จากบทความ ค่าใช้จ่ายทางบัญชีและภาษี ผู้ประกอบการต้องรู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างค่าใช้จ่ายทางบัญชี ค่าใช้จ่ายทางภาษี รวมถึงค่าใช้จ่ายต้องห้าม ซึ่งได้อธิบายไปแล้ว 1 ประเภท ก็คือ "ค่าใช้จ่ายส่วนตัว" ที่ไม่ควรนำมาเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการกันแล้วนะคะ Show สำหรับบทความนี้จะอธิบายให้ผู้ประกอบการได้รู้จักกับค่าใช้จ่ายต้องห้ามอีก 1 ประเภทค่ะ นั่นก็คือ ค่ารับรอง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีอยู่เกือบทุกประเภทธุรกิจ หากถามว่าค่ารับรองเป็นค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าอะไร เชื่อว่าหลายคนคงตอบได้ว่า ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ได้เลี้ยงลูกค้าไปนั่นเองค่ะ
ให้เราอ่านให้ฟังทำไมค่ารับรองถึงเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามเพราะค่ารับรองอาจมีความคาบเกี่ยวกับการเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ แต่สรรพากรก็เข้าใจธรรมชาติของการทำธุรกิจดี จึงเปิดช่องให้ค่ารับรองนี้เป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่มีหลักเกณฑ์และจำนวนที่จำกัด ดังนั้นส่วนที่เกินจากหลักเกณฑ์จะถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หลักเกณฑ์ค่ารับรองที่สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ตามกฎหมาย1. ค่ารับรองนั้นต้องเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีทางธุรกิจทั่วไป เช่น พาลูกค้ามาเยี่ยมชมกิจการ แล้วมีการเลี้ยงรับรอง หรือการจ่ายค่าโรงแรมให้ลูกค้าที่บินมาเยี่ยมชมกิจการจากต่างประเทศ เป็นต้น 2. บุคคลที่ได้รับการรับรองต้องไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท ยกเว้นว่าลูกจ้างดังกล่าวมีหน้าที่ต้องเข้าร่วมในการรับรอง 3. ค่ารับรองนั้นต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงที่จะอำนวยประโยชน์แก่กิจการ โดยค่ารับรองสามารถแบ่งออกได้ 2 แบบ 3.1 ค่ารับรองที่เป็นค่าบริการ เช่น
3.2 ค่ารับรองที่ให้เป็นสิ่งของ
4. ค่ารับรองนั้นต้องมีกรรมการ หรือผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้จัดการ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวเป็นผู้อนุมัติและต้องมีหลักฐานของผู้รับเงิน เอกสารประกอบการจ่ายค่ารับรองเพื่อให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีและภาษี กิจการต้องจัดทำเอกสารประกอบการจ่ายค่ารับรอง ดังนี้
ตัวอย่างใบขออนุมัติเบิกค่ารับรอง ดาวน์โหลดเอกสาร ใบขออนุมัติเบิกค่ารับรอง การนำค่ารับรองมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีมูลค่าค่ารับรองที่บริษัทจ่ายไปสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้นั้น มีเงื่อนไขดังนี้ ตัวอย่าง
เปรียบเทียบทุนที่ชำระแล้ว ณ วันสิ้นงวด กับรายได้จากการขาย จำนวนที่สูงกว่าคือ รายได้จากการขาย ค่ารับรองตามเงื่อนไข 3,000,000 x 0.3 % = 9,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) เพิ่มเติม ภาษีซื้อค่ารับรองถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ไม่สามารถนำมาหักกับภาษีขาย หรือ ขอคืนได้ แต่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายได้ ดังนั้นมูลค่าค่ารับรองที่กฎหมายอนุญาตให้ถือเป็นรายจ่าย จะต้องเป็นมูลค่าที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผลกระทบทางภาษีสำหรับค่ารับรองส่วนที่เกินกำหนดคราวนี้เรามาดูกันค่ะว่า ค่ารับรองส่วนที่เกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จะส่งผลกระทบต่อการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตอนสิ้นปีอย่างไร ตัวอย่าง บริษัทแห่งหนึ่งทำธุรกิจผลิตสินค้า มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ชำระแล้วเต็มมูลค่า มีรายได้จากการขายสินค้า จำนวน 3,000,000 บาท ค่ารับรองจำนวน 110,000 บาท ประกอบด้วย
*ค่าใช้จ่ายข้างต้นทั้ง 3 รายการ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการคิดว่า ค่ารับรองดังกล่าวจะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ทั้งหมดหรือไม่? คำตอบคือ นำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เพียงบางส่วน เนื่องจากหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราจะแยกค่ารับรองออกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี กับ ค่าใช้จ่ายทางภาษีนะคะ ค่ารับรองนำไปเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี จำนวน 9,000 บาท คำนวณได้จาก 1. รายได้จากการขาย จำนวน 3,000,000 บาท ค่ารับรองตามกฎหมาย เท่ากับ 3,000,000 x 0.3% 9,000 บาท 2. ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว จำนวน 1,000,000 บาท ค่ารับรองตามกฎหมาย เท่ากับ 1,000,000 x 0.3% 3,000 บาท เปรียบเทียบค่ารับรองตามกฎหมายในข้อ 1 กับข้อ 2 โดยเลือกค่ารับรองที่สูงกว่า เพราะฉะนั้นค่ารับรองที่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี = 9,000 บาท ค่ารับรองส่วนที่เกิน ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม ค่ารับรองส่วนที่เกิน = ค่ารับรองทางบัญชี - ค่ารับรองทางภาษี ค่ารับรองส่วนที่เกิน = 110,000 - 9,000 ค่ารับรองส่วนที่เกิน = 101,000 บาท ถ้าเราคำนวณกำไรสุทธิทางบัญชี บริษัทจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 290,000 บาท แต่ กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีจะต้องคำนวณจากกำไรสุทธิทางภาษี จะเท่ากับ 391,000 บาท ในทางปฏิบัติ นักบัญชีจะคำนวณหากำไรสุทธิทางบัญชี แล้วจึงนำค่ารับรองส่วนที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไปปรับปรุง บวกกลับ ในแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (แบบ ภ.ง.ด.50) โดย บริษัทต้องเสียภาษีจากกำไรสุทธิส่วนที่เกินจาก 300,000 บาท* ในอัตรา 15% คำนวณภาษีที่ต้องเสีย = 91,000 x 15% = 13,650 บาท *กำไรสุทธิ จำนวน 300,000 บาท บริษัทได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ เนื่องจากบริษัทเข้าเงื่อนไขของ SMEs (สามารถดูคำอธิบายได้ในบทความ ค่าใช้จ่ายทางบัญชีและภาษี ผู้ประกอบการต้องรู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร) สรุปจากตัวอย่างบริษัทจ่ายค่ารับรอง จำนวน 110,000 บาท แต่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เพียง 9,000 บาท ผลต่างถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามจำนวน 101,000 บาท เนื่องจากค่ารับรองดังกล่าวเกินกว่าหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่กำหนด ทำอย่างไรไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายต้องห้ามผู้ประกอบการควรวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ โดย
หากผู้ประกอบการสามารถทำได้ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ค่ารับรองที่จ่ายไปก็จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ทั้งหมดค่ะ |