Show สำหรับนักธุรกิจหรือนักการตลาดมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์นั้นอาจจะยังมีคำถามอย่างเช่น การ Social Media มีอะไรบ้าง และเกี่ยวกับข้อแนะนำว่าหากเริ่มต้นทำธุรกิจแล้วต้องการนำธุรกิจเข้าสู่โลกออนไลน์นั้น ควรเริ่มจากการทำ Social Media ช่องทางใดบ้างเพื่อใช้ในการโปรโมตสินค้าและแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง วันนี้เราจะมาตอบคำถามที่ว่า Social Media มีอะไรบ้าง รวมถึงแนะนำ Social Media ที่น่าสนใจ ง่ายต่อการใช้งานสำหรับธุรกิจเริ่มต้นให้ Social Media มีอะไรบ้าง? Social Media นั้นเป็นชื่อเรียกรวม ๆ ของ “สื่อสังคม” ซึ่งใช้แทนการเรียกชื่อสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ที่มีการสร้างเครือข่ายของผู้ใช้งานจำนวนมากทั้งในประเทศและระดับโลก หากถามว่า Social Media มีอะไรบ้าง ก็คงต้องบอกว่าสื่อออนไลน์ที่เราใช้ในการติดต่อสื่อสารกันนั้น ถือว่าเป็น Social Media ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
นอกจากนี้แล้ว Social Media ก็ยังรวมไปถึง Youtube, Twitter, Pinterest, IGTV, LinkedIn และอีกมากมายที่เป็นแพลตฟอร์มซึ่งก่อให้เกิดการพูดลุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน Tinder เองก็นับว่าเป็น Social Media ด้วยเช่นกัน สำหรับธุรกิจใหม่ ควรเริ่มทำ Social Media แพลตฟอร์มไหนบ้าง? นอกจากจะรู้ไปแล้วว่า Social Media มีอะไรบ้าง สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัว หรือเพิ่งเริ่มต้นก้าวเข้าสู่สังคมออนไลน์นั้น ก็ควรเริ่มต้นด้วยการใช้แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายในการทำการตลาด ซึ่งเราขอสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์เบื้องต้นไว้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
หากไม่รู้จะเริ่มต้นทำ Social Media จากแพลตฟอร์มใด ก็สามารถลองเริ่มต้นได้จาก 3 แพลตฟอร์มนี้ก่อนได้ แล้วจึงค่อย ๆ เก็บข้อมูลและขยับขยายในภายหลัง เมื่อคุณรู้แล้วว่า Social Media มีอะไรบ้าง และควรเริ่มทำการตลาดออนไลน์จากตรงไหน ก็หวังว่าคุณจะสามารถนำธุรกิจของคุณเข้าสู่โลกออนไลน์ได้อย่างดีเยี่ยม ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ 9. Podcasting หรือ Podcast มาจากการรวมตัวของสองคำ คือ “Pod” กับ“Broadcasting” ซึ่ง“POD” หรือ PersonalOn – Demand คือ อุปสงค์หรือความต้องการส่วนบุคคล ส่วน“Broadcasting”
เป็นการนำสื่อต่างๆ มารวมกันในรูปของภาพและเสียง หรืออาจกล่าวง่ายๆPodcast คือ การบันทึกภาพและเสียงแล้วนำมาไว้ในเว็บเพจ (Web Page) เพื่อเผยแพร่ให้บุคคลภายนอก (The public in general) ที่สนใจดาวน์โหลดเพื่อนำไปใช้งาน เช่น Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast ประโยชน์และข้อจำกัดของสังคมออนไลน์ แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในคริสต์ศตวรรษที่21มีแนวโน้มที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มี ความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ เช่น การเข้าภาษาสื่อสารของมนุษย์ โครงข่ายประสาทเทียม ระบบจำลอง ระบบเสมือนจริง โดยพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้นลดข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้นำไป ใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย แนวโน้มในด้านบวก • การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ช่องทางการดำเนินธุรกิจ เช่น การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง และบันเทิงต่างๆ เกมออนไลน์ • การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถฟังและตอบเป็นภาษา พูดได้ อ่านตัวอักษรหรือลายมือเขียนได้ การแสดงผลของคอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง เป็นแบบสามมิติ และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เสมือนว่าได้อยู่ในที่นั้นจริง • การพัฒนาระบบสารสนเทศ ฐานข้อมูล ฐานความรู้ เพื่อพัฒนาระบบผู้เชี่ยวชาญและการจัดการความรู้ • การศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) การเรียนการสอนด้วยระบบโทรศึกษา (tele-education) การค้นคว้าหาความรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน (virtual library) • การพัฒนาเครือข่ายโทร คมนาคม ระบบการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายดาวเทียม ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถค้นหาตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ • การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ ดำเนินการของภาครัฐที่เรียกว่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน หรือ e-citizen • ความผิดพลาดในการทำงานของระบบ คอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบและพัฒนา ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา • การละเมิดลิขสิทธิ์ของทรัพย์สินทางปัญญา การทำสำเนาและลอกเลียนแบบ • การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ การโจรกรรมข้อมูล การล่วงละเมิด การก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ อ้างอิงจาก : http://smforedu.blogspot.com/2014/02/blog-post.html กลุ่มผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์สร้างและประกาศตัวตนสร้างและประกาศผลงาน
ความชอบหรือคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกัน
เวทีทำงานร่วมกัน
ประสบการณ์เสมือนจริง
เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ
เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้
อ้างอิงจาก http://thedctmike.blogspot.com/2013/01/technology-lesson-5_22.html เนื่องด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปตามความความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากนิยมใช้บริการเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสาร แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำกิจกรรมต่างๆบนโลกออนไลน์ เป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ใช้งาน Facebook และ Twitter ในประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้มิจฉาชีพมีความพยายามที่จะสร้างภัยให้แก่ผู้บริโภคเครือข่ายสั่งคนออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น ซึ่ง Impersonation นับเป็นภัยหนึ่งที่ผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์จะมีโอกาสประสบเจอ Impersonation คืออะไร? Impersonation คือ ภัยที่เกิดขึ้นจากการที่มิจฉาชีพสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ปลอมเพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นเชื่อว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวเป็นของผู้นั้นจริง โดยผู้ที่ทำการลอกเลียนแบบเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น จะพยายามสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้มีรูปลักษณ์คล้ายกับของผู้ที่ถูก Impersonation ส่งผลให้ผู้ใช้บริการคนอื่นเข้าใจผิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของผู้ที่ถูกทำ Impersonation และอาจส่งกระทบในทางลบต่อผู้ที่ถูกทำ Impersonation ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ จะทำอย่างไรเมื่อประสบภัย Impersonation ? จากที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เราทราบถึงรายละเอียดของภัย Impersonation ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สำหรับในหัวข้อนี้จะแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติเมื่อท่านตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation ตามรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ใน Twitter การที่มีคนติดตาม (Follow) ระบบจะมีกล่องข้อความแจ้งให้เราทราบ โดยผู้ใช้ไม่ควรยกเลิกการแสดงข้อความดังกล่าว เพราะจะเป็นหลักฐานว่ามีใครบ้างที่ติดตามเรา ซึ่งโดยปรกติแล้ว ผู้ที่กระทำ Impersonation จะทำการติดตามผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation เพื่อสังเกตพฤติกรรมและคอยติดตามลักษณะการพูดคุยและการดำเนินชีวิตประจำวันบนโลกออนไลน์ของบุคคลดังกล่าว ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้ 2. ควรดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานทันที เมื่อทราบว่ามีผู้กระทำ Impersonation โดยอ้างอิงชื่อเราเป็นอันดับแรก 3. หลังจากดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ควรจะแจ้งให้ผู้ใช้อื่นที่ติดตามเราในเครือข่ายทราบว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวไม่ใช้ตัวตนของเราพร้อมแจ้งให้ทราบว่าการสนทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการสนทนาของเรา 4. ดำเนินการแจ้งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ยกตัวอย่างเช่น สำนักงานกำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการออกหนังสือในการยื่นคำร้องขอ IP Address จากทางบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อเป็นหนึ่งในหลักฐานในการสืบหาตัวผู้กระทำผิดและเป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป อ้างอิงจาก http://www.etcommission.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=200&Itemid=183&lang=th |