Show
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศกัมพูชาพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่ประเทศกัมพูชา เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 8 อันเป็นช่วงที่อาณาจักรฟูนันกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ทางทิศใต้ของดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน อาณาจักรฟูนันเป็นอาณาจักรใหญ่ซึ่งมีสัมพันธไมตรีอันดีกับประเทศจีนและอินเดีย ดังนั้นจึงพลอยได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนานิกายมหายานจากประเทศทั้งสองด้วย แต่พระพุทธศาสนาก็ต้องเสื่อมโทรมลงเมื่ออาณาจักรกัมพูชาย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงพนมเปญและต้องทำสงครามขับเคี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา รวมถึงราชวงค์กัมพูชาเองก็เกิดการสู่รบแย่งชิงราชสมบัติกันด้วยพระพุทธศาสนาในประเทศกัมพูชาได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งในรัชสมัยของพระเจ้าหริรักษ์รามาธิบดีพระภิกษุได้รับการส่งเสริมให้มาศึกษาพระพุทธศาสนาในกรุงเทพฯ แล้วกลับไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ที่สำคัญคือมีการจัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมชั้นสูงขึ้นในกรุงพนมเปญ มีชื่อเรียกว่า ศาลาบาลีชั้นสูง และยังนำเอานิกายธรรมยุตจากเมืองไทยเข้ามาเผยแผ่ที่ประเทศกัมพูชาเป็นครั้งแรกอีกด้วยการนับถือพระพุทธศาสนาในประเทศกัมพูชาด้วยเหตุที่สภาพทางการเมืองของกัมพูชาไม่ไคร่มีความมั่นคงนัก โดยเฉพาะการสู้รบทำสงครามกลางเมืองระหว่างชาวเขมรด้วยกัน ทำให้พระพุทธศาสนาไม่เจริญถึงขั้นสูงสุด แต่อย่างไรก็ดีสถานการณ์พระพุทธศาสนาในกัมพูชาก็เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น หลังสงครามกลางเมืองเริ่มสงบลงใน พ.ศ.2543 รัฐบาลเขมรรวมทั้งพุทธศาสนิกชนชาวเขมรมีความพยายามที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศกัมพูชาขึ้นมาใหม่พร้อมๆกับการบูรณะฟื้นฟูประเทศการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเวียดนามประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับประเทศจีนมาแต่สมัยโบราณ โดยจีนเข้ามายึดเวียดนามเป็นเมืองขึ้นและปกครองเวียดนามอยู่หลายร้อยปี จนเวียดนามเกือบกลายเป็นรัฐหนึ่งของจีน ดังนั้นเมื่อจีนนับถือศาสนาอะไรศาสนานั้นก็จะเผยแผ่เข้ามาในเวียดนามด้วย เริ่มแรกอิทธิพลของลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื้อได้เผยแผ่เข้ามาสู่ประเทศเวียดนามก่อนจนถึง พ.ศ.732 คณะธรรมฑูตจากจีนหลายคณะจึงได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายมหายานในเวียดนาม อย่างไรก็ดีพระพุทธศาสนาในสมัยเริ่มแรกยังไม่เป็นที่นิยมนับถือกันอย่างแพร่หลายจนกระทั่ง พ.ศ.1512 เมื่อราชวงค์ดินห์ได้ขึ้นมามีอำนาจปกครองเวียดนาม พระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงได้รับการฟื้นฟูและได้รับการนับถือกันอย่างแพร่หลายมากขึ้นต่อไป ย้อนกลับ ในฐานะเป็นหมู่บ้านของชาวพุทธ วังฟ่อนดอทคอมขอยกบทความของ พระราชวิสุทธิกวี ที่ได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือ ทำไม พระพุทธศาสนา จึงเสื่อมจากอินเดีย เพื่อเป็นแนวทางการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่กับเราต่อไป ความเสื่อมของพระพุทธศาสนา ในอินเดีย พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง มูลเหตุที่ทำให้ พระศาสนาเสื่อม เพราะพระสัทธรรม เลอะเลือน ดังนี้:- 1) พวกภิกษุเล่าเรียน สูตรอันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ และความหมาย อันคลาดเคลื่อน. 2) พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดยความเคารพหนักแน่น. 3) พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท)แต่ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนใจความ แห่งสูตรทั้งหลาย แก่คนอื่นๆเมื่อท่านเหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาด ผู้เป็นมูลราก (อาจารย์) ไม่มีที่อาศัยสืบไป. 4) พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริกขาร ประพฤติย่อหย่อน ในไตรสิกขา เป็นผู้นำ ในทางทราม ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารภความเพียร
เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ผู้บวชภายหลัง ได้เห็นพวกเถระ เหล่านั้น ทำแบบแผน เช่นนั้นไว้ ก็ถือเอา เป็นแบบอย่าง. และยังทรงย้ำเสมอๆว่า พระพุทธศาสนา จะเสื่อมสูญจนหายไปนั้นมีเหตุที่สำคัญที่สุด เกิดจา กพุทธบริษัท 4 ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา.จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในการสืบทอด พระพุทธศาสนานี้ เพื่อให้ลูกหลาน ได้ยึดเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกต่อไป. พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ) ได้เรียบเรียงเรื่องว่า “ทำไมพระพุทธศาสนา จึงเสื่อมไปจากอินเดีย” ดังนี้ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น และเจริญรุ่งเรือง ในประเทศอินเดีย เป็นเวลานานถึง 1500 ปี จากนั้น ก็เสื่อมลงเรื่อยๆ จนมาถึง พุทธศตวรรษที่ 17 พระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ ก็สูญหายไปจาก ประเทศอินเดียเหลืออยู่แต่เฉพาะใน ลาดัก หิมจัล อัสสัม เบงกอล และโอริสสา เท่านั้น. ปัจจุบัน เหลือไว้แต่ปูชนียสถาน และวัตถุโบราณ ที่เป็นภาพสะท้อน ความเจริญรุ่งเรือง ในอดีตสมัยเท่านั้น.
นับตั้งแต่
พุทธศตวรรษที่ 3 ในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช เป็นต้นไป พระพุทธศาสนา ได้เริ่มเผยแพร่ จากประเทศอินเดีย ไปสู่ประเทศต่างๆ เกือบทั่วทวีปเอเซีย. ความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ แต่แล้วต่อมา ก็เกิดภัยคุกคามขึ้น ทั้งภายในและภายนอก จนทำให้ พระพุทธศาสนา ต้องเสื่อมไปจาก ประเทศต่างๆ เช่น เปอร์เซีย อาฟกานิสถาน เตอรกีสถาน ของรัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จนเกือบจะหมด. ครั้งหนึ่ง ที่พระพุทธศาสนา ในประเทศศรีลังกา และญี่ปุ่น ก็เกือบจะสูญสิ้นไปดีแต่ว่า พุทธศาสนิกที่สำคัญ หลายท่าน
ได้ช่วยกันกอบกู้ ต่อสู้กับ การรุกราน ของศาสนาอื่นๆ เอาไว้ได้. พระพุทธศาสนากำลังจะเสื่อมไปจากอีกหลายประเทศ ในขณะนี้ พระพุทธศาสนา ก็กำลังจะเสื่อมไปจาก มองโกเลีย ธิเบต จีนแผ่นดินใหญ่ เวียดนามเหนือ และเกาหลีเหนือ ส่วนในเวียดนามใต้ เขมร และลาว ก็กำลังถูกกระทบ กระเทือนอย่างหนัก. พระพุทธศาสนาในอีกหลายประเทศกำลังถูกภัยต่างๆ คุกคาม ในปัจจุบัน แม้แต่พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย พม่า เกาหลีใต้ ลังกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น เนปาล ภูฐาน สิกขิม ก็กำลังถูกภัยต่างๆ
คุกคามอยู่เช่นกัน.
1) การเสื่อม ทางด้านศีลธรรม และการเสื่อมจากการได้ บรรลุมรรคผล และคุณวิเศษต่างๆ ของชาวพุทธ การประพฤติย่อหย่อน ในเรื่องสิกขาบทวินัย ที่พระพุทธองค์ ทรงบัญญัติไว้ ซึ่งไม่เคยมีมา ในประวัติศาสตร์ พุทธศาสนายุคต้นๆเลยแต่ในราว พุทธศตวรรษที่ 10 เป็นต้นไป จึงได้เริ่มปรากฏขึ้น ดังจดหมายเหตุ ของพระถังซัมจั๋ง (หลวงจีนเฮียงจัง) ว่า “พระในนิกายสัมมติยะ แห่งแคว้นสินธุ (ปัจจุบัน อยู่ในปากีสถาน) ใช้ชีวิตอย่างชาวโลก และไม่ถูกต้อง ตามพระวินัยบัญญัติ. พระเหล่านั้นเกียจคร้าน เป็นคนที่ไร้ค่า และเที่ยวเตร่ ถึงแม้ว่าพระเหล่านั้น จะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เลี้ยงปศุสัตว์ และมีลูก มีเมีย” (แม้ในปัจจุบัน สถาบันพระมีเมีย ก็ยังมีปรากฏว่า นิยมกันในประเทศ เนปาล เกาหลี ธิเบต และญี่ปุ่น). นอกจากนี้ ท่านยังได้กล่าวว่า “พระพุทธศาสนา จะบริสุทธิ์ หรือเศร้าหมองก็ขึ้นอยู่กับญาณทัศนะ และความสามารถ ทางด้านจิตใจ ของชาวพุทธเอง” จดหมายเหตุ ของหลวงจีนอี้จิง ได้รำพันว่า “วัดส่วนมาก ในอินเดีย ทำไร่ เลี้ยงวัว และมีคนรับใช้ในวัด. บางวัดก็ตระหนี่ ถี่เหนียว ไม่ยอมแบ่งผลผลิต ให้ใครๆ. วัดบางวัด จะมีทรัพย์สมบัติ มากมาย มียุ้งฉาง เต็มไปด้วย ข้าวเปลือกที่เสีย (มีมาก กินไม่ทัน แต่ไม่ยอมแจกจ่าย ปล่อยทิ้งไว้จนเสีย) มีคนใช้หญิงชาย มีเงินทอง และทรัพย์สมบัติ ที่เก็บเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลย” มีพวกขอทาน ที่ปลอมตัวเป็นพระ โดยเพียงแต่ ยอมลงทุนโกนหัว และครอง จีวรเท่านั้นก็สามารถเข้าไป รับอาหารได้อย่างฟรีๆ. 2) การแตกแยกนิกาย และการขัดแย้งกัน ทางนิกาย การเข้าใจผิด ในหลักธรรม ขั้นสำคัญๆ ได้ก่อให้เกิด ความขัดแย้ง ทะเลาะโต้เถียงกัน อย่างรุนแรงมากในระหว่างนิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนา จนทำให้ชาวพุทธ ต่างแยกกันอยู่ และต่างก็มุ่งร้ายต่อกัน จนทำลายซึ่งกันและกัน. ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 2 พระพุทธศาสนา ก็แตกแยกออกเป็น 18 นิกาย และแต่ละนิกายต่างก็อ้างว่า ตนเหนือกว่า ประเสริฐกว่า นิกายอื่นๆ. นิกายมหายาน เกิดขึ้นใน พุทธศตวรรษที่ 6 โดยถือว่าตนเองมีจิตใจกว้างขวาง มุ่งพระโพธิญาณ ขนสัตว์ข้ามโอฆสงสาร ได้มาก. นิกายฝ่ายสาวกยาน หรือนิกายหินยาน เพราะยานนี้ ส่วนใหญ่ มุ่งอรหัตตผล มุ่งช่วยตนเอง ให้พ้นจากทุกข์ก่อน แล้วจึงจะช่วยคนอื่นทีหลัง จึงเป็นยานที่แคบ และขนสัตว์ได้น้อย ปัจจุบันฝ่ายหินยาน เหลือเพียงนิกายเดียว คือ เถรวาท. การแตกออก เป็นนิกายต่างๆ ทำให้พระพุทธศาสนา ได้เสื่อมลงมาก เพราะการขัดแย้งกัน ทางปรัชญา ความเห็น อันแตกต่างกัน ทางหลักคำสอน ของชาวพุทธ ทำให้เกิดการโจมตี ซึ่งกันและกัน เช่น ท่านปรัชญาคุปตะ อันเป็นคณาจารย์ ที่สำคัญที่สุดรูปหนึ่ง ของนิกายสาวกยาน ได้แต่งคำประพันธ์ 700 โศลก โจมตีคัดค้านมหายาน. ส่วนท่านถังซัมจั๋ง (ท่านเฮียงจัง) เองก็ได้ประพันธ์ 1600 โศลก เพื่อแก้ความเข้าใจผิด. ส่วนท่านสันติเทวะ ก็ได้ประพันธ์คาถา เป็นจำนวนมาก ไว้ในหนังสือ พุทธิจริยาวตาร เพื่อคัดค้านระบบอภิธรรม และ นิกายวิชญาณวาท. ส่วนท่านจันทรกิรติ ก็โจมตีนิกายอื่นๆ ที่ไม่ใช นิกายมัธยมิก อย่างเผ็ดร้อน. ส่วนท่านสันติรักษิต ก็ได้ประพันธ ในหนังสือ ตัตตวสังครหะ เพื่อทำลายล้าง มติคำสอนของ นิกายวาตสิปุตริยะ.ส่วนท่ านสันติรักษิต และ ท่านกามศีละประกาศว่า “พวกนิกาย ปุทคลวาทิน ไม่มีสิทธิที่จะอ้างว่า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า” การขัดแย้ง และทำลายกันเอง ในระหว่างต่างนิกาย ในศาสนาพุทธเดียวกันนี้ทำให้ศาสนาเสื่อมลง ยิ่งเสียกว่า การขัดแย้ง ของระหว่างศาสนาอื่นๆ. 3) ลัทธิมหายาน และ ลัทธิตันตระ ความเสื่อมของ พระพุทธศาสนา ในอินเดีย เกิดจากข้อเสีย ของนิกายมหายาน มากกว่า นิกายหินยาน เพราะการที่นิกายมหายาน เจริญแพร่หลายขึ้น ในอินเดีย ก่อให้เกิดการเพิ่ม ปริมาณศาสนิก ให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน คุณภาพของศาสนิก ก็เสื่อมลงตามลำดับด้วย. พอถึงพุทธศตวรรษที่ 13 มหายานในอินเดีย เหลือแต่เพียงการบูชา พระโพธิสัตว์ทั้งหลายการสวดอ้อนวอน และการประกอบ พิธีกรรมอันโอ่อ่า โดยมหายานได้แต่งเรื่องความเชื่อเก่าๆ แต่โบราณขึ้น เป็นจำนวนมาก.ชาวพุทธมหายาน ในสมัยนั้น จึงขยับเข้าใกล้ชิด ลัทธิฮินดู เข้าไปมากขึ้นทุกทีๆ. จนในที่สุด ได้ทำลายความแตกต่าง ระหว่างพุทธศาสนา มหายาน และลัทธิฮินดูลง. ฆราวาสในอินเดียยุคนั้น มองไม่เห็นความแตกต่าง ในการบูชาพระพุทธเจ้า กับ พระวิษณุ และ พระอวโลกิเตศวร กับ พระศิวะ และนางตารา กับนางปารวตี (ชายาพระศิวะ). แล้วลัทธิโพธิสัตว์ยาน ก็ดูเหมือนว่า จะกำเนิดสถาบันพระมีเมียด้วย. ลัทธิตันตระได้แตกออกมาจาก นิกายมหายาน เจริญอยู่ในอินเดีย ในระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 11-15 แล้วแพร่หลาย เข้าไปอยู่ในธิเบต. พระในลัทธิตันตระมีเมียได้ เพราะมุ่งบำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ ในฐานะคฤหัสถ์มุนี. นิกายตันตระนี้มีหลายเชื่อ เช่น พุทธตันตรยาน มันตรยาน คุยหยาน สหัชชยาน วัชรยาน พระนี้ ก็ไม่ได้เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า “นักสิทธะ” และถือว่า การปฏิบัติตน ตามอำนาจของราคะ กุลบุตรผู้บำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ ย่อมกระทำได้. การปรากฏ ของลัทธิตันตระนั้น ได้ทิ้งหลักธรรมแท้ๆ ของพระพุทธศาสนา ดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ ไปเกือบหมด มีแต่การยกย่อง เวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีมหาลาภ พิธีลงเลขเสกเป่าต่างๆ. เรื่องไสยศาสตร์ และเรื่องกามศาสตร์ ของลัทธิตันตระกับฮินดูนั้น มีลักษณะที่เหมือนกัน. หลักจริยธรรม ขั้นมูลฐาน และหลักธรรม ที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ในพระพุทธศาสนา ได้ถูกลัทธิวัชรยาน เปลี่ยนแปลงไปเสียใหม่ โดยสิ้นเชิง จนเป็นสัทธรรมปฏิรูป (พระธรรมปลอม) เช่น ตัณหา ซึ่งถือกันว่า เป็นตัวอกุศลมูล ที่ต้องควบคุม ไม่ให้มันเกิดขึ้นนั้น. พวกวัชรยาน ถือว่าตัณหา นั้นคือสิ่งที่ดี ถูกต้อง ที่ตัวสื่อกลาง ให้เกิดความเจริญ ในจิตใจขึ้นมา, ส่วนการปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น จากทุกข์ ในเรื่องของ พระนิพพานนั้น ซึ่งต้องเข้าถึงโดยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วย อริยมรรคมีองค์แปดนั้น. พวกวัชรยาน กลับกล่าวว่า เข้าถึงได้ ด้วยการเสพกาม อันศักดิ์สิทธิ์กับโยนิ และวัชรยานถือว่า เมถุนธรรมนั้นแหละ เป็นบรมสุข. สำหรับศีล 5 ก็ไปเปลี่ยนแปลง เป็น ม. 5 ตัว ให้นักสิทธะ ควรได้รับบำรุง จากสิ่งห้า คือ 1.มัทยะ น้ำเมา, 2.มางสะ เนื้อ, 3.มัศยา ปลา, 4.มุทรา การยั่วให้กำหนัด, 5.ไมถุนธรรม เมถุนธรรม เป็นต้น. สัทธรรมปฏิรูป ในนิกายวัชรยานนี้ อาจเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้พุทธศาสนา เสื่อมหายไปได้. ภัยภายนอก เกิดจากการมุ่งร้าย ของศาสนาอื่นๆ ดังนี้:-
พระพุทธศาสนาได้เสื่อมหายไปจากอินเดีย
6) ในสมัยราชวงศ์คุปตะ พวกพราหมณ์ เห็นว่าจะเอาชนะพวกพุทธ โดยตรงไม่ได้ ก็ใช้วิธี การกลืนพุทธอย่างสุขุม โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้า เป็นนารายณ์อวตาร ผู้นับถือพุทธ ก็คือผู้นับถือฮินดูนั่นเอง ส่วนผู้ที่นับถือฮินดูอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยน เป็นศาสนาพุทธ ทำให้ฮินดูมีมากขึ้น ในขณะที่พุทธมีน้อยลง.
•แก้ไขล่าสุด• ( •วัน•พุธ•ที่ 11 •พฤษภาคม• 2011 เวลา 13:58 น.• ) |