ลิขสิทธิ์ คือ ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่คุ้มครองการสร้างสรรค์ที่ถูกถ่ายทอดออกมา (express) โดยความคุ้มครองจะเกิดขึ้นทันทีเมื่องานนั้นทุกถ่ายทอดออกมาในลักษณะหนึ่ง เช่น เขียนขึ้น วาดขึ้น เป็นต้น โดยจะคุ้มครองอัตโนมัติในทุกประเทศที่อยู่ภายใต้อนุสัญญากรุงเบิร์น ซึ่งงานลิขสิทธิ์มีด้วยกันหลายประเภท ได้แก่ งานวรรณกรรม นาฏกรรม ดนตรีกรรม ศิลปกรรม สิ่งบันทึกเสียง โสตทัศนวัสดุ ภาพยนต์ งนแพร่เสียงแพร่ภาพ เป็นต้น ซึ่งถ้ามีโอกาสเราสามารถไปจดแจ้งงานลิขสิทธิ์ได้ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเป็นหลักฐานแห่งการสร้างสรรค์งานนี้ขึ้นมาได้
ลิขสิทธิ์ หมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ริเริ่มโดยการใช้สติปัญญาความรู้ ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะของตนเองในการสร้างสรรค์ โดยไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น โดยงานที่สร้างสรรค์ต้องเป็นงานตามประเภทที่กฎหมายลิขสิทธิ์ให้คุ้มครอง โดยผู้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์โดยไม่ต้องจดทะเบียน
การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา มิได้ เป็นการรับรองสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์แต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการแจ้งต่อหน่วยงานราชการว่าตนเองเป็นเจ้าของสิทธิ์ในผลงานลิขสิทธิ์ที่แจ้งไว้เท่านั้น โดยผู้แจ้งต้องรับรองตนเองว่าเป็นเจ้าของผลงานที่นำมาแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์และหนังสือรับรองที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกให้ ก็มิได้รับรองว่าผู้แจ้งเป็นเจ้าของงานลิขสิทธิ์แต่อย่างใด หากมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้แจ้งจำเป็นต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ นั้นเอง
2. ประเภทของงานที่มีลิขสิทธิ์
กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองแก่งานสร้างสรรค์ 9 ประเภทตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่
- งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ คำปราศรัย โปรแกรมคอมพิวเตอร์
- งานนาฏกรรม เช่น งานที่เกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว รวมถึงการแสดงโดยวิธีใบ้ด้วย
- งานศิลปกรรม เช่น งานจิตรกรรม งานประติมากรรม ภาพพิมพ์ งานสถาปัตยกรรม ภาพถ่าย ภาพประกอบ หรืองานสร้างสรรค์รูปทรงสามมิติเกี่ยวกับภูมิประเทศ หรือวิทยาศาสตร์ งานศิลปะประยุกต์ ซึ่งรวมถึงภาพถ่ายและแผนผังของงานดังกล่าวด้วย
- งานดนตรีกรรม เช่น คำร้อง ทำนอง การเรียบเรียงเสียงประสานรวมถึงโน้ตเพลงที่แยกและเรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
- งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพ็คดิสก์ (ซีดี) ที่บันทึกข้อมูลเสียง ทั้งนี้ไม่รวมถึงเสียงประกอบภาพยนตร์ หรือเสียงประกอบโสตทัศนวัสดุอย่างอื่น
- งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วีดีโอเทป วีซีดี ดีวีดี แผ่นเลเซอร์ดิสก์ที่บันทึกข้อมูลประกอบด้วยลำดับของภาพหรือภาพและเสียงอันสามารถที่จะนำมาเล่นซ้ำได้อีก
- งานภาพยนตร์ เช่น ภาพยนตร์ รวมทั้งเสียงประกอบของภาพยนตร์นั้นด้วย (ถ้ามี)
- งานแพร่เสียงแพร่ภาพ เช่น การกระจายเสียงวิทยุ การแพร่เสียง หรือภาพทางโทรทัศน์
- งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
3. ผลงานที่ไม่ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์
3.1 ข่าวประจำวันและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร เช่น วัน เวลา สถานที่ ชื่อบุคคล จำนวนคน ปริมาณ เป็นต้น
ทั้งนี้ หากมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาเรียบเรียงจนมีลักษณะเป็นงานวรรณกรรม อาทิ การวิเคราะห์ข่าว บทความ ผลงานนั้นอาจจะได้รับความคุ้มครองในลักษณะของงานวรรณกรรม
3.2 รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
3.3 ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
3.4 คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
3.5 คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่างๆ ตามข้อ 3.1 - 3.4 ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่นจัดทำขึ้น
3.6 ความคิด ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ วิธีใช้หรือทำงาน แนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
4. การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
เอกสารที่ใช้ประกอบการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
- สำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง (กรณีเป็นบุคคลธรรมดา)
- สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล ที่นายทะเบียนออกให้ไม่เกิน 6 เดือน ของเจ้าของลิขสิทธิ์ (กรณีเป็นนิติบุคคล)
- ผลงานหรือภาพถ่ายงานลิขสิทธิ์ จำนวน 1 ชุด
- หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 30 บาท พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (รับรองสำเนาถูกต้อง)
- หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐบาลใช้สำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้บริหารหน่วยงานหรือองค์กรฯ รวมทั้งสำเนาบัตรประชาชนของผู้ยื่นคำขอ (รับรองสำเนาถูกต้อง)
แบบฟอร์มใบแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ --- ซึ่งศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้ เน้นสีเหลือง ได้แก่
- ชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์
- ชื่อผู้สร้างสรรค์ (ทุกท่าน)
- ชื่อผลงาน
- ประเภทของงาน
- ผลงานที่ยื่นประกอบคำขอ (โดยถ้าข้อมูลมีจำนวนเกิน 20 แผ่น ให้ส่งเป็นซีดีแทนตัวเอกสาร)
- ลักษณะการสร้างสรรค์
- ปีที่สร้างสรรค์
- แบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลงานโดยย่อ (เป็นการสรุปข้อมูลที่ยื่นจดแจ้ง)
หนังสือรับรองความเป็นเจ้าของงานลิขสิทธิ์ --- ซึ่งศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้ เน้นสีเหลือง ส่วนที่ต้องแก้ไข ได้แก่
ตัวอย่างเช่น นายดำเป็นศิลปินวาดภาพบนผืนผ้าใบขึ้นมา 1 รูป แน่นอนว่ารูปภาพดังกล่าวย่อมเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายทันทีที่ได้ทำขึ้นโดยไม่ต้องทำการจดทะเบียนหรือดำเนินการตามขึ้นตอนของกฎหมายแต่อย่างใด และนายดำย่อมผู้สร้างสรรค์ย่อมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในรูปภาพดังกล่าว หากต่อมานายดำขายภาพนั้นให้กับนายแดง ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของนายดำไม่ได้โอนไปยังนายแดงด้วย นายแดงมีเพียงกรรมสิทธิ์คือเจ้าของรูปภาพดังกล่าวเท่านั้น แต่นายแดงไม่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะมีอำนาจทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่รูปภาพดังกล่าวเฉกเช่นนายดำได้ เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ท่านผู้อ่านต้องแยกให้ดีว่าใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือเป็นเพียงเจ้าของทรัพย์สินเพราะผลในทางกฎหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
2. ดัดแปลง การดัดแปลง หมายถึง การทำซ้ำโดยเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม หรือจำลองงานต้นฉบับในส่วนที่เป็นสาระสำคัญโดยไม่มีลักษณะเป็นการจัดทำงานขึ้นใหม่ ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
ตัวอย่างเช่น นายดำนักวาดการ์ตูนได้นำวรรณกรรมเรื่อง Harry potter มาดัดแปลงวาดเป็นหนังสือการ์ตูนของตนเอง และนำไปจัดพิมพ์วางขายโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก J.K. Rowling เป็นต้น
3. เผยแพร่ต่อสาธารณชน การเผยแพร่ต่อสาธารณชน หมายถึง การทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนโดยการแสดง การบรรยาย การสวด การบรรเลง การทำให้ปรากฏด้วยเสียงและหรือภาพ การก่อสร้าง หรือการจำหน่าย
ตัวอย่างเช่น นายดำได้นำม้วนเทปภาพยนตร์ของนายแดงมานำออกฉายกลางแปลงให้กับประชาชนที่มาร่วมงานวัดได้เข้าชมโดยมีการเก็บค่าใช้จ่าย โดยนายดำไม่ได้รับอนุญาตจากนายแดงซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์นั้น เป็นต้น
4. ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานการให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานนั้นจำกัดไว้ที่งาน 4 ประเภทเท่านั้น คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง นั่นย่อมหมายความว่าผู้ที่ซื้องานอันมีลิขสิทธิ์ 4 ประเภทดังกล่าวนี้ไป นอกจากจะไม่สามารถทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่แล้ว ยังไม่สามารถนำงานอันมีลิขสิทธิ์ออกให้ผู้อื่นเช่าได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น ร้านให้เช่าวีดิโอ ก่อนที่จะนำภาพยนตร์ที่ตนซื้อมานำออกให้ลูกค้าเช่าได้นั้นต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์นั้นๆก่อน ซึ่งอาจจะทำให้รูปแบบของสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์กับเจ้าของลิขสิทธิ์นั้น เป็นต้น
5. ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น นายดำเจ้าของรูปถ่ายซึ่งได้ถ่ายรูปจากประสบการณ์การเดินทางของตนเอง ได้อนุญาตให้สถาบันศิลปกรรมแห่งหนึ่งนำรูปถ่ายของตนนำออกแสดงให้ประชาชนได้รับชมโดยเก็บค่าเข้าชมได้ แต่มีข้อแม้ว่าค่าเข้าชมครึ่งนึงนั้นจะต้องมอบให้กับองค์กรสาธารณกุศล ดังนี้ องค์กรสาธารณกุศลดังกล่าวย่อมเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากรูปถ่ายซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของนายดำ เป็นต้น
6. อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิตามข้อ 1. ถึง ข้อ 5.
เจ้าของลิขสิทธิ์นอกจากจะมีสิทธิต่างๆตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีสิทธิในการอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งของตนต่องานอันมีลิขสิทธิ์ได้อีกด้วย ไม่ว่าจำเป็นการทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางาน หรือให้ประโยชน์อันเกิดจากงานลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่นก็ได้ ซึ่งอาจเป็นการให้สิทธิโดยเด็ดขาด หรือไม่เด็ดขาดก็ได้ หรืออาจเป็นการให้สิทธิแก่ผู้อื่นแต่เพียงผู้เดียวในชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ได้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเป็นรายๆ ไป
โดยสรุปคือ งานไม่ว่าจะเป็น งานวรรณกรรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่ภาพแพร่เสียง รวมถึงการแสดงของนักแสดง ผลงานที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์งานเหล่านั้นย่อมเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทั้งสิ้น บุคคลใดที่ต้องการทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานในผลงานดังกล่าวจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนเสมอ มิฉะนั้นท่านอาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นอยู่ไม่ว่าจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นความผิดทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญา
สุดท้ายนี้ขอฝากเอาไว้ว่าหากท่านผู้อ่านไม่มั่นใจว่างานใดเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์หรือไม่ท่านต้องทำให้มั่นใจได้ว่าการกระทำของท่านต่องานอันมีลิขสิทธิ์นั้นไม่ได้ทำไปเพื่อแสวงหากำไรและให้อ้างอิงแหล่งที่มาของงานนั้นให้ชัดเจน เท่านี้ก็เพียงพอต่อการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะเอาให้ชัวร์ การได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นย่อมเป็นการกระทำที่ปลอดภัยที่สุด - เทอร์ร่า บีเคเค