อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ของวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของการผลิตทั่วโลกอยู่ในประเทศจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งอเมริกาเป็นประเทศอันดับ 2 ที่มีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ในระดับอุตสาหกรรมและการใช้น้ำของโลกเป็นรองจากประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1,053 และ 1,145 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ อันเนื่องจากจำนวนประชากรและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปจากอดีตเช่นเดียวกับประเทศจีน โดยค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของสหรัฐอเมริกามาจากภาคการเกษตรกรรมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 84 จากภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 12 และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศร้อยละ 4 ดังภาพที่ 1  (World Wildlife Fund, 2012)

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 1 วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของประเทศสหรัฐอเมริกา

แหล่งที่มา :  World Wildlife Fund, 2012

 

สอดคล้องกับข้อมูลในปี ค.ศ.1997 ถึง ค.ศ.2001 ที่มีการศึกษาโดยศาสตราจารย์ Hoekstra   ผู้ริเริ่มการประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ ที่พบว่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการใช้ในน้ำในสินค้าการเกษตร ตามด้วยสินค้าอุตสาหกรรมและการใช้น้ำในครัวเรือน  (Chapagain, A.K. และ Hoekstra, A.Y., 2005) ซึ่งเป็นน้ำเสมือนที่ใช้จากภายนอก (external water footprint) ร้อยละ 80 ของค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ทั้งหมดของประเทศ

 

หากพิจารณาค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์แบ่งตามประเภทของวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีน้ำสีเขียว น้ำสีฟ้า และน้ำสีเทา แบ่งเป็นร้อยละ 70 ร้อยละ 11 และร้อยละ 19 ของค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ทั้งหมดตามลำดับ สืบเนื่องจากการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมของประเทศดังที่ได้กล่าวข้างต้นน้ำสีเขียวจึงเป็นประเภทน้ำที่พบมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกันกับประเทศแคนาดาและแมกซิโกที่ตั้งอยู่ในเขตทวีปอเมริกาเหนือ (World Wildlife Fund, 2012) โดยค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยต่อหัวประชากรของทั้ง 3 ประเทศแสดงดังภาพที่2 สหรัฐอเมริกามีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยต่อหัวประชากรมากที่สุดอยู่ที่ 2,842 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 1,385 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี หรือมากกว่าถึงเท่าตัว และสำหรับวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์อาหาร ประเทศสหรัฐอเมริกายังคงเป็นประเทศที่มีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์สูงที่สุดในทวีปอเมริกาหรือ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ กาแฟ ข้าว ไวน์ องุ่น ไข่ และถั่ว แสดงดังภาพที่ 3

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 2 วอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยต่อจำนวนประชากรของประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ

แหล่งที่มา :  World Wildlife Fund, 2012

 

ในส่วนของน้ำเสมือนที่ใช้จริงภายในประเทศ (virtual water) สหรัฐอเมริกา พบว่ามีน้ำเสมือนนำเข้าต่ำกว่าน้ำเสมือนที่ส่งออกหรืออีกนัยหนึ่งคือสหรัฐอเมริกามีการใช้ทรัพยากรน้ำของประเทศมากกว่าทรัพยากรน้ำจากต่างประเทศ แสดงดังภาพที่ 4

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 3 วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์อาหารในทวีปอเมริกาเหนือ

แหล่งที่มา :  World Wildlife Fund, 2012

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 4 น้ำเสมือนที่ใช้จริงภายในประเทศ (virtual water) สหรัฐอเมริกา

แหล่งที่มา :  World Wildlife Fund, 2012

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาทางด้านวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ การศึกษาค่าการบริโภคน้ำของโคเทียบกับเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ของ Beckett, J. L. และ Oltjen, J. W. (2011) เนื่องจากปัจจัยการเพิ่มจำนวนของประชากรที่มากขึ้นส่งผลต่อความต้องการบริโภคของเนื้อโคในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น โดยพบว่าเนื้อวัวไร้กระดูก 6.9 พันล้านกิโลกรัม ในประเทศสหรัฐอเมริกามีปริมาณการบริโภคน้ำถึง 25,325 พันล้านลิตรต่อปี คิดเป็น 3,682 ลิตรต่อเนื้อวัวไร้กระดูก 1 กิโลกรัม การศึกษาค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ปีกแปรรูป โดย Water Footprint Network (2005) พบว่า ประเทศสหรัฐอเมริกามีปริมาณการใช้น้ำต่อการผลิตเนื้อสัตว์ปีกแปรรูป 2,217 ลูกบาศก์เมตรต่อตัน แบ่งเป็นน้ำสีเขียว น้ำสีฟ้า และน้ำสีเทา เท่ากับ 1,728, 187 และ 303 ลูกบาศก์เมตรต่อตัน ตามลำดับ ลำดับถัดมาเป็นการศึกษาการใช้น้ำต่อการผลิตพาสต้าของบริษัทขนาดใหญ่ โดย Ruini,L. และคณะ (2013) ซึ่งการผลิตพาสต้าในสหรัฐอเมริกามีการใช้น้ำอยู่ที่ 1.584 ลิตรต่อกิโลกรัม แสดงดังภาพที่5 ซึ่งพิจารณาตั้งแต่การปลูกพืช กระบวนการผลิต การบรรจุ การขนส่ง ตลอดจนการปรุงอาหาร ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของการปลูกข้าวสาลีอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่พิจารณา แสดงดังภาพที่6 ในลำดับที่สาม การศึกษาวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของห่วงโซ่อาหารในเขตเมดิเตอร์เรเนียนโดย Capone R.,และคณะ (2014) และการศึกษาค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์และพืชของสหรัฐอเมริกา โดย Mesfin, M.M., และ Hoestra, A.Y., 2012

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 5 วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของข้าวสาลีของแต่ละพื้นที่ในโลก

แหล่งที่มา :  Ruini, L. และคณะ, 2013

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 6 วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของข้าวสาลีของแต่ละพื้นที่ในโลก

แหล่งที่มา :  Ruini,L. และคณะ, 2013

ในปี ค.ศ.2013 Innovation Center for US Dairy ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำรายงาน “U.S. Dairy’s Environmental Footprint” เพื่อรายงานเกี่ยวกับการประเมินวัฏจักรชีวิต หมายรวมถึงการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ขอผลิตภัณฑ์จากนม ในช่วงปี ค.ศ.2008 ถึง ค.ศ.2012 จากข้อมูลของ Capper การใช้ทรัพยากรในการผลิตนมในปี ค.ศ.2007 ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ การใช้น้ำและพื้นที่ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เทียบกับปี ค.ศ.1994  มีค่าสูงกว่ามาก แสดงดังภาพที่7 เมื่อพิจารณาการใช้น้ำในการผลิตนมตลอวัฏจักรชีวิต จะแบ่งเป็นน้ำจากการผลิตอาหาร การผลิตนมจากฟาร์ม กระบวนการผลิตในโรงงาน บรรจุ การขนส่ง การขาย และการบริโภค ดังตารางที่1  โดยค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของการผลิตนมมีค่าเท่ากับ 140 ลิตรต่อกิโลกรัม หรือคิดเป็น 144.2 แกลลอน ต่อ 1 แกลลอนนม และยังได้มีการศึกษค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของชีส พบว่าค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของชีส 1 กิโลกรัม มีค่าเท่ากับ 1.37 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 164 แกลลอนต่อ 1 ปอนด์ชีส(Innovation Center for US Dairy, 2013)

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

ภาพที่ 7 การใช้ทรัพยากรในการผลิตนมปี ค.ศ.2007 เทียบกับปี ค.ศ.1994

แหล่งที่มา :  Innovation Center for US Dairy, 2013

 

ตารางที่ 1 การใช้น้ำตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์นม

อุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาคือสิ่งใด

แหล่งที่มา :  Innovation Center for US Dairy, 2013

จากข้อมูลข้างต้นส่งผลให้ได้มีการตระหนักถึงความสำคัญในการบริโภคน้ำและการใช้น้ำในประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ จากการศึกษาทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐเนวาดา เป็นต้น กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างหนักและมีอัตราการขาดแคลนน้ำอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมากจากการเพิ่มตัวของประชากรอีกทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมากจากภาวะเรือนกระจกที่ทำให้อุณหภูมิภายในโลกสูงส่งผลให้ความต้องการในการใช้น้ำเพิ่มตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางการเกษตร (Ackerman, F., and Stanton A., 2011) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีความตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างอย่างต่อเนื่อง