การแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานใดๆ ก็ตาม มีวิธีคิดเช่นเดียวกัน โดยจะเบ่งลักษณะการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานต่างๆ เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 เลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขจำนวนเต็ม หลักการคิด 1. นำเลขฐานสิบที่เป็นเลขจำนวนเต็มเป็นตัวตั้ง นำเลขฐานที่ต้องการแปลงมาหาร เขียนผลหารและเศษของการหารไว้ทุกครั้ง ถ้าหารลงตัวให้เขียนเศษ คือ 2. นำผลหารที่ได้จาการหารในข้อที่ 1 เป็นตัวตั้ง หารด้วยเลขฐานที่ต้องการแปลง เขียนผลหารและเศษของการหารไว้ ขบวนการหารจะสิ้นสุดก็ต่อเมือผลหารเป็น 0 (พรชัย จิตต์พาณิชย์, 2551 : 35) 3. คำตอบจะนำเศษที่เหลือจาการหารแต่ละครั้งมาเขียนเรียงลำดับกันโดยเขียนเรียงจากเศษของการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 จนกระทั่งถึงเศษของการหารครั้งแรก หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ เขียนเรียงเศษจากล่างขึ้นบน และใส่เลขฐานที่ต้องการแปลงที่คำตอบด้วย ตัวอย่างที่ 2.17 จงแปลง 55 ให้เป็นเลขฐานสอง วิธีทำ 55 ÷ 2 = 27 เศษ 1 27 ÷ 2 = 13 เศษ 1 13 ÷ 2 = 6 เศษ 1 6 ÷ 2 = 3 เศษ 0 3 ÷ 2 = 1 เศษ 1 1 ÷ 2 = 0 เศษ 1 55 = 1101112 หลักการคิด โจทย์ต้องการแปลงเลขฐานสองต้องใช้ 2 เป็นตัวหาร 1. นำ 55 เป็นตัวตั้ง นำ 2 มาหารได้ผลลัพธ์ 27 เศษ 1 เขียนเศษไว้ทางขวามือ 2. นำผลลัพธ์ที่ได้จากการหารคือ 27 เป็นตัวตั้งและหารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ เป็น 13 เศษ 1 3. นำ 13 เป็นตัวตั้ง นำ 2 มาหาร ได้ผลลัพธ์ 6 เศษ 1 4. นำ 6 เป็นตัวตั้ง นำ 2 มาหาร ได้ผลลัพธ์ 3 หารลงตัวแต่ต้องเขียนเศษเป็น 0 ไว้ด้วย 5. นำ 3 เป็นตัวตั้ง นำ 2 มาหาร ได้ผลลัพธ์ 1 เศษ 1 6. นำ 1 เป็นตัวตั้ง นำ 2 มาหาร ได้ผลลัพธ์ 0 เศษ 1 7. การเขียนคำตอบโดยเรียงจากเศษของการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 เขียนเฉพาะเศษเรียงขึ้น ไปจนถึงเศษของการหารครั้งแรก หรือเรียงเศษจากล่างขึ้นบน ตัวอย่างที่ 2.18 จงแปลง 125 ให้เป็นเลขฐานสอง วิธีทำ 125 ÷ 2 = 62 เศษ 1 62 ÷ 2 = 31 เศษ 0 31 ÷ 2 = 15 เศษ 1 15 ÷ 2 = 7 เศษ 1 7 ÷ 2 = 3 เศษ 1 3 ÷ 2 = 1 เศษ 1 1 ÷ 2 = 0 เศษ 1 125 = 11111012 หลักการคิด 1. นำเลข 125 เป็นตัวตั้งและนำเลข 2 มาหารได้ผลลัพธ์ 62 เศษ 1 เขียนเศษไว้ทางขวามือ 2. นำผลลัพธ์ที่ได้จากการหารคือ 62 เป็นตัวตั้งและหารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ เป็น 31 เศษ 0 กำกับไว้ ด้วย 3. นำ 31 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ 15 เศษ 1 4. นำ 15 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ 7 เศษ 1 5. นำ 7 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ 3 เศษ 1 6. นำ 3 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ 1 เศษ 1 7. นำ 1 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 2 ได้ผลลัพธ์ 0 เศษ 1 8. การเขียนคำตอบโดยเรียงจากเศษของการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 เขียนเฉพาะเศษเรียง ขึ้นไปจนถึงเศษของการหารครั้งแรก หรือเรียงเศษจากล่างขึ้นบน ตัวอย่างที่ 2.19 จงแปลง 625 ให้เป็นเลขฐานแปด วิธีทำ 625 ÷ 8 = 78 เศษ 1 78 ÷ 8 = 9 เศษ 6 9 ÷ 8 = 1 เศษ 1 1 ÷ 8 = 0 เศษ 1 625 = 11618 หลักการคิด ตัวอย่างนี้เป็นการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานแปด ทำเช่นเดียวกับการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลข ฐานสอง แต่ใช้ 8 เป็นตัวหาร คือ 1. นำเลข 625 เป็นตัวตั้งและนำเลข 8 มาหารได้ผลลัพธ์ 78 เศษ 1 เขียนเศษไว้ทางขวามือ 2. นำ 78 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 8 ได้ผลลัพธ์ 9 เศษ 6 3. นำ 9 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 8 ได้ผลลัพธ์ 1 เศษ 1 4. นำ 1 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 8 ได้ผลลัพธ์ 0 เศษ 1 5. การเขียนคำตอบโดยเรียงจากเศษของการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 เขียนเฉพาะเศษเรียง ขึ้นไปจนถึงเศษของ การหารครั้งแรก หรือเรียงเศษจากล่างขึ้นบน จะได้คำตอบ คือ 11618 ตัวอย่างที่ 2.20 จงแปลง 1003 ให้เป็นเลขฐานแปด วิธีทำ 1003 ÷ 8 = 125 เศษ 3 125 ÷ 8 = 15 เศษ 5 15 ÷ 8 = 1 เศษ 5 1 ÷ 8 = 1 เศษ 1 1003 = 15538 หลักการคิด 1. นำเลข 1003 เป็นตัวตั้งและนำเลข 8 มาหารได้ผลลัพธ์ 125 เศษ 3 เขียนเศษไว้ทางขวามือ 2. นำ 125 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 8 ได้ผลลัพธ์ 15 เศษ 5 3. นำ 15 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 8 ได้ผลลัพธ์ 1 เศษ 5 4. นำ 1 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 8 ได้ผลลัพธ์ 0 เศษ 1 5. การเขียนคำตอบโดยเรียงจากเศษของการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 เขียนเฉพาะเศษเรียง ขึ้นไปจนถึงเศษของการหารครั้งแรก หรือเรียงเศษจากล่างขึ้นบน ตัวอย่างที่ 2.21 จงแปลง 1065 ให้เป็นเลขฐานสิบหก วิธีทำ 1065 ÷ 16 = 66 เศษ 9 66 ÷ 16 = 4 เศษ 2 4 ÷ 16 = 0 เศษ 4 1065 = 42916 หลักการคิด ตัวอย่างนี้เป็นการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสิบหก ทำเช่นเดียวกับการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลข ฐานสอง แต่ใช้ 16 เป็นตัวหารคือ 1. นำเลข 1065 เป็นตัวตั้งและนำเลข 16 มาหารได้ผลลัพธ์ 66 เศษ 9 เขียนเศษไว้ทางขวามือ 2. นำ 66 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 16 ได้ผลลัพธ์ 4 เศษ 2 3. นำ 4 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 16 ได้ผลลัพธ์ 0 เศษ 4 4. การเขียนคำตอบโดยเรียงจากเศษของการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 เขียนเฉพาะเศษเรียง ขึ้นไปจนถึงเศษของการหารครั้งแรก หรือเรียงเศษจากล่างขึ้นบน ตัวอย่างที่ 2.22 จงแปลง 125 ให้เป็นเลขฐานสิบหก วิธีทำ 125 ÷ 16 = 7 เศษ 13 77 ÷ 16 = 0 เศษ 7 125 = 7D16 หลักการคิด 1. นำเลข 125 เป็นตัวตั้งและนำเลข 16 มาหารได้ผลลัพธ์ 7 เศษ 13 กรณีของเลขฐานสิบหกถ้าเกิน 9 ต้องเปลี่ยนเป็นอักษร A, B, C, D, E, F ซึ่งแทน 10-15 ตามลำดับในที่นี้เศษ13 ต้องเปลี่ยนเป็น D 2. นำ 7 เป็นตัวตั้ง หารด้วย 16 ได้ผลลัพธ์ 0 เศษ 7 3. นำเศษมาเขียนคำตอบ โดยเขียนเรียงเศษจากผลการหารครั้งสุดท้ายที่ได้ผลหารเป็น 0 เขียนเศษ เรียงขึ้นไปจนถึงเศษของการหารครั้งแรก หรือเรียงเศษจากล่างขึ้นบน ข้อสังเกต การเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสิบหก การเขียนคำตอบ ถ้าเศษที่ได้จากการหารคือ 10, 11, 12, 13, 14 และ 15 ต้องเปลี่ยนเป็นอักษร A, B, C, D, E, F แทนตามลำดับ มิเช่นนั้นคำตอบที่ได้จะผิด กรณีที่ 2 เลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขทศนิยม หลักการคิด 1. นำเลขฐานสิบคูณด้วยเลขฐานที่ต้องการแปลง แล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลขจำนวนเต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 2. นำผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณครั้งแรกที่เป็นเลขทศนิยมเป็นตัวตั้งคูณกับเลขฐานที่ต้องการแปลง แล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลขจำนวนเต็มที่อยู่หน้าทศนิยม ทำอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าผลลัพธ์ส่วนที่เป็นเลขหลังทศนิยมเท่ากับ .0000 หรือคูณจนกว่าได้ตำแหน่งทศนิยมที่ต้องการ 3. การตอบโดนนำเลขจำนวนเต็มหน้าจุดทศนิยมที่เก็บแยกไว้ มาเขียนเป็นคำตอบโดยเขียนเรียงจากเลขจำนวนเต็มค่าแรกที่เก็บไว้ จนกระทั่งค่าที่เก็บไว้ค่าสุดท้าย 4. คำตอบต้องตอบเป็นเลขทศนิยมและใส่เลขฐานกำกับด้วย ตัวอย่างที่ 2.23 จงแปลง 0.6875 ให้เป็นเลขฐานสอง (ต้องการทศนิยม 4 ตำแหน่ง) วิธีทำ 0.6875 0.3750 0.7500 0.5000 x x x x 2 2 2 2 1.3750 0.7500 1.5000 1.0000 1 0 1 1 0.6875 = 0.10112 หลักการคิด ตัวอย่างนี้เป็นการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสองทำได้โดย 1. นำ 0.6875 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 1.3750 เก็บเลข 1 ที่อยู่ข้างหน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 2. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.3750 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 0.7500 เก็บเลข 0 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 3. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.7500 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 1.5000 เก็บเลข 1 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 4. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.5000 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 1.0000 เก็บเลข 1 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 5. ผลลัพธ์ส่วนที่เป็นเลขหลังทศนิยมเท่ากับ 0.0000 และโจทย์ต้องการทศนิยม 4 ตำแหน่ง เพราะ ฉะนั้นจะเขียนคำตอบโดยนำเลขจำนวนเต็มหน้าจุดทศนิยมที่เก็บแยกไว้มาเขียนคำตอบ โดยเรียงจากจำนวนเต็ม ค่าที่เก็บไว้จนกระทั่งค่าที่เก็บไว้ตัวสุดท้าย จะได้เลข 10112 6. คำตอบที่ได้ต้องเป็นทศนิยม เพราะฉะนั้นคำตอบคือ 0.10112 ตัวอย่างที่ 2.24 จงแปลง 0.349 ให้เป็นเลขฐานสอง (ต้องการทศนิยม 3 ตำแหน่ง) วิธีทำ 0.349 0.698 0.396 x x x 2 2 2 0.698 1.396 0.792 0 1 0 0.349 = 0.0102 หลักการคิด 1. นำ 0.349 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 0.698 เก็บเลข 0 ที่อยู่ข้างหน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 2. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.698 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 1.396 เก็บเลข 1 ที่อยู่ข้างหน้า จุดทศนิยมแยกไว้ 3. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.396 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 2 ไว้ผลลัพธ์ 0.792 เก็บเลข 0 ที่อยู่ข้างหน้า จุดทศนิยมแยกไว้ 4. โจทย์ต้องการทศนิยม 3 ตำแหน่ง จะเขียนคำตอบโดยนำเลขจำนวนเต็มหน้าจุดทศนิยมที่เก็บแยกไว้ มาเขียนคำตอบ โดยเรียงจากจำนวนเต็มค่าที่เก็บไว้จนกระทั่งค่าที่เก็บไว้ตัวสุดท้าย เพราะฉะนั้นคำตอบคือ 0.0102 ตัวอย่างที่ 2.25 จงแปลง 0.6314 ให้เป็นเลขฐานแปด (ต้องการทศนิยม 4 ตำแหน่ง) วิธีทำ 0.6314 0.0512 0.4096 0.2778 x x x x 8 8 8 8 5.0512 0.4096 3.2778 2.2224 5 0 3 2 0.6314 = 0.50328 หลักการคิด ตัวอย่างนี้เป็นการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานแปดทำได้โดย 1. นำ 0.6314 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 8 ไว้ผลลัพธ์ 5.0512 เก็บเลข 5 ที่อยู่ข้างหน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 2. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.0512 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 8 ไว้ผลลัพธ์ 0.4096 เก็บเลข 0 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 3. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.4096 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 8 ไว้ผลลัพธ์ 3.2778 เก็บเลข 3 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 4. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.2778 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 8 ไว้ผลลัพธ์ 2.2224 เก็บเลข 2 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 5. จะเขียนคำตอบโดยนำเลขจำนวนเต็มหน้าจุดทศนิยมที่เก็บแยกไว้มาเขียนคำตอบ โดยเรียงจาก จำนวนเต็มค่าที่เก็บไว้จนกระทั่งค่าที่เก็บไว้ตัวสุดท้าย เพราะฉะนั้นคำตอบคือ 0.50328 ตัวอย่างที่ 2.26 จงแปลง 0.5412 ให้เป็นเลขฐานสิบหก (ต้องการทศนิยม 4 ตำแหน่ง) วิธีทำ 0.5412 0.6592 0.5472 0.7552 x x x x 16 16 16 16 8.6592 10.5472 8.7552 12.0832 8 10 (A) 8 12 (C) 0.5412 = 0.8A8C หลักการคิด ตัวอย่างนี้เป็นการแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสิบหก การทำเหมือนการแปลงเลขฐานสิบกรณีเป็นเลขทศนิยมเป็นเลขฐานสองและฐานแปด เลขฐานสิบหกจะใช้เลข 16 คูณ ตัวตั้งทีละตัว จะไม่แยกคิด 6 เป็นตัวคูณก่อนแล้ว 1 เป็นตัวคูณตามการตอบถ้าเลขจำนวนเต็มหน้าจุดทศนิยมเป็น 10, 11, 12, 13, 14 และ 15 ต้องเปลี่ยนเป็นอักษร A, B, C, D, E, F ตามลำดับ ดังนี้ 1. นำ 0.512 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 16 ไว้ผลลัพธ์ 8.6592 เก็บเลข 8 ที่อยู่ข้างหน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 2. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.0512 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 16 ไว้ผลลัพธ์ 10.5472 เก็บเลข 10 หรือ A ที่อยู่ข้างหน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 3. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.5472 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 16 ไว้ผลลัพธ์ 8.7552 เก็บเลข 8 ที่อยู่ข้าง หน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 4. นำผลลัพธ์ที่เป็นเลขทศนิยม คือ 0.7552 เป็นตัวตั้งคูณด้วย 16 ไว้ผลลัพธ์ 12.0832 เก็บเลข 12 หรือ C ที่อยู่ข้างหน้าจุดทศนิยมแยกไว้ 5. จะเขียนคำตอบโดยนำเลขจำนวนเต็มหน้าจุดทศนิยมที่เก็บแยกไว้มาเขียนคำตอบ โดยเรียงจาก จำนวนเต็มค่าที่เก็บไว้จนกระทั่งค่าที่เก็บไว้ตัวสุดท้าย เพราะฉะนั้นคำตอบคือ 0.8A8C ตัวอย่างที่ 2.27 จงแปลง 18.257 ให้เป็นเลขฐานสอง (ต้องการทศนิยม 3 ตำแหน่ง) วิธีทำ แยกคิดเป็น 2 ครั้ง คือ กรณีจำนวนเต็มใช้วิธีหารด้วย 2 และกรณีเป็นเลขทศนิยมใช้วิธีคูณด้วย 2 ซึ่งได้ศึกษาตัวอย่างทั้ง 2 วิธีมาแล้วการตอบจะนำคำตอบที่ได้ทั้ง 2 กรณี มารวมกัน ดังนี้ กรณีจำนวนเต็มคือ 18 แปลงให้เป็นเลขฐานสอง คือ 18 ÷ 2 = 9 เศษ 0 9 ÷ 2 = 4 เศษ 1 4 ÷ 2 = 2 เศษ 0 2 ÷ 2 = 1 เศษ 0 1 ÷ 2 = 0 เศษ 1 18 = 100102 กรณีจำนวนทศนิยมคือ 0.257 แปลงให้เป็นเลขฐานสอง คือ 0.257 0.514 0.028 x x x 2 2 2 0.514 1.028 0.056 0 1 0 0.257 = 0.0102 นำคำตอบของ 2 กรณีมารวมกันจะได้คำตอบคือ 18.257 = 10010.0102 ตัวอย่างที่ 2.28 จงแปลง 441.28 ให้เป็นเลขฐานแปด (ต้องการทศนิยม 4 ตำแหน่ง) วิธีทำ แยกคิดเป็น 2 ครั้ง คือ กรณีจำนวนเต็มใช้วิธีหารด้วย 8 และกรณีเป็นเลขทศนิยมใช้วิธีคูณด้วย 2 ดังนี้ กรณีจำนวนเต็มคือ 441 แปลงให้เป็นเลขฐานแปด คือ 441 ÷ 8 = 55 เศษ 1 55 ÷ 8 = 6 เศษ 7 6 ÷ 8 = 0 เศษ 6 441 = 6718 กรณีจำนวนทศนิยมคือ 0.28 แปลงให้เป็นเลขฐานแปด คือ 0.28 0.24 0.92 0.36 x x x x 2 2 2 8 2.24 1.94 7.36 2.88 2 1 7 2 0.28 = 0.21728 นำคำตอบของ 2 กรณีมารวมกันจะได้คำตอบคือ 441.28 = 671.21728 ตัวอย่างที่ 2.29 จงแปลง 23,119.3914 ให้เป็นเลขฐานสิบหก (ต้องการทศนิยม 4 ตำแหน่ง) วิธีทำ แยกคิดเป็น 2 ครั้ง คือ กรณีจำนวนเต็มใช้วิธีหารด้วย 16 และกรณีเป็นเลขทศนิยมใช้วิธีคูณด้วย 16 ดังนี้ กรณีจำนวนเต็มคือ 23,119 แปลงให้เป็นเลขฐานสิบหก คือ 23119 ÷ 16 = 1444 เศษ 15 (F) 1444 ÷ 16 = 90 เศษ 4 90 ÷ 16 = 5 เศษ 10 (A) 5 ÷ 16 = 0 เศษ 5 23119 = 5A4F16 กรณีจำนวนทศนิยมคือ 0.3914 แปลงให้เป็นเลขฐานสิบหก คือ 0.3914 0.2624 0.1984 0.1744 x x x x 16 16 16 16 6.2624 4.1984 3.1744 2.790 6 4 3 2 0.3914 = 0.643216 นำคำตอบของ 2 กรณีมารวมกันจะได้คำตอบคือ 23119.3914 = 5A4F.643216 |