้องไป
  • เปิดเส้นทางของคุณส้ม จากเด็กหอสู่เจ้าของบ้านเช่า 100 ล้าน !

768

CLEOSelfLove กดดันตัวเอง กดดันตัวเองมากเกินไป คาดหวังเกินไป