สภาพสังคมในยุคโรแมนติกเป็นอย่างไร

ในยุคที่มีการถกเถียงกันผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้เราเห็นคำศัพท์ใหม่ๆ หรืออะไรที่ไม่ค่อยคุ้นตาเยอะแยะไปหมด Romantic เป็นอีกคำที่ถูกนำมาใช้กันเยอะขึ้น แต่กลับไม่ใช่ความหมายเชิงบวกเกี่ยวกับความรัก

อ่าว แล้วเค้าใช้เรื่องอะไร?

โรแมนติก หมายความว่าอะไร?

Romantic แปลว่า เพ้อฝัน อุดมคติ เต็มไปด้วยจินตนาการ คนโรแมนติก ก็คือคนที่เต็มไปด้วยจินตนาการ ช่างเพ้อฝัน Dreamer

Romanticize แปลว่า ทำให้เย้ายวนใจ  

เราอาจจะคุ้นชินกับโรแมนติกในแง่ของความรัก ฟังเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคนรักกันแล้วรู้สึกโรแมนติกจังเลย

หลายคนคงสงสัยว่า Romantic , Romanticism หรือ Romanticize มันไปเกี่ยวอะไรกับศิลปะอีกแล้ว เราเลยอยากจะบอกว่า ศิลปะมันเกี่ยวกับทุกอย่างนั่นแหละ เพราะมันอยู่รอบตัวเราแบบที่เราคิดไม่ถึง!

Romanticism Art

เป็นลัทธิทางศิลปะที่คนเรียนศิลปะจะคุ้นหูกันดี นั่นคือ ลัทธิจินตนิยม สไตล์ของมันก็คือ ภาพวาดที่เน้นสื่ออารมณ์สะเทือนใจ จะเศร้าก็เศร้าสุด หดหู่ก็ไปสุด เพ้อฝันให้สุด หรือจะโลกสวยก็ไปสุดเหมือนกัน ด้วยฝีแปรงที่ไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ได้เพียงแต่วาดรูปเพื่อเล่าเรื่องราวหรือเก็บภาพในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นการวาดเพื่อเร้าอารมณ์คนดูไปด้วย

ธรรมชาติ คืออย่างหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปะโรแมนติก ศิลปินจะเริ่มฉีกแนวออกจากการวาดรูปจากประวัติศาสตร์ หรือที่เค้าเรียกกันว่าวาดตามประเพณีที่สืบต่อกันมา และหันมาวาดธรรมชาติ ทิวทัศน์ ท้องทะเลมากขึ้น แต่เป็นธรรมชาติที่สุดโต่ง คือวาดแบบเน้นสะเทือนอารมณ์คนดู ถ้าวาดทะเลก็จะเป็นทะเลคลั่ง ทะเลกำลังมีพายุ คลื่นสูงซัดจนทำให้ผู้ชมเกิดความกลัว

ลัทธิโรแมนติก เป็นแนวคิดที่มาพร้อมๆ กับแนวคิดชาตินิยมที่ถูกนำเสนอออกมาผ่านงานเขียนหรืองานศิลปะ การปลุกระดม การนำเสนอให้เห็นถึงความสวยงามของความเป็นชาติและธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นความภาคภูมิใจ และยังเน้นเรื่องความเท่าเทียม

สภาพสังคมในยุคโรแมนติกเป็นอย่างไร

The Raft Of The Medusa แพของเรือเมดูซา (1819)

ถือเป็นผลงานที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิโรแมนติกในฝรั่งเศสเลยก็ได้
Théodore Géricault หรือ ทีโอเดอร์ เกอริโก้ วาดภาพนี้จากเหตุการณ์จริงที่เรือเมดูซาอับปางลงในปี 1816 จนผู้โดยสารบนเรือต้องเอาตัวรอดด้วยการใช้ชีวิตบนแพใหญ่ลอยอยู่บนท้องทะเลถึง 13 วัน เป็นการวาดภาพเพื่อสะท้อนเหตุการณ์น่าสะเทือนใจนี้ คนต้องดื่มน้ำปัสสาวะและต้องกินเนื้อคนที่ตายแล้วเพื่อประทังชีวิต

ลัทธิโรแมนติกที่ละทิ้งเหตุผลและแบบแผนเดิมๆ กลายเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้กลุ่มศิลปินแบบอาวองการ์ด (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Avant-Garde (อาวองการ์ด) : ความล้ำยุค ความก้าวหน้า ที่วงการศิลปะ (และสังคม) ควรมีเยอะๆ) กลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าที่คิด และสร้างงานศิลปะแบบทิ้งกฎเกณฑ์ทุกอย่าง เรียกว่าแปลกแบบหลุดโลกไปเลย

เรามองความแตกต่างของศิลปะแต่ละยุคยังไง? ทั้งที่โรแมนติกและคลาสสิก ไม่ต่างกันมาก…

บางลัทธิทางศิลปะคล้ายกันจนไม่รู้ว่าต่างกันยังไง? ต้องบอกก่อนว่าศิลปะแต่ละแบบมันก็มีแรงบันดาลใจมาจากกันและกันทั้งนั้น มีการพัฒนาจากแบบเก่าสู่แบบใหม่ เพราะฉะนั้นบางช่วงเราจะเห็นว่ามันไม่แตกต่างกันมาก อยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนาไปสู่อีกแบบหนึ่ง

ลัทธิโรแมนติกนี้ก็พัฒนามาจาก Neo-Classic Art ที่จะมีความนิ่งกว่า สุขุมกว่า วาดตามแบบแผนดั้งเดิม เน้นการวาดเทพเจ้ากรีกโรมัน สังคม การเมือง เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จะเป็นภาพที่เน้นองค์ประกอบที่ดูมั่นคงแข็งแรง แต่เมื่อพัฒนามาเป็นโรแมนติกก็หันมาเน้นเกี่ยวกับธรรมชาติมากขึ้น เน้นทิวทัศน์ ทะเล แต่เป็นการบวกเพิ่มอารมณ์จากความจริงเข้าไป เพื่อต้องการกระตุ้นความรู้สึกของผู้ชมให้มากขึ้น ฉีกกฎแบบแผนเดิมๆ ละทิ้งความมีเหตุผลทิ้งไป และไปเน้นจินตนาการ

สภาพสังคมในยุคโรแมนติกเป็นอย่างไร
Snow Storm ผลงานโรแมนติกอีกงานจาก Turner

หรือถ้าเป็นภาพประวัติศาสตร์ ก็จะบวกเพิ่มความฮึกเหิม ความสลดหดหู่ ความเศร้า ความน่ากลัวเพิ่มเข้าไปเกินความจริง ถือเป็นอีกหนึ่งการแสดงออกทางแนวคิดของลัทธิโรแมนติก

Romanticism ในมุมวรรณกรรม

ศิลปะที่เด่นที่สุดในยุคโรแมนติกก็คือด้านวรรณกรรมนี่แหละ ถือเป็นยุคที่ศิลปินสามารถแสดงออกทางความต้องการ ทัศนคติ ความชอบของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ บางคนพรรณนาถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่สวยงามในชนบท ความน่าหลงใหลของธรรมชาติ ที่ส่วนใหญ่จะเน้นจินตนาการส่วนตัวของผู้เขียน

Romanticism ในมุมดนตรี

ด้านดนตรี ถือว่าเป็นยุคทองของโอเปราในยุโรปก็ว่าได้ ศิลปินที่โดดเด่นคือ ลุดวิก แวน บีโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) เขาได้นำสไตล์ดนตรีคลาสสิกแบบโมสาร์ทมาพัฒนาให้เป็นความโรแมนติก ไม่เดินตามรอยแบบเก่าๆ หาเทคนิคใหม่ๆ ทางดนตรี ทำให้มีลูกเล่นจนกลายเป็นเทคนิคชั้นสูง

แล้วแนวคิดโรแมนติกที่ดูจะสุดโต่ง มันส่งผลดีหรือเสียมากกว่ากัน?

เมื่อดูจากภาพแล้ว โรแมนติกเป็นยุคที่คล้ายๆ การมองสิ่งของหรือสถานการณ์เป็น ขาว-ดำ คือ ถ้าอยากพรรณนาถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะมีแต่เพียงด้านมืดหรือด้านสว่างเท่านั้น ไม่ได้นำเสนอในรูปแบบเทาๆ เพื่อให้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของสิ่งๆ นั้น คล้ายๆ กับความคิดแบบอุดมคติ ถ้ามีความรักก็จะมีความสุขทุกวัน มีคนคอยเป็นเพื่อนและเข้าใจ พรรณนาให้เห็นแต่ความสวยงามของความรัก ทั้งที่ความจริงแล้วความรักมักมาพร้อมกับความทุกข์ ไม่ใช่มีแต่สุขแบบความโรแมนติกเท่านั้น

หรือการที่คนชอบนำเสนอแต่ความสวยงามของความเป็นชนบท อยู่กับธรรมชาติแล้วชีวิตดี ไม่เร่งรีบ ไม่มีมลพิษ แต่ถ้าลองคิดตามความเป็นจริงแล้ว เป็นแบบนั้นทุกด้านหรือ ต้องตอบว่าไม่ เราอาจจะลืมมองไปว่าข้อจำกัดของการใช้ชีวิตในชนบทอาจจะมีทั้งเรื่องการเดินทาง ความเจริญ สิ่งอำนวยความสะดวก ไปถึงสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ

มองในแง่ของศิลปะ ลัทธิโรแมนติกก็เหมือนเป็นการริเริ่มจินตนาการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสิ่งที่ดีกว่า แต่ลองหาความหมายจริงๆ ของมันแล้ว ไปๆ มาๆ เลยคิดได้ว่า อย่าโรแมนติกมากไปเลย มองอะไรให้เป็นสีเทาๆ แบบเรียลลิสติกบ้างจะดีกว่า