����Ԫ� �����¹����� 2 �����Ԫ� �32202
�ӹǹ 10 ���
�ç���¹�աѹ (�Ѳ�ҹѹ���ػ�����)
����� ��س����͡�ӵͺ���١��ͧ����ش ��ͷ�� 1)
�������������¢ͧ����� "������" ��١��ͧ����ش
���յ���ླ�
��ͺѧ�Ѻ�ͧ�Ѱ���
��觷��л�Ժѵ�������軯ԺѵԵ������
��ࡳ���ͺѧ�Ѻ������оĵԢͧ�ؤ�ŷ���͡���ѰҸԻѵ��
��ͷ�� 2)
���㴶١��ͧ����ǡѺ����Ҫ�ѭ�ѵ�
�繡������н��º�����
��ͧ�����������Ѵ��駡Ѻ�Ѱ�����٭
���˹�������ҳ�ͧ�蹴Թ
�ռźѧ�Ѻ������ͼ�ҹ������繪ͺ�ҡ�Ѱ���
��ͷ�� 3)
�����©�Ѻ� ����� �����·���͡�½��¹ԵԺѭ�ѵ�
��������
�����¾ҳԪ��
�������ҭ�
�����¾Ԩ�óҤ���
��ͷ�� 4)
�����·������Ǣ�ͧ�Ѻ����ʧ����º���� ��Ф�����蹤��ͧ����駻�������¡�������
�������͡��
��������Ҫ�
�����¡�������
�����¾Ԩ�óҤ�����
��ͷ�� 5)
���� ����� �ɷҧ�ҭ�
��Ѻ
�Ӥء
�ִ��Ѿ��
�����ê��Ե
��ͷ�� 6)
�����©�Ѻ�����衮���·��ѭ�ѵ���ͧ��û���ͧ��ǹ��ͧ���
��С�ȡ�з�ǧ
��ͺѭ�ѵ����ͧ�ѷ��
��ͺѭ�ѵԡ�ا�
��ͺѭ�ѵ�ͧ���ú�������ǹ�ѧ��Ѵ
��ͷ�� 7)
�Եԡ���㴵��仹���繹Եԡ�������繡�á�з��ѹ���ͺ���¡�����
�ѭ�Ҩ�ҧ��Ҥ�
�ѭ�������ҷ��Թ
�ѭ�����������Թ
�ѭ�ҫ��͢��ö¹��
��ͷ�� 8)
����������˵ط������Եԡ���������
�Եԡ�������зӴ������Ѥ�
�Եԡ���������ѵ�ػ��ʧ���繡�þ������
�Եԡ���������ѵ�ػ��ʧ�����ͺ���¡�����
�Եԡ���������ѵ�ػ��ʧ��Ѵ��ͤ���ʧ����º����
��ͷ�� 9)
���С������¶֧�Եԡ���������ѡɳ����ҧ��
�ռ�����ó���ѧ�Ѻ��
���ѹ�٭������ѧ�Ѻ�����
�ռż١�ѹ�ѹ������������Ҩ�١�͡��ҧ��
�ռ����ѹ�٭������ѧ�Ѻ���������Ͷ١�͡��ԡ�͡��ҧ
��ͷ�� 10)
�ԵԺؤ��������Է�Է�����
����
�Ѻ�ͧ�ص�
��⨷���ͧ�����
�Ѻ�ɷҧ�ҭҷء��
1.กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
การแบ่งกฎหมายออกเป็นกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน เป็นการแบ่งโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์เป็นหลักเกณฑ์ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง เป็นเรื่องของกฎหมายเอกชน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน เป็นกฎหมายมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม การแยกเป็นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน มีเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยก ดังนี้
1.1 เกณฑ์การแบ่งแยกประเภทกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
ในการแบ่งประเภทของกฎหมายว่าเป็นกฎหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาอยู่ 4 หลักเกณฑ์ด้วยกัน ทั้งนี้ ในการพิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4 หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้ ดังต่อไปนี้
- เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กฎหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองกฎหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น
ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง) ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) คือ เป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง ส่วนกฎหมายเอกชนนั้น เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
- เกณฑ์วัตถุประสงค์
คือยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์ กฎหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ (public interest) คือ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดสาธารณูปโภคต่าง ๆกฎหมายเอกชน ใช้บังคับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้น ๆ เองเป็นหลัก
- เกณฑ์วิธีการ คือวิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้ จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ กฎหมายมหาชนใช้สำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้ เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้กปกครอง เช่น ตำรวจจราจรให้สัญญาณหยุดรถ ถ้ารถไม่หยุดเพราะไม่สมัครใจจะหยุด ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้ กฎหมายเอกชน ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี หากฝ่ายใดขัดขืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาคกัน ต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสิน
- เกณฑ์เนื้อหา กฎหมายมหาชน เป็นกฎเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ระบุตัวบุคคล (กฎหมายตามภาวะวิสัย) คือ เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง และตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฎหมายบังคับ กฎหมายเอกชน ไม่ใช่กฎหมายบังคับ เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากกฎหมายเอกชนบัญญัติไว้ (แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป ก็จะบังคับกันตามที่กฎหมายเอกชนบัญญัติไว้ (เท่ากับว่ากฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้ เมื่อเอกชนยอมใช้กฎหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฎหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น (เป็นกฎหมายตามอัตวิสัย) เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
1.2
ความหมายของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
จาการศึกษาลักษณะของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า
- กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ “ผู้อยู่ใต้ปกครอง” ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน2
- กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐและหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น “ผู้ปกครอง”3
โดยหลักแล้วในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นกฎหมายเอกชน เรื่องใดเป็นกฎหมายมหาชน จะคำนึงถึงเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวประกอบไปด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ในทุกกรณี กล่าวคือ ในความเป็นจริงอาจมีกรณีที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ดำเนินการเรื่องประโยชน์สาธารณะ และเอกชนไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทำให้เกิดข้อยกเว้นในการยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวในการพิจารณา กล่าวคือ
1.3.1 ในแง่ของรัฐ
ในแง่ของรัฐ
อาจไม่นำกฎหมายมหาชนมาใช้ในการดำเนินการของรัฐได้ในสองกรณี คือ
กรณีแรก รัฐหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเลือกที่จะไม่ใช้กฎหมายมหาชน แต่เลือกที่จะใช้กฎหมายเอกชนแทน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐได้สละสิทธิในฐานะผู้ปกครองยอมลดตัวลงมาเท่ากับเอกชน ดังตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐต้องการที่ดินไปสร้างโรงไฟฟ้า แทนที่รัฐจะใช้อำนาจในฐานะผู้ปกครองเวนคืนที่ดินของเอกชน รัฐกลับเลือกใช้การทำสัญญาซื้อที่ดินนั้นภายใต้กฎหมายเอกชนแทน แต่ในการเลือกใช้กฎหมายของรัฐนี้
จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ด้วยกรณีที่สอง ในกรณีที่รัฐทำกิจกรรมในลักษณะที่เหมือนกับกิจกรรมของเอกชน คือ รัฐทำการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น โรงงานยาสูบผลิตบุหรี่ขายแข่งกับเอกชน หรือองค์กรเภสัชกรรมผลิตอาหารขายแข่งกับเอกชน เป็นต้น กรณีนี้จึงจะต้องใช้กฎหมายเอกชนบังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการกับเอกชนผู้ใช้บริการ เพื่อความเป็นธรรมแก่เอกชน
1.3.2 ในแง่ของเอกชน
ในแง่ของเอกชน ในปัจจุบันเอกชนและรัฐหันมาร่วมมือกันมากขึ้น มีหลายกรณีที่เอกชนเข้ามาเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สารธารณะ จึงมีกฎหมายให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่เอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะบางอย่างได้ เช่น องค์กรวิชาชีพต่าง ๆ ซึ่งเป็นเอกชน มีหน้าที่ควบคุมวินัยของผู้ประกอบวิชาชีพของตนเพื่อไม่ให้เกิดการประกอบวิชาชีพไปในทางมิชอบอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน รัฐจึงได้มอบให้องค์กรวิชาชีพนั้น ๆ
ใช้อำนาจฝ่ายเดียวในการออกหรือไม่ออกใบอนุญาตรับสมาชิก ทำการควบคุมมารยาทและวินัยของสมาชิก ตลอดจนถอดถอนใบอนุญาตได้ กรณีจึงเป็นข้อยกเว้นให้เอกชนอยู่ภายใต้กฎหมายหมาชนได้
อนึ่ง ในบางกรณีนิติสัมพันธ์ที่ทำขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเอง ก็ไม่อาจนำหลักความมีเสรีภาพเต็มที่ในการทำสัญญามาใช้ได้ เพราะรัฐได้เข้ามาแทรกแซงในการทำนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ทั้งนี้ เพื่อเข้ามาคุ้มครองคู่สัญญาที่อ่อนแอกว่า เช่น ในสัญญาจ้างแรงงาน นายจ้างและลูกจ้างไม่อาจที่จะตกลงกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันเช่นไรก็ได้ (ซึ่งอาจทำให้นายจ้างทำข้อสัญญาที่เอาเปรียบลูกจ้างได้) เพราะมีกฎหมายคุ้มครองแรงงานเข้ามากำหนดให้การทำสํญญาจ้างแรงงานต้องมีหลักเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนด เช่น กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ กำหนดชั่วโมงทำงาน เป็นต้น ทำให้เอกชนไม่อาจที่จะตกลงเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของกฎหมายเช่นว่านี้ได้
ดังนั้น ในการที่จะแบ่งประเภทของกฎหมายว่าเป็นกฎหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น นอกจากจะคำนึงถึงหลักเกณฑ์องค์กร วัตถุประสงค์ วิธีการ และเนื้อหาตามหลักเกฑ์ทั่วไปแล้ว ยังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของการแบ่งแยกประเภทกฎหมายนี้ด้วย เพื่อให้สามารถใช้กฎหมายบังคับได้อย่างถูกต้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
1.4 ประโยชน์ของการแบ่งประเภทกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
การแบ่งกฎหมายออกเป็นกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน
ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้
- ประโยชน์ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล ถ้าเป็นคดีในกฎหมายเอกชน เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฎหมายมหาชนจะขึ้นต่อศาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายมหาชนโดยเฉพาะ คือ ถ้าเป็นคดีปกครอง ก็จะขึ้นศาลปกครอง ถ้าเป็นคดีที่กล่าวอ้างว่ากฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ
- ประโยชน์ในแง่เนื้อหาของกฎหมาย กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน จะมีหลักของเนื้อหากฎหมายต่างกันออกไป เพราะตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น ในกฎหมายเอกชน ยึดถือหลัก “เมื่อไม่มีกฎหมายห้าม ทำได้” เนื่องจากกฎหมายเอกชนมีวัตถุประสงค์ที่อยู่ความมีเสรีภาพในการทำการตกลงทำนิติสัมพันธ์กันของบุคคล แต่ในกฎหมายมหาชนยึดถือหลัก “เมื่อไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ทำไม่ได้” เนื่องจากกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ตั้งอยู่บนการใช้อำนาจฝ่ายเดียวของผู้ปกครอง ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงต้องใช้อย่างเคร่งครัด ไม่อาจยึดถือหลักเสรีภาพในการแสดงเจตนาได้ การแบ่งแยกออกเป็นกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน จึงทำให้สามารถใช้กฎหมายได้ถูกต้องแก่กรณี
- ประโยชน์ในแง่กระบวนการพิจารณา กฎหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการกฎหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินพิจารณาที่ต่างออกไป เช่น มีพระราชบัญญัติวิธีการพิจารณาคดีปกครอง สำหรับศาลปกครอง และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นต้น
1.5 แยกสาขาย่อยในกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ลักษณะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนแล้ว ต่อมาเราจะศึกษาถึงการแยกสาขาย่อยว่า ทั้งในกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาฃนนั้นแยกย่อยออกเป็นกฎหมายใดอีกบ้าง
1.5.1การแยกสาขาย่อยในกฎหมายเอกชน
กฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนในฐานะที่เท่าเทียมกัน สาขาย่อยของกฎหมายเอกชนจึงแยกได้ ดังนี้
- กฎหมายแพ่ง (Civil Law) คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน (คือ ทรัพย์มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งหนี้)
- กฎหมายพาณิชย์ (Commercial Law) คือ กฎหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเป็นปกติธุระ และครอบคลุมตั้งแต่การตั้งองค์กรทางธุรกิจ (ห้างหุ้นส่วน บริษัท) การจัดหาทุน การทำนิติกรรมทางพาณิชย์ เช่น ซื้อขาย เช่า รวมถึงกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การธนาคาร การค้าหลักทรัพย์ เป็นต้น ในต่างประเทศมีการแบ่งแยกประมวลกฎหมายแงกับกฎหมายพาณิชย์ออกเป็นประมวลกฎหมายแพ่ง (Civil Code) และประมวลกฎหมายพาณิชย์ (Commercial Code) แยกจากกัน เช่น ในประเทศฝรั่งเศส แต่สำหรับไทยรวมไว้ในฉบับเดียวกัน คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (Civil And Commercial Code)
- กฎหมายการเกษตร คือ กฎหมายที่ว่าด้วยกิจกรรมทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินเพื่อการเกษตร เกี่ยวกับแหล่งน้ำ ชลประทาน ฯลฯ
- กฎหมายสังคม ประกอบไปด้วย กฎหมายแรงงานและกฎหมายประกันสังคม
- กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คือ กฎหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลและการดำเนินกระบวนการพิจารณา ตลอดจนการบังคับในคดีแพ่ง
- กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานสังคมที่เห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ ข้อสังเกต แม้กฎหมายอาญาจะเป็นกฎหมายที่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายมหาชน เพราะรัฐไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นคู่สัญญากับเอกชน เพียงแต่อยู่ในฐานะเป็นส่วนคนกลางกล่าวคือรัฐเป็นคนกลางผู้กำกับการกระทำที่ทำขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเองเท่านั้น
เมื่อกฎหมายมหาชนกำหนดความสัมพัน์ระหว่างรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน จึงสามารถแยกประเภทของกฎหมายมหาชนได้ ดังนี้
- กฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายที่กำหนดการจัดอำนาจและองค์กรผู้ใช้อำนาจสูงสุดในรัฐ ซึ่งโดยปกติสาระของกฎหมายรัฐธรรมนูญจะปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญเป็นหลัก แต่ก็ยังอาจปรากฏอยู่ในกฎหมายอื่นด้วย เช่น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่าง ๆ เป็นต้น
- กฎหมายปกครอง คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายปกครองของรัฐต่อกัน และรัฐต่อประชาชน
- กฎหมายการคลังและการภาษีอากร คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับการหารายได้เข้ารัฐและหน่วยงานของรัฐ (เช่น ภาษีอากร กู้ยืม ฯลฯ) การจัดการทรัพย์ที่เป็นเงินตราของรัฐ และการใช้จ่ายเงินของรัฐโดยงบประมาณแต่ละปี เป็นต้น