เพื่อนๆคนไหนกำลังมีปัญหาในเรื่องรูปแบบของการเขียน Resume อยู่ วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆมาฝากเพื่อนกันครับ ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนๆเขียนง่ายขึ้น เป็นสากล แถมยังใช้สมัครงานได้อย่างเป็นทางการและน่าเชื่อถือเลยทีเดียว ส่วนที่ 1 – หัวเรื่องและวัตถุประสงค์ (Heading and Objective) ส่วนหัวกระดาษต้องระบุชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และอีเมล์ที่สามารถติดต่อเราโดยตรงได้ ส่วนวัตถุประสงค์คือการระบุตำแหน่งงานที่เราต้องการสมัคร อาจมีการระบุจำนวนเงินเดือนที่ต้องการด้วยก็ได้ เดี๋ยวเรามาดูตัวอย่าง resume อีกทีท้ายบทความนะ ส่วนที่ 2 – ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง (Personal Details) อาจไม่ต้องถึงขั้นใส่ข้อมูลแบบละเอียด จำพวกน้ำหนัก ส่วนสูง ศาสนา กรุ๊ปเลือด เพราะบางบริษัทก็ต้องการความเป็นมืออาชีพ หรืออาจมีเตรียมใบสมัครไว้ให้กรอกอีกทีหนึ่ง สิ่งที่เราควรใส่ใน resume ส่วนหัวจึงเป็นเพียงที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล์ก็พอ เคล็ดลับการเขียน ให้เรียงลำดับจากความสำคัญ ซึ่งพิจารณาจากประเภทของงานที่เราไปสมัคร เช่น ตำแหน่งงานนั้น ความสูงและน้ำหนักของเราจะมีผลต่อการทำงานหรือไม่ ลองดูอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสิครับ มีกำหนดเกณฑ์ส่วนสูงขั้นต่ำไว้ชัดเจน หรือบางที่อาจต้องดูว่าคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไร จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ ส่วนที่ 3 – ข้อมูลด้านการศึกษา (Education) เขียนวุฒิการศึกษาที่เราได้รับมา และการฝึกอบรมต่างๆ หรือกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เคยเข้าร่วม ถ้าให้ดีต้องเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครด้วย เช่น สมัครเป็นครู เขียนว่าเคยเข้ารับการอบรมครูอาสาสมัครให้เด็กด้อยโอกาส เคล็ดลับการเขียน วุฒิการศึกษา – ให้เรียงจากวุฒิสูงสุดไปต่ำสุด โดยทั่วไปจะถือว่าวุฒิมัธยมปลายหรือ ปวช. เป็นวุฒิต่ำสุดที่ควรอ้างถึง การเขียนให้เรียงลำดับจากช่วงเวลาที่เรียน ชื่อวุฒิที่ได้รับ และชื่อสถาบัน ข้อสังเกต – เขียนชื่อวุฒิขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ – ชื่อสถาบัน ให้ใส่จังหวัดที่สถาบันตั้งอยู่ ยกเว้นสถาบันที่ใช้ชื่อจังหวัดเป็นชื่อสถาบัน (เช่น Chiang Mai University, Khon Kaen University) ส่วนที่ 4 – ข้อมูลด้านประสบการณ์การทำงาน และทักษะอื่นๆ (Experiences and other skills) ในส่วนนี้จะคล้ายกับข้อมูลการศึกษา โดยเริ่มจากวันเดือนปีที่เริ่มทำงาน ตำแหน่งงาน ชื่อสถานประกอบการ และระยะเวลาที่ทำงานนั้นนอกจากนี้ควรใส่หน้าที่ที่เราได้รับผิดชอบขณะทำงานอยู่ด้วย เคล็ดลับการเขียน 1. ประสบการณ์ทำงาน – ถ้าเคยผ่านงานมาหลายที่ ให้เขียนงานที่ทำปัจจุบันก่อน แล้วเรียงไปจนถึงตำแหน่งงานแรก ตัวอย่าง 2008-2010
Managing Director, Procter & Gamble (3 years) 2. การฝึกอบรม – ให้เขียนเรียงลำดับ วันเดือนปีที่อบรม ระยะเวลา ชื่อหลักสูตรในการอบรม และสถาบันที่จัดการอบรม ตัวอย่าง การอบรมความรู้ด้านการลงทุนในหุ้น 10 June 2012 Fundamental Technical Analysis, organized by Thailand Securities Institute 3. ความสามารถพิเศษ – ถ้ามีให้ระบุในส่วนนี้ โดยทั่วไปแล้วควรจะนำเสนอความสามารถทางด้านภาษาของตนเอง หรือความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงความสามารถด้านอื่นๆเช่น กีฬา ตัวอย่าง English Proficiency: Very Good/ Good/ Fair (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) resume ภาษาอังกฤษที่เราเขียนให้นายจ้างจะดูมีความน่าเชื่อถือสูง ถ้าเรามีชื่อและข้อมูลการติดต่อของบุคคลที่นายจ้างสามารถสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเราได้ ดังนั้น reference ของเราต้องเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการธุรกิจ เช่น ต้องเป็นบุคคลที่มีงานมั่นคง หรือมีชื่อเสียง อาจเป็นข้าราชการ หัวหน้าหน่วยงาน หรือเจ้าของกิจการ เป็นต้น เคล็ดลับการเขียน ควรหาบุคคลอ้างอิงให้ได้ 2-3 คน ซึ่งไม่ควรทำงานที่เดียวกัน ที่สำคัญคือบุคคลอ้างอิงต้องไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรานะ การเขียนให้เรียงจากชื่อ-นามสกุล (ถ้าเป็นอาจารย์ที่มีตำแหน่งต้องใส่คำนำหน้าด้วย เช่น ศาสตราจารย์ = Prof. , รองศาสตราจารย์ = Assoc.Prof) ตำแหน่ง ชื่อสถานประกอบการ และหมายเลขโทรศัพท์ ตัวอย่าง Mr. Sam Wilson, Personnel Manager, PTI Co.Ltd., Rayong Tel. 038-248-784 อย่างไรก็ตาม resume ที่เราส่งไปนั้นยังไม่ต้องอ้าง reference แต่ให้เขียนว่า “References will be sent on request.” (หมายความว่า เอกสารอ้างอิงจะส่งให้กรณีที่ทางบริษัทร้องขอมา) ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะครับเพื่อนๆ ทำตามนี้รับรองว่าอ่านง่าย เป็นทางการ แถมยังทำให้ดูภูมิฐานมากขึ้นเยอะเลยล่ะครับ แล้วอย่าลืมพยายามอย่าให้เกิน 2 หน้านะครับ มันเยอะไป กรรมการเขาแค่แสกนเอาคร่าวๆเท่านั้นแหละครับ source: eduzones ร่วมแสดงความคิดเห็นกันจ้า... |