นักวิชาการจัดเก็บรายได้ ทําอะไรบ้าง pantip

บทความดี ๆ จากพันทิป https://m.pantip.com/topic/36768101?

Posted by แนวข้อสอบนักวิชาการจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ อปท. กทม. on Tuesday, May 7, 2019

#สะพานส่งน้ำของโรมัน
.
ชาวโรมันได้ให้อะไรกับพวกเราบ้างจนถึงทุกวันนี้
ข้อเท็จจริงจำนวนมากยังคงค้างคาอยู่ในใจ
แต่มีรูปแบบวิศวกรรมอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่
และเป็นตัวอย่างของการปฏิวัติทางวิศวกรรม คือ สะพานส่งน้ำโรมัน

ถ้าเดินทางไปทั่วยุโรปและเขตตะวันออกกลาง
จะสามารถพบเห็นตัวอย่างสะพานส่งน้ำ
บางแห่งยังสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี
น้าพุ Trevi Fountain ในโรม
ก็ยังคงได้รับน้ำจากสะพานส่งน้ำโบราณ
(แม้ว่าปัจจุบันจะใช้ปั้มน้ำแรงดันสูงแทน)
สะพานส่งน้ำตามที่คนทั่วไปคิดและเห็นภาพส่วนใหญ่
คือ สะพานหินขนาดใหญ่ มีส่วนโค้งไว้รับน้ำหนักในบางจุด
ใช้ประโยชน์ในการส่งน้ำในอดีต

สะพานส่งน้ำเป็นเครือข่ายของการทำงานภาคพื้นดิน
โดยท่อน้ำและโครงสร้างอื่น ๆ ถูกออกแบบ
ให้มีการนำน้ำมาจากแหล่งน้ำที่คัดเลือกไว้แล้ว
ไม่ใช่มีแค่เพียงก้อนอิฐก้อนหินในรูปสะพานอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
เพราะสะพานส่งน้ำระยะไกลนั้นใช้หลักแรงโน้มถ่วง
หลักการเรียบง่ายแต่สร้างสรรค์

สะพานส่งน้ำวิธีการสร้างที่ง่ายที่สุด คือ การขุดพื้นดินขึ้นมาใช้งาน
บางครั้งก็ส่งน้ำวิ่งผ่านอุโมงค์ที่ก่อสร้างไว้ใต้ดิน
เหมือนระบบส่งน้ำประปาในยุคปัจจุบัน
.
สะพานส่งน้ำแห่งแรก

สะพานส่งน้ำแห่งแรกไม่ได้เริ่มต้นที่โรมันยุคโบราณ
มีหลายวัฒนธรรมโบราณที่มีอารยะธรรม
ต่างได้พัฒนาระบบวิศวกรรมแบบเดียวกัน

Crete ก็มีระบบส่งน้ำที่เรียบง่ายในยุค Minoan

อียิปต์ และจีน ทั้งสองชาติก็มี Quanats/Qanats ที่ส่งน้ำใต้ดิน

แม้แต่วัฒระบบคลองส่งน้ำแห่งแรก มีในยุคอาณาจักร Assyrians ในช่วงศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตศักราช
ต่อมา ในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตศักราช Sennacherib ราชันย์ Assyrian
ได้สร้างคลองขนาดยาว 920 ฟุต (280 เมตร )
บนก้อนหินขาว เพื่อนำน้ำมาใช้ในเมือง Nineveh ผ่านสะพานส่งน้ำ Jerwan
ซึ่งเป็นสะพานส่งน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกเหนือพื้นดินนธรรม Aztec โบราณก็มีเทคโนโลยีดังกล่าว
ก่อนที่กรุงโรมจะมีสะพานส่งน้ำ
ชาวโรมันใช้แหล่งน้ำจากท้องถิ่น เช่น น้ำพุและลำธาร
หรือจากแหล่งน้ำใต้ดินที่เป็นบ่อน้ำส่วนตัวหรือบ่อน้ำของรัฐ
ในช่วงฤดูฝนก็จะมีการเก็บกักน้ำฝนที่ระบายจากหลังคา
ไว้ในขวด/อ่าง/หรือภาชนะเก็บน้ำเหมือนปัจจุบัน
แต่ชุมชนชาวโรมมีปัญหาในเรื่องน้ำเป็นอุปสรรค
ที่ขัดขวางความก้าวหน้าและการพัฒนาคุณภาพชีวิต

ในยุคต้นของจักรวรรดิ์โรม
สะพานส่งน้ำของโรมันได้ให้บริการน้ำประชากรกว่า 1 ล้านคน
เพื่อใช้สำหรับการอาบน้ำ น้ำพุ และสุขาภิบาล
ก่อนการสร้างสะพานส่งน้ำ
วิศวกรชาวโรมันจะค้นหาแหล่งน้ำดิบ
ที่มีคุณภาพเป็นการเบื้องต้นก่อน
ความสะอาด ความใส อัตราการไหล และรสชาติของน้ำ
และจะบันทึกตรวจสอบเงื่อนไขทางกายภาพ
จากคนท้องถิ่นที่ดื่มกินน้ำดังกล่าวเป็นการเบื้องต้นก่อน
เมื่อสรุปได้ว่าจะใช้แหล่งต้นน้ำที่ใดแล้ว
นักสำรวจจะสำรวจ/คำนวณหาเส้นทางที่เหมาะสม
และการไล่ระดับของการส่งน้ำ
เช่นเดียวกันขนาดท่อและความยาว

แหล่งน้ำพุตามธรรมชาติมักจะใช้กับสะพานส่งน้ำ
แต่มีบางแห่งที่ใช้อ่างเก็บน้ำเป็นแหล่งน้ำในการนี้
เช่น อ่างเก็บน้ำ 2 แห่งที่ยังใช้ในสเปน
ที่Emerita Augusta https://goo.gl/XJNQm2

วิศวกรชาวโรมันใช้ Chorobates
เครื่องมือวัดระดับน้ำและความลาดเอียงของพื้นที่
ด้วยอุปกรณ์ที่ทำมาจากไม้เหมือนโต๊ะที่มีหลุมตรงกลาง
เพื่อใช้เป็นตัววัดระดับน้ำและความลาดเอียงของพื้นที่
โดยใช้ร่วมกับตัว Groma ที่ใช้ในการสำรวจวัดระดับเส้นทาง
สะพานส่งน้ำมักจะขุดลึกลงไปจากระดับพื้นดินราว 0.5-1 เมตร
ในระยะแรกมักจะปูด้วยก้อนหินสี่เหลี่ยมที่ตัดเป็นก้อน ๆ ปูไว้
ในยุคจักรวรรดิ์โรมันเริ่มใช้อิฐเผาที่เคลือบคอนกรีตไว้แทน
เฉพาะช่วงที่ต้องยกระดับการลาดเทจึงจะสร้างสะพาน

Vitruvius สถาปนิก/วิศวกรโรมันได้เสนอ Julius Caesazar ว่า
ความลาดชันของคลองไม่ควรน้อยกว่า 1/4,800
เพื่อป้องกันความเสียหายของโครงสร้าง
Vitruvius ชอบท่อน้ำดินเผามากกว่าท่อน้ำตะกั่ว
ชาวโรมันรู้ถึงอันตรายสารพิษจากตะกั่ว
แต่รู้ว่าในน้ำไหลตลอดเวลาจะมีอันตรายน้อยกว่า
.
หลังจากการก่อสร้างแล้วต้องมีการบำรุงรักษาและซ่อมแซม
กรุงโรมต้องจ้างคนงานกว่า 700 คนสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
ด้วยการออกแบบช่องทางการบำรุงรักษาและซ่อมแซมไว้ในครั้งแรกเลย
ทางส่งน้ำใต้ดินจะสามารถเข้าไปซ่อมแซมได้ด้วยทางเดินและบ่อพักน้ำ
ทำให้วิศวกรสามารถระบายน้ำออกไปจากส่วนที่เสียหายได้เป็นการชั่วคราว
เพื่อเข้าไปซ่อมแซมและบำรุงรักษาให้เหมือนเดิม

ความยาวของสะพานส่งน้ำ(ประปา)รวมทุกเส้นในกรุงโรม
ประมาณการว่า 490-500 ไมล์อย่างต่ำ
มีระยะทางราว 29 ไมล์ (47 กิโลเมตร)
ที่อยู่เหนือระดับพื้นดินเพื่อการส่งน้ำ
ประมาณการว่าส่งน้ำให้พลเมืองในกรุงโรม 1 ล้านคน
ได้ถึงวันละ 1 ล้านลูกบาศก์เมตร (300 ล้านแกลลอน)
มีประสิทธิภาพเป็น 1.26 เท่าของระบบประปา
ใน Bangalore ที่มีประชากร 6 ล้านคน

ระบบสะพานส่งน้ำโรมันที่ยาวที่สุด
เชื่อว่าอยู่ใน Constantinople (ตุรกีในปัจจุบัน)
มีความยาวเป็น 2.5 เท่าของที่พบใน Carthage และ Cologne
นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าสะพานส่งน้ำคือ
ความสำเร็จที่โดดเด่นมากในสังคมก่อนยุคอุตสาหกรรม
หลังการล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมัน
สะพานส่งน้ำมีทั้งที่ถูกทำลายลงด้วยความจงใจ
หรือพังทะลายเพราะธรรมชาติ/ขาดการดูแลซ่อมแซม

ทำให้ประชากรในกรุงโรงลดลงจาก 1 ล้านคน
เหลือเพียง 1-2 แสนคนในช่วงคริสตศักราช 537
นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชาวสเปน
Pedro Tafur https://goo.gl/Y9zzAW
ที่ได้เดินทางไปเยี่ยมกรุงโรมในปี 1436
ได้วิเคราะห์และเข้าใจผิดเกี่ยวกับสะพานส่งน้ำของโรมันว่า

“ ใจกลางเมืองมีแม่น้ำสายหนึ่ง
ที่ชาวโรมันทำมันขึ้นมาจากแรงงานจำนวนมากและผ่ากลางเมือง
และมันคือแม่น้ำ Tiber ที่พวกเขาทำเป็นที่พักน้ำจากแม่น้ำ
มีคำกล่าวว่า เป็นการชักน้ำเข้าเมือง
และเป็นหนึ่งในลำคลองหลายสาย
ที่เป็นทางเข้าออกของน้ำในเมือง
น้ำทั้งสองสายนี้ใช้สำหรับให้ม้าดื่มน้ำ
และการใช้งานอย่างอื่น ๆ สำหรับพลเมืองที่ใกล้กับแหล่งน้ำ
และใครก็ตามที่หล่นลงไปบางจุดของแม่น้ำอาจจะจมน้ำตาย ”

นี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริงของวิศวกรโรมัน
แม้ว่าบางส่วนระบบประปายังมีการใช้งานถึง 2,000 ปีต่อมา
มันได้กลายเป็นโครงสร้างที่โดดเด่นในตัวของมันเอง
และระบบประปาที่ทันสมัยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
ก็พัฒนาลอกเลียนแบบตามโรมัน

.
เรียบเรียง/ที่มา

.
https://goo.gl/kNj7VT
https://goo.gl/3JSHW2
เครดิต พี่ ravio maครับ
https://pantip.com/topic/35888319
_________________________
#เพจภาพและเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ

 

Dec 2, 2022 ไม่เอื้อแน่นะ! “อาคม” ยืนยันเก็บภาษีขายหุ้นไม่กระทบภาพรวมตลาด รายย่อย ไม่เอื้อนักลงทุนรายใหญ่
.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ (FTT) ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา เฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการออมเพื่อเกษียณอายุ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนที่ 4 ถัดจากเดือนที่พระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา (Grace Period ประมาณ 90 วัน)
.
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่ากระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และต้องการลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยกเว้นการจัดเก็บมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โดยแบ่งการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะเป็น 2 ช่วง ในอัตรา ดังนี้
- ช่วงที่ 1 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.05 (ร้อยละ 0.055 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
- ช่วงที่ 2 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.1 (ร้อยละ 0.11 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
.
ทั้งนี้ ยังคงการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่
1. ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น
2. สำนักงานประกันสังคม
3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
5. กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
7. กองทุนการออมแห่งชาติ
8. กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3 - 7 เท่านั้น
.
ในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีนี้กฎหมายได้กำหนดให้สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ (Broker) ที่เป็นตัวแทนของผู้ขายมีหน้าที่หักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขายและยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษีในนามตนเองแทนผู้ขาย โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก
.
โดยการยกเลิกการยกเว้นภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงขึ้นจากร้อยละ 0.17 เป็นร้อยละ 0.22 แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยต่ำกว่าของมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.29 และของฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.38 แต่อาจสูงกว่าของสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.20 เล็กน้อย
.
ทั้งนี้ในปีแรกของการจัดเก็บภาษีที่มีการลดอัตราภาษีเหลือ ร้อยละ 0.055 ต้นทุนดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 0.195 ซึ่งใกล้เคียงกับของสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีดังกล่าวนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะยาว
.
จากที่ได้มีการนำเสนอข่าวการเก็บภาษีหุ้น ว่าจะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ เป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริง คือ มิได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กับกองทุนบำนาญ โดย Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ทําการเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Market Maker ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ตามที่ข่าวได้นำเสนอ ซึ่งการยกเว้นดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และอิตาลี
.
สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าบุคคลธรรมดา นักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เอง (ไม่ใช่บัญชี Market Maker) จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3VNNZOG
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#ภาษีขายหุ้น #หุ้น #ภาษีหุ้น #คลัง #BTimes

 

ทำไมถึงทำกับแมงเม่าขนาดนี้! ซื้อหุ้นก็ติดสารพัดดอย ไม่ขายก็เงินจม พอจะขายแมงเม่าต้องจ่ายภาษีหุ้น แต่ทำไมรายใหญ่ได้ยกเว้น?
.
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กระแสมติคณะรัฐมนตรี ที่อนุมัติกฎหมายเก็บภาษีขายหุ้นเป็นที่ฮือฮาและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย เพราะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับบรรดานักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยในตลาดบ้านเรา
.
ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าไทยจะมีการเก็บภาษีขายหุ้นจากนักลงทุน โดยการเก็บภาษีขายหุ้น หรือ Financial Transaction Tax ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดเก็บนั้น รัฐประเมินแล้วว่าในปีแรกจะเก็บได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท (จากการจัดเก็บที่อัตรา 0.055%) และ ในปีต่อๆ ไปคาดว่าจะจัดเก็บได้ประมาณปีละ 16,000 ล้านบาท (จากการจัดเก็บที่อัตรา 0.11%)
.
<<ทำไมถึงต้องเก็บภาษีขายหุ้น>>
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 ธ.ค.)ได้มีการชี้แจงเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีขายหุ้นโดยละเอียด ซึ่งนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ครม. ได้เห็นชอบให้มีการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการออมเพื่อเกษียณอายุ
.
<<การจัดเก็บ เริ่มเก็บตั้งแต่บาทแรก>>
การเก็บภาษีขายหุ้นจะเก็บจากธุรกรรมการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ นับตั้งแต่บาทแรก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเพียงแต่ช่วงแรกจนถึงสิ้นปี 2566 จะจัดเก็บที่อัตรา 0.055% เท่ากับว่า หากนักลงทุนขายหุ้น 100 บาท ก็จะเสียภาษี 0.055 บาท หรือขายหุ้น 1,000 บาท ก็จะเสียภาษี 0.55 บาท หรือขายหุ้น 10,000 บาท ก็จะเสียภาษี 5.5 บาท หรือขายหุ้น 100,000 บาท ก็จะเสียภาษี 55 บาท หรือขายหุ้น 1 ล้านบาท ก็จะเสียภาษี 550 บาทนั่นเอง ส่วนปีต่อๆ ไปก็จะจัดเก็บที่ "ล้านละ 1,000 บาท"
.
<<จะเริ่มเก็บเมื่อไร??>>
ตามร่างพระราชกฤษฎีกาตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ฉบับที่… พ.ศ. …. ที่กระทรวงการคลังเสนอ มีการกำหนดช่วงระยะเวลาผ่อนผัน (Grace period) เพื่อให้เวลาบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ต่างๆ ในการทำระบบข้อมูล และเตรียมพร้อมเรื่องการนำส่งภาษีให้กับกรมสรรพากรเป็นเวลา 90 วัน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ หรือถ้านับก็จะเริ่มเก็บในวันที่ 1 ของเดือนที่ 4 หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้นั่นเอง
.
ดังนั้น หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ได้ อย่างเร็วที่สุดคือตั้งแต่เดือน ธ.ค.2565 นี้ การเก็บภาษีขายหุ้นก็จะเริ่มได้ในเดือน มี.ค.2566 ลักษณะการเก็บภาษีประเภทนี้จะจัดเก็บเหมือนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ผู้จัดเก็บจะต้องนำส่งกรมสรรพากรทุกเดือน ดังนั้น จึงคาดว่าน่าจะเริ่มได้ในเดือน เม.ย.2566 หรือตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2566 เป็นต้นไป
.
<<คลังแจงรายละเอียดชัดๆ>>
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยกเว้นการจัดเก็บมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โดยแบ่งการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะเป็น 2 ช่วง ในอัตรา ดังนี้
* ช่วงที่ 1 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.05 (ร้อยละ 0.055 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
* ช่วงที่ 2 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.1 (ร้อยละ 0.11 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
.
ทั้งนี้ ยังคงการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่
1. ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น
2. สำนักงานประกันสังคม
3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
5. กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
7. กองทุนการออมแห่งชาติ
8. กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3–7 เท่านั้น
.
ขณะที่ในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีนี้ กฎหมายได้กำหนดให้สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ (Broker) ที่เป็นตัวแทนของผู้ขายมีหน้าที่หักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขายและยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษีในนามตนเองแทนผู้ขาย โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีกให้ยุ่งยาก
.
<<เก็บภาษีขายหุ้นจะยิ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดหายไปหรือไม่?>>
ก่อนหน้านี้นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพได้เคยส่งจดหมาย เปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เบรกการจัดเก็บภาษีขายหุ้นออกไปในช่วงที่ตลาดผันผวนปั่นป่วน เพราะมองว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน
.
ส่วนนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และอดีตประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ไม่เห็นด้วยเพราะจะทำให้สภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อนักลงทุนทั่วไป ทำให้การซื้อขายหลักทรัพย์มีความคล่องตัวน้อยลง ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคธุรกิจ ทำให้การระดมทุนในตลาดหุ้นทำได้ยากขึ้น และทำให้ต้นทุนทางการเงินของการระดมทุนสูงขึ้น
.
<<ยอมรับต้นทุนการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น>>
อธิบดีกรมสรรพากร ยอมรับว่าการยกเลิกการยกเว้นภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ ของไทยสูงขึ้นจากร้อยละ 0.17 เป็นร้อยละ 0.22 แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยต่ำกว่าของมาเลเซีย ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.29 และของฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.38 แต่อาจสูงกว่าของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.20 เล็กน้อย ซึ่งในปีแรกของการจัดเก็บภาษีที่มีการลดอัตราภาษีเหลือร้อยละ 0.055 ต้นทุนดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 0.195 ซึ่งใกล้เคียงกับของสิงคโปร์ แค่คาดว่าการจัดเก็บภาษีดังกล่าวนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะยาว

ส่วนเรื่องข้อกังวลว่าหลังจากเก็บภาษีขายหุ้นแล้ว จะทำให้ไทยไม่สามารถเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคได้นั้น หากไปดูประเทศที่เป็นศูนย์ทางการเงินในปัจจุบัน ต่างก็จัดเก็บภาษีดังกล่าวเช่นกัน โดยฮ่องกง จัดเก็บในอัตรา 0.13% เกาหลีใต้ จัดเก็บที่ 0.23% และยังจัดเก็บภาษีจากกำไรการซื้อขายหุ้น (Capital gain) ด้วย
.
“คลังมั่นใจว่าวันนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว และนับเป็นความกล้าหาญของรัฐบาล และมั่นใจว่าตลาดทุนไทยมีความเข้มแข็ง พิจารณาจากวันที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับหลักการเรื่องนี้ ดัชนี SET Index ยังยืนบวกอยู่ได้สะท้อนว่านักลงทุนไม่ได้เพนิกมาก ดังนั้นการจัดเก็บภาษี FTT ควรจะนำกลับมาบังคับใช้ให้เป็นสากล”
.
<<คลังยืนยัน ไม่ได้เอื้อรายใหญ่>>
ก่อนหน้าวันแถลงข่าวต่างก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า จะมีการยกเว้นภาษีขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายใหญ่เพราะมีส่วนสำคัญในการหนุนสภาพคล่องให้ตลาดนั้น อธิบดีกรมสรรพากร ได้ปฏิเสธว่า เป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริงคือมิได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กับกองทุนบำนาญ โดย Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ทําการเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Market Maker ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ตามที่ข่าวได้นำเสนอ
.
“วันนี้บัญชีซื้อขายหุ้นไทยมีประมาณ 5 ล้านบัญชี แอ็กทีฟอยู่ราว 1 ล้านบัญชี หรือประมาณ 11% ราว 1 แสนคนที่เทรดหุ้นอยู่ 95% ส่วนหุ้นอีก 5% เทรดอยู่ครอบคลุมคนอีก 89% เพราะฉะนั้นกระทบต่อนักลงทุนไม่มาก แต่กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเสียงดังหน่อยจึงเกิดประเด็นขึ้นมาบ้าง แต่หากได้ทำความเข้าใจกันแล้ว ผู้เสียภาษีก็น่าจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น" นายลวรณ กล่าว
.
หากมองในแง่ดีก็คือ ภาษีขายหุ้นจะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ และทำให้นักลงทุนระยะยาวมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ดีขึ้น จากการเก็งกำไรจะลดลง เพราะต้นทุนของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น ซึ่งมูลค่าในส่วนของนักลงทุนเก็งกำไรจะลดลงอย่างน้อย 10–15% แน่นอนว่าย่อมมีผลต่อมูลค่าการซื้อในอนาคตที่มีโอกาสจะลดลงตามมา ความคึกคักก็น้อยลง ดังนั้นบรรดานักลงทุนก็ต้องดูให้ยาวๆ ว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดมากน้อยแค่ไหน
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3Fjjpa6
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#ภาษีหุ้น #ภาษี #ลงทุน #ซื้อขาย #หุ้น #เล่นหุ้น #การคลัง #การเงิน #ภาษีขายหุ้น #เศรษฐกิจ #ประเทศไทย #BTimes

 

นักวิชาการจัดเก็บรายได้ ทําอะไรบ้าง

วิชาการ วิชาการจัดเก็บรายได้ ๆ สายงานนี้คลุมถึงตำแหน่งต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานวิชาการจัดเก็บรายได้ ซึ่งมีลักษณะ งานที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และเสนอแนะทางการปรับปรุง การจัดเก็บภาษีต่าง ๆ วิธีการ จัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และรายได้อื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การตรวจรับแบบแสดง

เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ ใช้วุฒิอะไร

วุฒิการศึกษาที่สามารถสมัครตำแหน่งเจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ คือ วุฒิการศึกษาในระดับ ปวช. หรือ ปวท. หรือ ปวส. สาขาวิชาหรือทางบัญชี พาณิชยการ เลขานุการ การตลาด การขาย การธนาคารและธุรกิจการเงิน การจัดการ บริหารธุรกิจ การจัดการทั่วไป คอมพิวเตอร์ เศรษฐศาสตร์การเงิน เศรษฐศาสตร์ หรือทางอื่นที่ ก กลาง กำหนด

นักวิชาการพัสดุปฏิบัติการใช้วุฒิอะไร

1. ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชาหรือทาง กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การจัดการการคลัง พาณิชยศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ หรือในสาขาวิชาหรือทางอื่นที่ ก.จ., ก.ท. หรือ ก.อบต. กาหนดว่าใช้เป็นคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งนี้ได้

เจ้าหน้าที่กับนักวิชาการต่างกันยังไง

1.เจ้าพนักงานกับนักวิชาการต่างกันอย่างไง งานเหมือนกันไหม เงินเดือนเท่ากันไหม ต่างกันยังไง ตอบ... เจ้าพนักงานเป็นแท่งทั่วไป ใช้วุฒิ ปวส. สมัครสอบได้ครับ ส่วนนักวิชาการก็แท่งวิชาการ ใช้วุฒิปริญญาตรีสอบ เงินเดือนขั้นต้นก็ต่างกัน ทั่วไป 1 หมื่นต้น ๆ ส่วนวิชาการก็ 15,000 บาท 2.ตำแหน่งไหนมีความก้าวหน้ามากกว่ากัน