บทบาทและเป้าหมายของรัฐบาลในทางเศรษฐกิจ1. บทบาทของรัฐบาลในทางเศรษฐกิจ โดยหลักการแล้ว ถ้าเชื่อว่าการปล่อยให้กลไกเศรษฐกิจทำงานโดยมีการแข่งขันแบบเสรีจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว รัฐบาลควรจะเข้าไปมีบทบาทเกี่ยวกับการจัดสรรการใช้ทรัพยากรของสังคมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ หรืออาจไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะหากปล่อยให้ประชาชนแต่ละคนได้ประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตนโดยอิสระแล้วจะทำให้การจัดสรรการใช้ทรัพยากรของสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยใช้กลไกของราคาและปล่อยให้ระบบตลาดทำหน้าที่ของมันเองตามหลักอุปสงค์-อุปทาน และอาศัย “มือที่มองไม่เห็น” หรือ “Invisible hand” มาจัดการให้ตลาดเข้าสู่ระบบดุลยภาพแล้วสังคมจะได้รับความพอใจ หรือได้รับสวัสดิการสูงสุดอย่างไรก็ตาม ในโลกของความเป็นจริงแล้ว กลไกของตลาดหรือราคานั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่และอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่สามารถทำลายความสงบสุขของสังคมได้ ดังนั้น รัฐบาลในฐานะที่เป็นองค์การที่ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐทางการบริหารจึงต้องเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ โดยเป็นผู้จัดสรรสินค้าและบริการในส่วนที่เอกชนไม่อาจทำได้ดี หรือไม่สามารถทำได้ เพื่อให้ประชาชนได้รับสินค้าและบริการที่ดีโดยการดำเนินมาตรการทางด้านการคลังและมาตรการทางด้านการเงิน สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปมีบทบาทหรือแทรกแซงการประกอบการทางเศรษฐกิจของเอกชนมีดังนี้ (เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม 2552)1. การรักษาตัวบทกฎหมายและการจัดระเบียบภายในสังคม2. การวางกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อช่วยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ให้ได้ดียิ่งขึ้น3. ทำหน้าที่จัดสรรสินค้าและบริการที่กลไกตลาดไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยเฉพาะสินค้าสาธารณะ (public goods and services)4. การตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกที่จะบริโภคในปัจจุบันหรือจะเลื่อนการบริโภคไปบริโภคในอนาคต5. การป้องกันการผันผวนในทางเศรษฐกิจ6. การสร้างความเป็นธรรมในสังคม2. เป้าหมายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ว่ารัฐ / รัฐบาลใดจะใช้ระบบเศรษฐกิจและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ในรูปแบบไหน รัฐ / รัฐบาล ต่างมีเป้าหมายในทางเศรษฐกิจของรัฐที่คล้ายคลึงกัน เป้าหมายดังกล่าว ได้แก่1) เป้าหมายเพื่อความเจริญเติบโต / ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ (economic growth / economic progress) การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหมายถึง “การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทั้งหมดทั้งในแง่ของการลงทุน การผลิต และการบริโภค” ดังนั้น การที่ระบบเศรษฐกิจมีการลงทุน มีการผลิต และมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้นได้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจของรัฐนั้น ๆ มีการจัดสรรทรัพยากรและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ การจะพิจารณาว่าเศรษฐกิจเจริญเติบโตหรือไม่ มากน้อยเพียงใดนั้น สิ่งหนึ่งดูได้จาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ Gross National Product (GNP) ว่าเพิ่มขึ้นในอัตราเท่าใดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ถ้า GNP มีค่าสูงกว่าแสดงว่ารัฐ / รัฐบาลประสบกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ Gross National Product (GNP) คือมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่คนของประเทศนั้นๆ เป็นเจ้าของ มีทั้งที่ผลิตในและนอกประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยอาจคำนวณเป็นราย 3-6 และ 12 เดือน การคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติมีอยู่ 3 วิธี คือ การคำนวณทางด้านผลผลิต ทางด้านรายจ่าย และทางด้านรายได้ การคำนวณทางด้านผลผลิต เป็นการรวมมูลค่าของผลผลิตขั้นสุดท้าย ส่วนการคำนวณทางด้านรายจ่าย เป็นการรวมรายจ่ายต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย(1) รายจ่ายเพื่อการบริโภคของเอกชน(2) รายจ่ายเพื่อการลงทุนของเอกชน ซึ่งจำแนกเป็นการซื้อเครื่องมือเครื่องจักร สินค้าคงคลัง และค่าก่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่(3) รายจ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐบาล(4) การส่งออกสุทธิสำหรับการคำนวณทางด้านรายได้ เป็นการคำนวณผลรวมของค่าจ้าง ดอกเบี้ยกำไรก่อนเสียภาษี และค่าเสื่อมราคาโดยสรุปผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า GNP (Gross National Product ) หมายถึง มูลค่า (value) ของทุกสิ่งอย่างที่ได้ผลิตและขายในช่วงปีหนึ่ง (ทั้งนี้จะรวมถึงมูลค่าของต้นทุนในการบริการสาธารณะด้วย) ซึ่งในเรื่องนี้ จอห์น เคนเนธ กัลเบรธ(John Kenneth Galbreth) เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเกือบจะเป็นสิ่งเดียวกับรายได้ประชาชาติสำหรับ ดัชนีหรือสิ่งที่ชี้วัดถึงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้แก่ GNP, รายได้ต่อหัวประชากร (per capita income) อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรและระดับราคาสินค้า (price index number) และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น2) เป้าหมายเพื่อความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (economic stability) ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายที่สำคัญในทางเศรษฐกิจอีกเป้าหมายหนึ่งของรัฐบาล การที่จะเกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้นั้นรัฐ / รัฐบาลจะต้องให้ “การดูแลและควบคุมให้ความเจริญเติบโต หรือความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ” ถ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (inflation) ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว อาจก่อให้เกิดการว่างงาน เกิดสภาวะเงินฝืดอันเป็นการแสดงถึงความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอีกเช่นกัน การที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและรัฐบาลไว้ให้ได้ จำเป็นต้องมีมาตรการทางด้านการคลังและด้านการเงิน ตลอดจนมาตรการเฉพาะด้านอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง เช่น การปรับปรุงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศหรือการประกาศลอยตัวค่าเงินให้เป็นไปตามกลไกของตลาด ฯลฯ เป็นกลไกที่สำคัญที่สามารถนำมาใช้สร้างความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้3) เป้าหมายเพื่อความยุติธรรม / ความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ (economic justice หรือ economic equity) ความยุติธรรม/ ความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นในสังคมได้รัฐ / รัฐบาลจำเป็นต้อง “ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการผลิตและการแข่งขันสินค้าและบริการให้ทั่วถึงและเป็นธรรม” แก่สมาชิกในสังคม การจะสร้างความเป็นธรรมหรือความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจจะเกี่ยวข้องกับ(1) การกระจายรายได้ (รายได้กระจายตัว / กระจุกตัว)(2) การมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (มี / ไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน)(3) การเท่าเทียมกันในโอกาสและการได้รับบริการทางสังคม / บริการสาธารณะอย่างเป็นธรรม ความเท่าเทียมกันนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ระบบเศรษฐกิจ กล่าวคือ– ถ้าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม/ capitalism ความเท่าเทียมจะเน้นที่ความสามารถ โดยจะได้ goods and services ซึ่งเป็นผลตอบแทนตามความสามารถ– ถ้าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ความเท่าเทียมกันจะหมายถึงการมีรายได้เท่าเทียมกันหรือไม่แตกต่างกันมากนัก– หากเป็นระบบคอมมิวนิสต์ ความเท่าเทียมกันจะพิจารณาจากการที่แต่ละคนได้รับสินค้าและบริการตามที่ตนเองต้องการ– หากเป็นระบบเศรษฐกิจแบบผสม (mixed economy) ถือว่าการมีรายได้ตามควรแก่อัตภาพและ หรือ มือใครยาวสาวได้สาวเอาถือว่าเป็นความเท่าเทียมกัน4) เป้าหมายเพื่อเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (economic freedom) เสรีภาพในที่นี้หมายถึง “เสรีภาพในการเลือก” ทั้ง (1) การมีเสรีภาพในการที่จะเลือกบริโภค (2) การมีเสรีภาพในการผลิต และ (3) การมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เสรีภาพในการเลือกจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม แล้วแต่ว่าสังคมใด รัฐ / รัฐบาลใด จะมีระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองการปกครองเป็นอย่างไร เช่น– การมีระบบการเมืองการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย หากเป็นประเทศประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แบบ เช่น สหรัฐ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส ฯลฯ ซึ่งเป็นระบบการเมืองการปกครอง ที่มีกลุ่มผลประโยชน์มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายระดับสูงแล้ว เอกชนจะมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่จะเลือกผลิต จำหน่าย บริโภค ฯลฯ ได้เต็มที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปบังคับหรือควบคุม แต่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาดเสรี– หากมีระบบการเมืองการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ เช่นประเทศจีน กำหนดให้มีพรรคการเมืองพรรคเดียวคือ พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของชาติ จะใช้อำนาจในการควบคุมและป้องกันสูง (ป้องกันมิให้เอกชนเข้ามาประกอบธุรกิจ)แต่ในปัจจุบันประเทศจีนได้ปรับเปลี่ยนไปใช้แนวคิด “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ริเริ่มเสนอโดย เติ้ง เสี่ยวผิง (Dèng Xiǎopíng) ผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาชนจีนในขณะนั้นเพื่อการรวมประเทศจีนระหว่างต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขาเสนอว่าจะมีเพียงจีนเดียว แต่เขตจีนอิสระ เช่น ฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวัน สามารถมีระบบเศรษฐกิจและการเมืองแบบทุนนิยมได้ ขณะที่ส่วนที่เหลือของจีนใช้ระบบสังคมนิยม ภายใต้ข้อเสนอนี้ แต่ละเขตสามารถคงมีระบบการเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจและการเงินของตนได้ รวมทั้งความตกลงด้านพาณิชย์และวัฒนธรรมกับต่างประเทศ และจะมี “สิทธิบางอย่าง” ในการติดต่อระหว่างประเทศ เช่น ไต้หวันสามารถคงมีกำลังทหารของตนได้ และเป็นการหลีกเลี่ยงการรับรองไต้หวันว่าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐจีนสำหรับเป้าหมายทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ด้านของรัฐ / รัฐบาล ดังกล่าวนี้ รัฐ / รัฐบาลจะให้น้ำหนักความสำคัญไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา แต่จะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายโดยพิจารณาจาก (1) สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ (2) สภาวการณ์ทางด้านสังคม (3) สภาวการณ์ทางด้านการเมือง ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ๆ
Post Views: 4,004